ตอนที่ 1 =
https://pantip.com/topic/36560511
ตอนที่ 2 =
https://pantip.com/topic/36567053
ตอนที่ 3 =
https://pantip.com/topic/36587181
ตอนที่ 4 =
https://pantip.com/topic/36595632
ตอนที่ 5 =
https://pantip.com/topic/36616230
====================================================================================

กรูมเลค รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา...ยามเช้าตรู่ เวลา 6 นาฬิกา...
เฮลิคอปเตอร์สีดำมะเมื่อมสองลำ บินข้ามทะเลสาบขนาดใหญ่ สู่อาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่มีอาคารสิ่งก่อสร้างมากมายซึ่งจะสามารถมองเห็นได้โดยทั่วถึงต้องมองจากทางอากาศ เหมือนเป็นเมืองๆหนึ่งในดินแดนเวิ้งว้างไร้ผู้คน มีอาคารสิ่งปลูกสร้างหลายหลังที่กว้างใหญ่ไม่ธรรมดา ดูแล้วมันสามารถที่จะเก็บเครื่องบินโดยสารสองสามลำได้อย่างสบาย ภายนอกอาคาร มีถนนหลายสายที่มีลักษณะเหมือนทางรันเวย์สำหรับให้เครื่องบินเทคออฟขึ้นและลงจอด มีทหารในเครื่องแบบพร้อมอาวุธยืนประจำการอยู่เป็นจุดๆ
เฮลิคอปเตอร์สีดำทั้งสองลำ บินมุ่งสู่โซนที่แยกออกไป ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งที่แปลกประหลาดถ้าใครได้มาเห็นเข้า คือ ปิรามิดขนาดยักษ์ที่โดดเด่นมองเห็นชัด มันใหญ่โตกว่าอาคารทั่วไปในบริเวณนั้นเป็นสิบเท่า!
พื้นที่ทั้งหมดนี้...เป็นเหมือน “ทไวไลท์ โซน” หรือ “แดนสนธยา” สำหรับคนทั่วไป เพราะประชาชนธรรมดาๆ ไม่สามารถเข้ามาสู่สถานที่เร้นลับแห่งนี้ได้ อย่าว่าแต่เข้ามาเลย....จะเข้าใกล้ในระยะห่างสักสิบไมล์ก็ยังไม่ได้ เพราะข้างนอกมีป้ายเตือนว่าเป็น “เขตหวงห้าม” ปักไว้ข้างทางเป็นอันมาก และหากใช้กล้องส่องทางไกลมองจากถนนที่มุ่งหน้าสู่สถานที่นี้ไกลออกไปบนเนินเขา ก็จะเห็นทหารหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ข้างรถ ส่องกล้องมาทางที่เราอยู่เช่นเดียวกัน...นี่คือ เขตแดนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกาแต่เพียงอย่างเดียว ที่ ๆ มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ได้รับการปฏิเสธมาตลอดจากทางการ.....ใช้ชื่อภายใต้รหัส เขตหมายเลข 51 หรือ
AREA 51 !
เฮลิคอปเตอร์สองลำนั้น ลงจอดด้านหน้าปิรามิดด้านทิศตะวันออก และมีช่องเปิดออกที่ฐานปิรามิด ขนาดเท่ากับประตูพอจะให้คนเดินเข้าไปได้ และทุกคนที่ลงจากเฮลิคอปเตอร์ก็พากันเดินเข้าไปข้างในปิรามิด ในบรรดาคนเหล่านั้น มี 3 คน ชาย 1 หญิง 1 และเด็กอีก 1 ถูกผูกผ้าสีดำปิดตาไว้และถูกควบคุมโดยทหารข้างหลังพาเดินเข้าไป...คือสองสามีภรรยา และน้องเนตรนั่นเอง
คนทั้งสาม ถูกพาเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่งโดยที่ยังมีผ้าผูกตา แต่ตลอดทางที่เดินไปนั้น ทุกคนหารู้ไม่ว่า เด็กชายเนตรทิพย์มิได้มีแต่ “เนตรทิพย์” แต่เพียงเท่านั้น หากยังมี “โสตทิพย์” อีกด้วย! เขารับรู้ถึงสรรพเสียงรอบตัวทุกที่ๆเดินผ่านไป...
ในหลายๆเสียงที่ได้ยินนั้น มีเสียงแห่งการ “สื่อสาร” ผ่านเข้ามาทางมโนทวาร จากผู้มาจากดวงดาวอันแสนไกล นับสิบๆราย บางรายมาจากดวงดาวที่ห่างไกลมากเกินร้อยล้านปีแสง!!!
