เมื่อก่อนผมเป็นคน ขี้โมโหมาก ฟุ้งซ่านอยู่เป็นอารมณ์ เป็นโรคซึมเศร้าร่วมด้วย
และมี ตัวกูของกูสูงมาก เป็นคนคิดมาก เจ้าคิดเจ้าแค้น
ผมก็รู้สึกชีวิตไม่มีความสุขเลย รู้สึกว่า ความสุขที่ได้เรามา หายไปทุกวัน และรู้สึกว่า เหมือนลึกๆแล้วผมต้องการอะไรบางอย่างที่ไม่รู้อะไรและ
เต็มไปด้วย โรคต่างๆทางจิตใจ
จนวันนึงผมนั่งทำงานออฟฟิต ผมเบื่อไปหมด ฟังเพลงอะไรเบื่อไปหมด รู้สึกได้ว่าไม่มีความสุขเลย จนมาครั้งนึง ก็มาลองฟังธรรมมะดู
จนผมได้ยินว่า หลวงพ่อท่านว่า นิพพานเป็นบรมสุข สุขสุดยอด ไม่มีสิ่งอื่นใดสุขเอายิ่งกว่า
ผมก็เกิดอยากลองศึกษาธรรมมะอย่างจริงจัง และปฏิบัติจนเรื้อยมา และเริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆมากมายทางด้านจิตใจ
จะว่าไป ผมเป็นพวก บัวประเภทที่ 4 ก็ว่าได้ เลยรู้มาก 555+
พอปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ผมตัดทุกสิ่ง เพื่อนเลิกคบหมด เฟรชบุ๊คตัดขาดหมด ละครอะไรตัดขาดหมด
ข้าวก็เคยกินแบบพระสงฆ์มาแล้วกินวันละ 1 มื้อ น้ำหนักลดไป 7 กิโลกรัมได้ อดอาหารเพื่อสติ นะครับ จนไม่ค่อยได้สนใจแฟนและเลิกกับแฟนคนเก่าในที่สุด
พอปฏิบัติเรื้อยมา สิ่งที่ผมรู้เป็นอันดับแรก คือ ถูกบีบครั้นให้ต้องโกรธ พอจิตก่อนจะไปโกรธจะ รู้ทุกข์ก่อนนั้นเองมันจะไม่มีความคิดที่จะแก้ความโกรธเลย มันรู้อยู่เฉยๆ หัวใจเต้นแรงมากเหมือนจะตายแต่แปลกคือ รู้สึก ยิ้ม
เพราะผมไปเห็น แฟนผมนอนกอดกับชู้นั้นเอง แทนที่ผมจะโกรธกลับรู้ทุกข์ แต่ช่วงนั้นก็ยังหลง หลงมายาของใจ แต่มีสติรู้เฉยๆทุกอาการ
จนมาวันนึงก็เริ่มประติดประต่อได้ ไม่ใช่ชาติเดียวที่เราปฏิบัติธรรม ( เพราะก่อนช่วงแรกๆ ตอนที่ผมไม่รู้ธรรมมะอะไรเลย
เพียงแค่นึกคำว่า รู้ คำเดียว รู้ที่เห็นความคิดมันหลงไปคิด ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนหลุดไปอีกโลก รู้สึกสงบมาก ความรู้สึกมาที่ใจ
แต่ผมก็สงสัย คำว่า ( รู้ ) คืออะไร จนปฏิบัติธรรมมาเป็นปี ถึงเข้าใจ คำว่า รู้ คืออะไร
ที่แท้ต่อจากของเดิม นักปฏิบัติธรรมส่วนมากก็จากชาติที่แล้วทั้งนั้น ถึงไม่เป็นสมาธิ แต่พอปฏิบัติเรื้อยๆจะพบคำตอบมากมาย ทั้งอดีตและปัจจุบัน จะรู้สึกได้ว่าเราเคยมีมาก่อน
เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลักมือ คือ ความรู้สึกเปลี่ยนไปหมดอย่างสิ้นเชิง สิ่งต่างๆจากๆจะเริ่มจืดลง ฟังเพลงจืด ดูหนังจืด จะเริ่มเห็นทุกข์มากขึ้น
ไม่มีสุขเลย ความคิดเราจะเบาลงไปมากเหมือนกะไม่ได้คิดแต่คิดอยู่
กลายเป็นคนใหม่แต่
สิ่งที่ทำมาในอดีต ก็ต้องแบกใว้ด้วยคือ กรรม ( ดีกับชั่ว ) และความทุกข์
กรรมนี้ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆจะไม่เห็น มันดูเหมือนเป็นเรื่องงมงายด้วยซ้ำ หรืออาจดูเป็นทางความเชื่อ
และกรรมเป็นของลึกลับ เราหนีไม่พ้นแม้กระทั่งความคิดตัวเอง
