อดีต​ ปัจจุบัน​ อนาคต​เป็น​ธรรม​สุดท้าย​

"อดีต อนาคต ปัจจุบัน...
เมื่อมีผู้เข้าไปสอดแทรกยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ย่อมเป็นโทษ
ในธรรมสุดท้าย ของพระพุทธศาสนา ทั้งนั้น เพราะมีวิญญาณปฏิสนธิสัมปยุตกันอยู่...
มีทั้งเหตุ กรรม วิบาก สมดุลย์กันอยู่ในตัว
ไม่มี...อันใดก่อน อันใดหลัง

ผู้ไม่หนักในอานาปานสติ พร้อมกับเจตสิก
ที่นึกคิด และผู้รู้ในขณะเดียวกันแล้ว...
จะเห็น จะรู้ตามเป็นจริงได้ยาก และจะไม่ยอมเชื่อได้ง่าย ๆ ในธรรมตอนนี้  เพราะเป็นธรรมอันละเอียดมากมายนัก จะเห็นจะรู้ได้บ้างแบบมัวๆ เมาๆ ก็เพียงแต่รูปขันธ์อันหยาบๆ เท่านั้น ถ้าตายคารูปขันธ์ ที่กำลังพิจารณาอยู่...
มิได้ส่งลงถึงไตรลักษณ์ ให้แจ้งชัดด้วยสติปัญญาอันชอบแท้ อย่างสูงก็ไปเกิดเป็นพรหมที่มีรูปเท่านั้น...

จะอย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีญาณอันถ่องแท้
รู้ปฏิบัติ รู้ชัด รู้ชอบในอนัตตาจิต อนัตตาธรรม อนัตตา ผู้รู้ รู้แล้ว...ในขณะเดียว โดยมิได้ส่งส่ายหาแล้ว จะเบื่อ จะหน่าย จะคลาย จะหลุด จะพ้นจากความหลงโดยสิ้นเชิงย่อมเป็นไปไม่ได้

แต่การพิจารณาเลยครู เลยเถิดไป
จนเห็นดิ่งลงไปว่า สูญไปหมดโดยมิได้ไว้หน้า ไม่มี...ขอบเขตเกินความเป็นจริงของธรรมแท้แล้ว  ก็ย่อมตกนรกเป็นทิฏฐิมานะขุมดิ่ง ก็ไม่มี
ศาสดาใดๆ จะสอนได้อีกละ

เพราะคำว่า...ปัจจัตตัง
ย่อมเอามาอ้างได้ทั้งโลกีย์.และโลกุตระทั้งนั้น คำว่า...อกาลิโก ก็เหมือนกัน..."



หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่