“ เจ้าหนู เจ้ามาจากไหน ?”
“หวัดดีหนูน้อย”
“เฮ้...เจ้าเปี๊ยก ข้าสัมผัสพลังของเจ้าได้นะ!”
“หนูน้อย...ว่างๆมาคุยกันนะจ๊ะ”
“เด็กเอ๋ย...เจ้ามีเชื้อสายเดียวกันกับข้า!!!”
“เจ้าเด็กน้อย....พลังของเจ้าเข้มแข็งมาก...ข้าต้องการมัน!!!”
“เจ้าต้องมาวัดพลังกับข้า!!”
ไม่มีใครได้ยินเสียงเหล่านั้น มันชัดเจนเฉพาะในมโนทวารหรือใน “จิตสัมผัส” ของน้องเนตรเท่านั้น เด็กน้อยไม่โต้ตอบอะไร เดินต่อไปภายใต้การนำของทหารที่เดินตามข้างหลังและจูงมือเขาอยู่ จนกระทั่งได้เข้ามาในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ ก็ได้ยินเสียงนายทหารคนเดิมสั่ง
“เอาละ แก้ผ้าผูกตาออกได้”
ทั้งสามพ่อแม่ลูกทำตาม จากนั้น ก็ได้รับคำอธิบายจากนายทหารผู้นั้นต่อ
“ห้องนี้ คือที่พักอาศัยของคุณสองคน ส่วนลูกชายของคุณจะไปพักอยู่อีกห้องหนึ่ง โดยจะได้รับอนุญาตให้พบกันในเวลาอาหารเช้าและเย็น ครั้งละหนึ่งชั่วโมง และให้วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เขาจะได้อยู่กับพวกคุณตลอดวัน”
“พวกเขาจะทำอะไรกับลูกของเรา ?” แจ๊คโพล่งถามออกไปทันทีที่เขาพูดจบ
นายทหารหันไปพูดกับ ดร.อัลเลน ครู่หนึ่งก็หันมาตอบ
“เราจะทำการศึกษาตัวเขาว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง จากนั้น เราจะให้เขาเป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของเรา”
“ผู้ช่วย ? ช่วยทำอะไรครับ ?”
“เบื้องต้น คือ ช่วยติดต่อสื่อสารกับเหล่าเอเลี่ยนที่อยู่กับเรา ในนี้ !”
“มีเอเลี่ยนอยู่ในนี้!!!” แจ๊คร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “และคุณใช้คำว่า ‘เหล่า’ แสดงว่า มีมากหรือครับ ?”
“ใช่” นายทหารพยักหน้า
“เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่อยู่ในนี้ ไม่สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้หรือครับ ? ผมเคยได้ยินว่า อเมริกาติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว”
“ไม่ได้ทั้งหมดหรอก” นายทหารสั่นศีรษะ “ ทางอเมริกาสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้ในระดับพื้น ๆ เท่านั้น เช่น ใช้ภาษามือ ภาษากาย และภาษาอังกฤษง่ายๆ บางคำ ยังไม่สามารถสื่อสารถึงขั้นพูดคุยกันรู้เรื่อง
ดังนั้น ต้องใช้คนที่สามารถสื่อสารทางจิตเข้ามาช่วย”
“พวกคุณก็เลยพาพวกผมมา โดยเป้าหมายหลัก คือลูกของเรา”
“ใช่” นายทหารพยักหน้าอีกครั้ง
“คนอื่นๆในโลกนี้ที่มีพลังจิตก็มี ทำไมเจาะจงลูกของเรา ?”
“เพราะเขา ท่าทางจะมีพลังจิตสูงมากกว่าหลายคน หรืออาจจะทุกคนที่เราเคยเจอ”
“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะช่วยพวกคุณ ?” แจ๊คซักถามต่อด้วยความข้องใจ
นายทหารยิ้มพราย....
“เขาต้องช่วย...
เพราะเรามีคุณสองคนเป็นตัวประกัน!”
ฉับพลัน น้องเนตรก็หันมามองหน้านายทหาร และกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สีหน้านิ่งเฉยเหมือนเช่นเคย
“
พวกเขาต้องดีกับพ่อแม่ผม พ่อแม่ผมต้องสุขสบายในที่นี้ และพวกเราต้องสามารถพบกันได้ทุกเวลาที่ต้องการ” เด็กน้อยหยุดจ้องหน้านายทหารครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “...