จะรู้สึกว่า ธรรมชาติยุติธรรมมาก เพียงแต่ไม่มีใครเข้าใจลึกซึ้งดีพอ
ตั้งกะทู้ก็เพราะว่า( เชิญชวน )มา รู้สึกตัวกัน ดูจิต รู้ทันจิตใจตัวเองจนเห็นความคิดต่างๆทำงานได้เอง โดยมีสติระลึกรู้
พอผมปฏิบัติธรรมเรื้อยมา ผมเย็นหัวมาก เย็นจริงๆ รู้สึกปอกโปร่งโล่งเบาสบาย และก็แบกความทุกข์ทางใจด้วยกรรมที่ทำมาในอดีตด้วย 55+ อันนี้แล้วแต่คน บางคนปฏิบัติธรรมมีแต่สุขก็มี ชีวิตจะดีขึ้น ครอบครัวจะเย็นลง การงานจะดีขึ้น จะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
เมื่อเรารู้ธรรมเป็นลำดับไปเราจะรู้สึกว่า ที่ผ่านมาเหมือน ( เด็กหลงทาง ) ไม่รู้เป้าหมายชีวิตคืออะไร และไม่รู้เลยว่าอนาคตเราต้องเจอเรื่อง ทุกข์ทางใจแค่ไหน เหมือนเราเพลินสิ่งต่างๆจนปิดหูปิดตาเสมอมา ที่มาว่า ( เด็กหลงทาง )
แต่เรากลับไปคิดว่า สิ่งนั้นมีจริงๆ คือ ( สักวันฉันจะมีความสุข ) ความรู้สึกอย่างนั้น แต่ไม่มีอยู่จริง กลายเป็น คว้าแล้วคว้าอีกมันก็ยิ่งทวีคูณไปเรื้อยๆ รู้สึกไหม
เลยอยาก เชิญชวนเพื่อนๆ ของดีต้องบอกต่อ ว่ามันดีจริงๆ
ธรรมมะอันวิเศษ ที่ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของเรา
แต่เป็นสิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่ง คือตัวเรา
( ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน รู้ทันจิตใจตัวเอง )
ตั้งแต่ ปฏิบัติธรรม เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
และมี ตัวกูของกูสูงมาก เป็นคนคิดมาก เจ้าคิดเจ้าแค้น
ผมก็รู้สึกชีวิตไม่มีความสุขเลย รู้สึกว่า ความสุขที่ได้เรามา หายไปทุกวัน และรู้สึกว่า เหมือนลึกๆแล้วผมต้องการอะไรบางอย่างที่ไม่รู้อะไรและ
เต็มไปด้วย โรคต่างๆทางจิตใจ
จนวันนึงผมนั่งทำงานออฟฟิต ผมเบื่อไปหมด ฟังเพลงอะไรเบื่อไปหมด รู้สึกได้ว่าไม่มีความสุขเลย จนมาครั้งนึง ก็มาลองฟังธรรมมะดู
จนผมได้ยินว่า หลวงพ่อท่านว่า นิพพานเป็นบรมสุข สุขสุดยอด ไม่มีสิ่งอื่นใดสุขเอายิ่งกว่า
ผมก็เกิดอยากลองศึกษาธรรมมะอย่างจริงจัง และปฏิบัติจนเรื้อยมา และเริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆมากมายทางด้านจิตใจ
จะว่าไป ผมเป็นพวก บัวประเภทที่ 4 ก็ว่าได้ เลยรู้มาก 555+
พอปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ผมตัดทุกสิ่ง เพื่อนเลิกคบหมด เฟรชบุ๊คตัดขาดหมด ละครอะไรตัดขาดหมด
ข้าวก็เคยกินแบบพระสงฆ์มาแล้วกินวันละ 1 มื้อ น้ำหนักลดไป 7 กิโลกรัมได้ อดอาหารเพื่อสติ นะครับ จนไม่ค่อยได้สนใจแฟนและเลิกกับแฟนคนเก่าในที่สุด
พอปฏิบัติเรื้อยมา สิ่งที่ผมรู้เป็นอันดับแรก คือ ถูกบีบครั้นให้ต้องโกรธ พอจิตก่อนจะไปโกรธจะ รู้ทุกข์ก่อนนั้นเองมันจะไม่มีความคิดที่จะแก้ความโกรธเลย มันรู้อยู่เฉยๆ หัวใจเต้นแรงมากเหมือนจะตายแต่แปลกคือ รู้สึก ยิ้ม