มิฉะนั้น ผมจะไม่ช่วยอะไรเลย และไม่มีใครบังคับผมได้!!!”
จากนั้น น้องเนตรก็หันไปพูดกับ ดร.อัลเลนและคณะด้วยภาษาอังกฤษซึ่งมีใจความเดียวกัน
“
Deal !!!” ดร.อัลเลน พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“งั้นก็ตกลงตามนี้” นายทหารกล่าวย้ำคำตอบรับของ ดร.อัลเลน
“ตอนนี้ เราจะปล่อยให้พวกคุณพักผ่อนอยู่ด้วยกันตามลำพังก่อน อีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะมีคนนำอาหารเช้ามาให้ และเวลา 9 โมง พวกเราจะมาหาพวกคุณอีกครั้ง เพื่อพาเด็กไปทดสอบเบื้องต้น ตอนนี้ขอตัวก่อนนะครับ”
“ผมหิวน้ำ” น้องเนตรบอกกับนายทหาร
เขาหันมายิ้มให้เด็กน้อยนิดหนึ่ง แล้วชี้ไปที่ตู้เย็นขนาดใหญ่ที่มุมห้อง
“ในตู้เย็นนั่น มีน้ำ และเครื่องดื่มจัดไว้ให้แล้ว หนูไปเปิดเอาได้เลยนะ” จากนั้นก็หันมาทางแจ๊คกับนิด “พวกคุณก็เหมือนกัน อยากดื่มอะไรก็ไปเปิดตู้เย็นเลือกเอาตามสบายครับ”
“ขอบคุณครับ” แจ๊คกล่าวขอบคุณแทนทั้งสองคน
“งั้นผมกับพรรคพวกขอตัวก่อนครับ พบกันตอนเก้าโมงครับ” นายทหารกล่าวลา แล้วกลับหลังหันเดินจากคนทั้งสามไปหาหมู่คณะที่นั่งรออยู่ จากนั้นทุกคนก็พากันเดินออกจากห้องไป เมื่อคนสุดท้ายออกไปแล้ว ประตูก็ถูกปิดล็อค
แจ๊คกับนิด นั่งมองหน้ากัน แล้วมองมายังลูกน้อย
น้องเนตรกล่าวทำลายความเงียบ
“คุณพ่อคุณแม่ ไม่ต้องห่วงครับ
พวกเราจะอยู่ในนี้กันไม่นานหรอก!”
แจ๊คยกมือขึ้น เอานิ้วชี้วางพาดริมฝีปาก ทำปากจู๋พ่นลมออกมาเบาๆ “ชู่ว์ว์ว์”
น้องเนตรนิ่งเงียบ รอคำพูดจากพ่อ
“อย่าพูดอะไรที่เป็นความลับลูก” แจ๊คพูดและเหลือบขึ้นไปมองกล้องวงจรปิดตามมุมห้อง “พวกเขาสามารถอัดภาพและเสียงของพวกเราได้ตลอดเวลานะลูก”
น้องเนตรยิ้ม แล้วยกมือขวาขึ้น ชี้นิ้วไปที่กล้องทุกตัว
แล้วภาพบนจอมอนิเตอร์ที่อยู่เบื้องหลังก็หายวับ กลายเป็นภาพสัญญาณซ่า.....เหมือนทีวีตอนที่ปิดสถานีหยุดการแพร่ภาพกระจายเสียง มีแต่จุดเต็มจอและดังซ่าๆๆตลอดเวลา เล่นเอาเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมจอมอนิเตอร์อยู่ผงะแทบหงายหลังตกเก้าอี้
“ตอนนี้ ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเราแล้วครับ” เด็กน้อยหันมาทางพ่อและแม่
“ลูกแม่เก่งจริงๆ” นิดดึงตัวน้องเนตรเข้ามากอด
น้องเนตร กล่าวประโยคที่ทำให้คนทั้งสองหูผึ่ง
“
ภารกิจของหนู กำลังจะเริ่มแล้วครับ”
“ภารกิจอะไรลูก ?” แจ๊คถาม
“หนูจะได้พบกับ เอเลี่ยน ทุกคน ในนี้ ต้องรู้ว่าพวกเขามาจากไหนบ้าง แล้วบอกพวกของหนู”
“แค่นี้เองหรือจ๊ะ ?” นิดถามด้วยความห่วงใย
“ก็...อาจจะแค่นี้ครับ
แต่บางที อาจมีการทดสอบกันนิดหน่อย”
“ทดสอบกัน ? ทดสอบอะไรลูก ?” นิดถามต่อ เริ่มรู้สึกกังวล
“พลังจิตครับ.....คุณแม่” เด็กน้อยตอบ
“ตอนที่เราถูกผ้าปิดตาเดินเข้ามา ก่อนจะเข้ามาถึงในห้องนี้ หนูได้ยินเสียงพวกเอเลี่ยนเยอะมากจากรอบตัวเรียกหนู ทักทายหนู ข่มขู่หนูก็มี”
“แม่ไม่ได้ยินอะไรเลยลูก” นิดกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
แจ๊คก็ส่ายหน้า “พ่อก็ไม่ได้ยินอะไรเหมือนกันนะ”
น้องเนตรส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะอธิบาย
“คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ยินหรอกครับ หนูได้ยินคนเดียว ในนี้” ชี้นิ้วเข้าที่ขมับ
“อ๋อ.....สื่อสารทางจิต” แจ๊คพยักหน้าหงึกๆ
นิดถามลูกต่อด้วยความเป็นห่วง
“หนูคิดว่า หนูสู้พวกเค้าได้ไหมลูก ?”
“มีบางคน พลังเข้มแข็งมากครับ หนูไม่อยากเจอ” น้องเนตรกล่าว สีหน้ายังเฉยเมย
“ แต่ถ้าหลบไม่ได้ ก็ต้องลองสู้ดูครับ คุณแม่กับคุณพ่อไม่ต้องห่วงหนู ถ้าหนูเป็นอะไร พวกของหนูจะมาช่วยทันทีครับ”
“แล้วถ้าสมมติว่า งานของลูกที่นี่เสร็จแล้ว จะเป็นไงต่อ ?” แจ๊คซักถามต่อไป ข้อนี้เขาอยากรู้มาก
“คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะได้กลับบ้านครับ” เด็กน้อยตอบ
“แล้วลูกล่ะ ?” ทั้งพ่อและแม่ถามพร้อมกัน
“หนูจะไปกับพวกของหนู พวกเค้ามีงานให้หนูทำอีกครับ และหนูจะขอพวกเค้าว่า ถ้าเสร็จงานหนูจะกลับมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ครับ”
นิดน้ำตาร่วง เธอกอดลูกน้อยไว้แนบแน่นและนิ่ง โดยมีแจ๊คโอบกอดทั้งแม่ทั้งลูกไว้อีกที
หากหยุดเวลาไว้ได้ ทั้งสามพ่อแม่ลูก ก็อยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนั้น เพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันอย่างนั้น ตราบชั่วกาลนาน
****************************************************************************************************
9 นาฬิกาตรง...
นายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับพลเอกจากประเทศไทย พร้อมกับ ดร.อัลเลน นำสามพ่อแม่ลูกออกจากห้องพักไปที่อีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ มีห้องกระจกหลายห้องเรียงกันเป็นตับ
หลังกระจกเหล่านั้น คือบรรดาเอเลี่ยนรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปหมด ไม่ซ้ำกันเลย บางตนก็รูปร่างคล้ายมนุษย์ บางตนก็แทบไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาเลย เหมือนสัตว์ประหลาดอสุรกายไปเลยก็มี
ข้างนอกห้องกระจก มีคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ประมาณสิบกว่าคน รวมทั้งคนที่สามพ่อแม่ลูกได้พบที่บ้าน และหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้น หญิงชาวอเมริกันวัยกลางคนคนหนึ่ง หน้าตาดี ผมสีบลอนด์ประบ่า สวมชุดคล้ายกับเสื้อกาวน์ของแพทย์ เดินออกมาหาน้องเนตร
นายทหารกล่าวแนะนำเธอให้ทั้งสามคนรู้จัก
“ผมขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือ
ดร.เจนนี่ วิลสัน เป็นหมอ และนักชีววิทยา เธอพูดภาษาไทยได้ด้วย”
“สวัสดีค่ะ” ดร.เจนนี่ยกมือไหว้แจ๊คและนิด
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
ทั้งสองสามีภรรยายกมือไหว้ตอบ และต่างรู้สึกชื่นชมว่า ดร.สาวคนนี้ พูดภาษาไทยชัดเจนใช้ได้ทีเดียว และนึกสงสัยว่า เธอต้องเป็นคนของซีไอเอด้วยแน่ๆ เพราะพวกสายลับเหล่านี้มักจะผ่านการฝึกภาษาต่างประเทศมาอย่างช่ำชอง
< เรื่องสั้น > --- ลบเลือนความทรงจำ --- ตอนที่ 6 " IN AREA -51 "
ตอนที่ 2 = https://pantip.com/topic/36567053
ตอนที่ 3 = https://pantip.com/topic/36587181
ตอนที่ 4 = https://pantip.com/topic/36595632
ตอนที่ 5 = https://pantip.com/topic/36616230
====================================================================================
กรูมเลค รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา...ยามเช้าตรู่ เวลา 6 นาฬิกา...