เพราะผมไปเห็น แฟนผมนอนกอดกับชู้นั้นเอง แทนที่ผมจะโกรธกลับรู้ทุกข์ แต่ช่วงนั้นก็ยังหลง หลงมายาของใจ แต่มีสติรู้เฉยๆทุกอาการ
จนมาวันนึงก็เริ่มประติดประต่อได้ ไม่ใช่ชาติเดียวที่เราปฏิบัติธรรม ( เพราะก่อนช่วงแรกๆ ตอนที่ผมไม่รู้ธรรมมะอะไรเลย
เพียงแค่นึกคำว่า รู้ คำเดียว รู้ที่เห็นความคิดมันหลงไปคิด ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนหลุดไปอีกโลก รู้สึกสงบมาก ความรู้สึกมาที่ใจ
แต่ผมก็สงสัย คำว่า ( รู้ ) คืออะไร จนปฏิบัติธรรมมาเป็นปี ถึงเข้าใจ คำว่า รู้ คืออะไร
ที่แท้ต่อจากของเดิม นักปฏิบัติธรรมส่วนมากก็จากชาติที่แล้วทั้งนั้น ถึงไม่เป็นสมาธิ แต่พอปฏิบัติเรื้อยๆจะพบคำตอบมากมาย ทั้งอดีตและปัจจุบัน จะรู้สึกได้ว่าเราเคยมีมาก่อน
เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลักมือ คือ ความรู้สึกเปลี่ยนไปหมดอย่างสิ้นเชิง สิ่งต่างๆจากๆจะเริ่มจืดลง ฟังเพลงจืด ดูหนังจืด จะเริ่มเห็นทุกข์มากขึ้น
ไม่มีสุขเลย ความคิดเราจะเบาลงไปมากเหมือนกะไม่ได้คิดแต่คิดอยู่
กลายเป็นคนใหม่แต่
สิ่งที่ทำมาในอดีต ก็ต้องแบกใว้ด้วยคือ กรรม ( ดีกับชั่ว ) และความทุกข์
กรรมนี้ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมจริงๆจังๆจะไม่เห็น มันดูเหมือนเป็นเรื่องงมงายด้วยซ้ำ หรืออาจดูเป็นทางความเชื่อ
และกรรมเป็นของลึกลับ เราหนีไม่พ้นแม้กระทั่งความคิดตัวเอง
จะรู้สึกว่า ธรรมชาติยุติธรรมมาก เพียงแต่ไม่มีใครเข้าใจลึกซึ้งดีพอ
ตั้งกะทู้ก็เพราะว่า( เชิญชวน )มา รู้สึกตัวกัน ดูจิต รู้ทันจิตใจตัวเองจนเห็นความคิดต่างๆทำงานได้เอง โดยมีสติระลึกรู้
พอผมปฏิบัติธรรมเรื้อยมา ผมเย็นหัวมาก เย็นจริงๆ รู้สึกปอกโปร่งโล่งเบาสบาย และก็แบกความทุกข์ทางใจด้วยกรรมที่ทำมาในอดีตด้วย 55+ อันนี้แล้วแต่คน บางคนปฏิบัติธรรมมีแต่สุขก็มี ชีวิตจะดีขึ้น ครอบครัวจะเย็นลง การงานจะดีขึ้น จะเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
เมื่อเรารู้ธรรมเป็นลำดับไปเราจะรู้สึกว่า ที่ผ่านมาเหมือน ( เด็กหลงทาง ) ไม่รู้เป้าหมายชีวิตคืออะไร และไม่รู้เลยว่าอนาคตเราต้องเจอเรื่อง ทุกข์ทางใจแค่ไหน เหมือนเราเพลินสิ่งต่างๆจนปิดหูปิดตาเสมอมา ที่มาว่า ( เด็กหลงทาง )
แต่เรากลับไปคิดว่า สิ่งนั้นมีจริงๆ คือ ( สักวันฉันจะมีความสุข ) ความรู้สึกอย่างนั้น แต่ไม่มีอยู่จริง กลายเป็น คว้าแล้วคว้าอีกมันก็ยิ่งทวีคูณไปเรื้อยๆ รู้สึกไหม
เลยอยาก เชิญชวนเพื่อนๆ ของดีต้องบอกต่อ ว่ามันดีจริงๆ
ธรรมมะอันวิเศษ ที่ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของเรา
แต่เป็นสิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่ง คือตัวเรา
( ปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน รู้ทันจิตใจตัวเอง )