เฮลิคอปเตอร์สีดำมะเมื่อมสองลำ บินข้ามทะเลสาบขนาดใหญ่ สู่อาณาบริเวณกว้างใหญ่ที่มีอาคารสิ่งก่อสร้างมากมายซึ่งจะสามารถมองเห็นได้โดยทั่วถึงต้องมองจากทางอากาศ เหมือนเป็นเมืองๆหนึ่งในดินแดนเวิ้งว้างไร้ผู้คน มีอาคารสิ่งปลูกสร้างหลายหลังที่กว้างใหญ่ไม่ธรรมดา ดูแล้วมันสามารถที่จะเก็บเครื่องบินโดยสารสองสามลำได้อย่างสบาย ภายนอกอาคาร มีถนนหลายสายที่มีลักษณะเหมือนทางรันเวย์สำหรับให้เครื่องบินเทคออฟขึ้นและลงจอด มีทหารในเครื่องแบบพร้อมอาวุธยืนประจำการอยู่เป็นจุดๆ
เฮลิคอปเตอร์สีดำทั้งสองลำ บินมุ่งสู่โซนที่แยกออกไป ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งที่แปลกประหลาดถ้าใครได้มาเห็นเข้า คือ ปิรามิดขนาดยักษ์ที่โดดเด่นมองเห็นชัด มันใหญ่โตกว่าอาคารทั่วไปในบริเวณนั้นเป็นสิบเท่า!
พื้นที่ทั้งหมดนี้...เป็นเหมือน “ทไวไลท์ โซน” หรือ “แดนสนธยา” สำหรับคนทั่วไป เพราะประชาชนธรรมดาๆ ไม่สามารถเข้ามาสู่สถานที่เร้นลับแห่งนี้ได้ อย่าว่าแต่เข้ามาเลย....จะเข้าใกล้ในระยะห่างสักสิบไมล์ก็ยังไม่ได้ เพราะข้างนอกมีป้ายเตือนว่าเป็น “เขตหวงห้าม” ปักไว้ข้างทางเป็นอันมาก และหากใช้กล้องส่องทางไกลมองจากถนนที่มุ่งหน้าสู่สถานที่นี้ไกลออกไปบนเนินเขา ก็จะเห็นทหารหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ข้างรถ ส่องกล้องมาทางที่เราอยู่เช่นเดียวกัน...นี่คือ เขตแดนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในสหรัฐอเมริกาแต่เพียงอย่างเดียว ที่ ๆ มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับยูเอฟโอและมนุษย์ต่างดาว แต่ก็ได้รับการปฏิเสธมาตลอดจากทางการ.....ใช้ชื่อภายใต้รหัส เขตหมายเลข 51 หรือ AREA 51 !
เฮลิคอปเตอร์สองลำนั้น ลงจอดด้านหน้าปิรามิดด้านทิศตะวันออก และมีช่องเปิดออกที่ฐานปิรามิด ขนาดเท่ากับประตูพอจะให้คนเดินเข้าไปได้ และทุกคนที่ลงจากเฮลิคอปเตอร์ก็พากันเดินเข้าไปข้างในปิรามิด ในบรรดาคนเหล่านั้น มี 3 คน ชาย 1 หญิง 1 และเด็กอีก 1 ถูกผูกผ้าสีดำปิดตาไว้และถูกควบคุมโดยทหารข้างหลังพาเดินเข้าไป...คือสองสามีภรรยา และน้องเนตรนั่นเอง
คนทั้งสาม ถูกพาเข้าไปในห้องลับแห่งหนึ่งโดยที่ยังมีผ้าผูกตา แต่ตลอดทางที่เดินไปนั้น ทุกคนหารู้ไม่ว่า เด็กชายเนตรทิพย์มิได้มีแต่ “เนตรทิพย์” แต่เพียงเท่านั้น หากยังมี “โสตทิพย์” อีกด้วย! เขารับรู้ถึงสรรพเสียงรอบตัวทุกที่ๆเดินผ่านไป...ในหลายๆเสียงที่ได้ยินนั้น มีเสียงแห่งการ “สื่อสาร” ผ่านเข้ามาทางมโนทวาร จากผู้มาจากดวงดาวอันแสนไกล นับสิบๆราย บางรายมาจากดวงดาวที่ห่างไกลมากเกินร้อยล้านปีแสง!!!
“ เจ้าหนู เจ้ามาจากไหน ?”
“หวัดดีหนูน้อย”
“เฮ้...เจ้าเปี๊ยก ข้าสัมผัสพลังของเจ้าได้นะ!”
“หนูน้อย...ว่างๆมาคุยกันนะจ๊ะ”
“เด็กเอ๋ย...เจ้ามีเชื้อสายเดียวกันกับข้า!!!”
“เจ้าเด็กน้อย....พลังของเจ้าเข้มแข็งมาก...ข้าต้องการมัน!!!”
“เจ้าต้องมาวัดพลังกับข้า!!”
ไม่มีใครได้ยินเสียงเหล่านั้น มันชัดเจนเฉพาะในมโนทวารหรือใน “จิตสัมผัส” ของน้องเนตรเท่านั้น เด็กน้อยไม่โต้ตอบอะไร เดินต่อไปภายใต้การนำของทหารที่เดินตามข้างหลังและจูงมือเขาอยู่ จนกระทั่งได้เข้ามาในห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้ ก็ได้ยินเสียงนายทหารคนเดิมสั่ง
“เอาละ แก้ผ้าผูกตาออกได้”
ทั้งสามพ่อแม่ลูกทำตาม จากนั้น ก็ได้รับคำอธิบายจากนายทหารผู้นั้นต่อ
“ห้องนี้ คือที่พักอาศัยของคุณสองคน ส่วนลูกชายของคุณจะไปพักอยู่อีกห้องหนึ่ง โดยจะได้รับอนุญาตให้พบกันในเวลาอาหารเช้าและเย็น ครั้งละหนึ่งชั่วโมง และให้วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เขาจะได้อยู่กับพวกคุณตลอดวัน”
“พวกเขาจะทำอะไรกับลูกของเรา ?” แจ๊คโพล่งถามออกไปทันทีที่เขาพูดจบ
นายทหารหันไปพูดกับ ดร.อัลเลน ครู่หนึ่งก็หันมาตอบ
“เราจะทำการศึกษาตัวเขาว่าสามารถทำอะไรได้บ้าง จากนั้น เราจะให้เขาเป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของเรา”
“ผู้ช่วย ? ช่วยทำอะไรครับ ?”
“เบื้องต้น คือ ช่วยติดต่อสื่อสารกับเหล่าเอเลี่ยนที่อยู่กับเรา ในนี้ !”
“มีเอเลี่ยนอยู่ในนี้!!!” แจ๊คร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “และคุณใช้คำว่า ‘เหล่า’ แสดงว่า มีมากหรือครับ ?”
“ใช่” นายทหารพยักหน้า
“เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ที่อยู่ในนี้ ไม่สามารถสื่อสารกับพวกเขาได้หรือครับ ? ผมเคยได้ยินว่า อเมริกาติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้แล้ว”
“ไม่ได้ทั้งหมดหรอก” นายทหารสั่นศีรษะ “ ทางอเมริกาสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้ในระดับพื้น ๆ เท่านั้น เช่น ใช้ภาษามือ ภาษากาย และภาษาอังกฤษง่ายๆ บางคำ ยังไม่สามารถสื่อสารถึงขั้นพูดคุยกันรู้เรื่อง ดังนั้น ต้องใช้คนที่สามารถสื่อสารทางจิตเข้ามาช่วย”
“พวกคุณก็เลยพาพวกผมมา โดยเป้าหมายหลัก คือลูกของเรา”
“ใช่” นายทหารพยักหน้าอีกครั้ง
“คนอื่นๆในโลกนี้ที่มีพลังจิตก็มี ทำไมเจาะจงลูกของเรา ?”
“เพราะเขา ท่าทางจะมีพลังจิตสูงมากกว่าหลายคน หรืออาจจะทุกคนที่เราเคยเจอ”
“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะช่วยพวกคุณ ?” แจ๊คซักถามต่อด้วยความข้องใจ
นายทหารยิ้มพราย....
“เขาต้องช่วย...เพราะเรามีคุณสองคนเป็นตัวประกัน!”
ฉับพลัน น้องเนตรก็หันมามองหน้านายทหาร และกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ สีหน้านิ่งเฉยเหมือนเช่นเคย
“พวกเขาต้องดีกับพ่อแม่ผม พ่อแม่ผมต้องสุขสบายในที่นี้ และพวกเราต้องสามารถพบกันได้ทุกเวลาที่ต้องการ” เด็กน้อยหยุดจ้องหน้านายทหารครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อ “...มิฉะนั้น ผมจะไม่ช่วยอะไรเลย และไม่มีใครบังคับผมได้!!!”
จากนั้น น้องเนตรก็หันไปพูดกับ ดร.อัลเลนและคณะด้วยภาษาอังกฤษซึ่งมีใจความเดียวกัน
“Deal !!!” ดร.อัลเลน พยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม
“งั้นก็ตกลงตามนี้” นายทหารกล่าวย้ำคำตอบรับของ ดร.อัลเลน
“ตอนนี้ เราจะปล่อยให้พวกคุณพักผ่อนอยู่ด้วยกันตามลำพังก่อน อีกประมาณครึ่งชั่วโมงจะมีคนนำอาหารเช้ามาให้ และเวลา 9 โมง พวกเราจะมาหาพวกคุณอีกครั้ง เพื่อพาเด็กไปทดสอบเบื้องต้น ตอนนี้ขอตัวก่อนนะครับ”
“ผมหิวน้ำ” น้องเนตรบอกกับนายทหาร
เขาหันมายิ้มให้เด็กน้อยนิดหนึ่ง แล้วชี้ไปที่ตู้เย็นขนาดใหญ่ที่มุมห้อง
“ในตู้เย็นนั่น มีน้ำ และเครื่องดื่มจัดไว้ให้แล้ว หนูไปเปิดเอาได้เลยนะ” จากนั้นก็หันมาทางแจ๊คกับนิด “พวกคุณก็เหมือนกัน อยากดื่มอะไรก็ไปเปิดตู้เย็นเลือกเอาตามสบายครับ”
“ขอบคุณครับ” แจ๊คกล่าวขอบคุณแทนทั้งสองคน
“งั้นผมกับพรรคพวกขอตัวก่อนครับ พบกันตอนเก้าโมงครับ” นายทหารกล่าวลา แล้วกลับหลังหันเดินจากคนทั้งสามไปหาหมู่คณะที่นั่งรออยู่ จากนั้นทุกคนก็พากันเดินออกจากห้องไป เมื่อคนสุดท้ายออกไปแล้ว ประตูก็ถูกปิดล็อค
แจ๊คกับนิด นั่งมองหน้ากัน แล้วมองมายังลูกน้อย
น้องเนตรกล่าวทำลายความเงียบ
“คุณพ่อคุณแม่ ไม่ต้องห่วงครับ พวกเราจะอยู่ในนี้กันไม่นานหรอก!”
แจ๊คยกมือขึ้น เอานิ้วชี้วางพาดริมฝีปาก ทำปากจู๋พ่นลมออกมาเบาๆ “ชู่ว์ว์ว์”
น้องเนตรนิ่งเงียบ รอคำพูดจากพ่อ
“อย่าพูดอะไรที่เป็นความลับลูก” แจ๊คพูดและเหลือบขึ้นไปมองกล้องวงจรปิดตามมุมห้อง “พวกเขาสามารถอัดภาพและเสียงของพวกเราได้ตลอดเวลานะลูก”
น้องเนตรยิ้ม แล้วยกมือขวาขึ้น ชี้นิ้วไปที่กล้องทุกตัว
แล้วภาพบนจอมอนิเตอร์ที่อยู่เบื้องหลังก็หายวับ กลายเป็นภาพสัญญาณซ่า.....เหมือนทีวีตอนที่ปิดสถานีหยุดการแพร่ภาพกระจายเสียง มีแต่จุดเต็มจอและดังซ่าๆๆตลอดเวลา เล่นเอาเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมจอมอนิเตอร์อยู่ผงะแทบหงายหลังตกเก้าอี้
“ตอนนี้ ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเราแล้วครับ” เด็กน้อยหันมาทางพ่อและแม่
“ลูกแม่เก่งจริงๆ” นิดดึงตัวน้องเนตรเข้ามากอด
น้องเนตร กล่าวประโยคที่ทำให้คนทั้งสองหูผึ่ง
“ภารกิจของหนู กำลังจะเริ่มแล้วครับ”
“ภารกิจอะไรลูก ?” แจ๊คถาม
“หนูจะได้พบกับ เอเลี่ยน ทุกคน ในนี้ ต้องรู้ว่าพวกเขามาจากไหนบ้าง แล้วบอกพวกของหนู”
“แค่นี้เองหรือจ๊ะ ?” นิดถามด้วยความห่วงใย
“ก็...อาจจะแค่นี้ครับ แต่บางที อาจมีการทดสอบกันนิดหน่อย”
“ทดสอบกัน ? ทดสอบอะไรลูก ?” นิดถามต่อ เริ่มรู้สึกกังวล
“พลังจิตครับ.....คุณแม่” เด็กน้อยตอบ “ตอนที่เราถูกผ้าปิดตาเดินเข้ามา ก่อนจะเข้ามาถึงในห้องนี้ หนูได้ยินเสียงพวกเอเลี่ยนเยอะมากจากรอบตัวเรียกหนู ทักทายหนู ข่มขู่หนูก็มี”
“แม่ไม่ได้ยินอะไรเลยลูก” นิดกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
แจ๊คก็ส่ายหน้า “พ่อก็ไม่ได้ยินอะไรเหมือนกันนะ”
น้องเนตรส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะอธิบาย
“คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้ยินหรอกครับ หนูได้ยินคนเดียว ในนี้” ชี้นิ้วเข้าที่ขมับ
“อ๋อ.....สื่อสารทางจิต” แจ๊คพยักหน้าหงึกๆ
นิดถามลูกต่อด้วยความเป็นห่วง
“หนูคิดว่า หนูสู้พวกเค้าได้ไหมลูก ?”
“มีบางคน พลังเข้มแข็งมากครับ หนูไม่อยากเจอ” น้องเนตรกล่าว สีหน้ายังเฉยเมย “ แต่ถ้าหลบไม่ได้ ก็ต้องลองสู้ดูครับ คุณแม่กับคุณพ่อไม่ต้องห่วงหนู ถ้าหนูเป็นอะไร พวกของหนูจะมาช่วยทันทีครับ”
“แล้วถ้าสมมติว่า งานของลูกที่นี่เสร็จแล้ว จะเป็นไงต่อ ?” แจ๊คซักถามต่อไป ข้อนี้เขาอยากรู้มาก
“คุณพ่อกับคุณแม่ก็จะได้กลับบ้านครับ” เด็กน้อยตอบ
“แล้วลูกล่ะ ?” ทั้งพ่อและแม่ถามพร้อมกัน
“หนูจะไปกับพวกของหนู พวกเค้ามีงานให้หนูทำอีกครับ และหนูจะขอพวกเค้าว่า ถ้าเสร็จงานหนูจะกลับมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ครับ”
นิดน้ำตาร่วง เธอกอดลูกน้อยไว้แนบแน่นและนิ่ง โดยมีแจ๊คโอบกอดทั้งแม่ทั้งลูกไว้อีกที
หากหยุดเวลาไว้ได้ ทั้งสามพ่อแม่ลูก ก็อยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนั้น เพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันอย่างนั้น ตราบชั่วกาลนาน
****************************************************************************************************
9 นาฬิกาตรง...
นายทหารชั้นผู้ใหญ่ระดับพลเอกจากประเทศไทย พร้อมกับ ดร.อัลเลน นำสามพ่อแม่ลูกออกจากห้องพักไปที่อีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องโถงใหญ่ มีห้องกระจกหลายห้องเรียงกันเป็นตับ หลังกระจกเหล่านั้น คือบรรดาเอเลี่ยนรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไปหมด ไม่ซ้ำกันเลย บางตนก็รูปร่างคล้ายมนุษย์ บางตนก็แทบไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตที่ทรงปัญญาเลย เหมือนสัตว์ประหลาดอสุรกายไปเลยก็มี
ข้างนอกห้องกระจก มีคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ประมาณสิบกว่าคน รวมทั้งคนที่สามพ่อแม่ลูกได้พบที่บ้าน และหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้น หญิงชาวอเมริกันวัยกลางคนคนหนึ่ง หน้าตาดี ผมสีบลอนด์ประบ่า สวมชุดคล้ายกับเสื้อกาวน์ของแพทย์ เดินออกมาหาน้องเนตร
นายทหารกล่าวแนะนำเธอให้ทั้งสามคนรู้จัก
“ผมขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือ ดร.เจนนี่ วิลสัน เป็นหมอ และนักชีววิทยา เธอพูดภาษาไทยได้ด้วย”
“สวัสดีค่ะ” ดร.เจนนี่ยกมือไหว้แจ๊คและนิด
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ”
ทั้งสองสามีภรรยายกมือไหว้ตอบ และต่างรู้สึกชื่นชมว่า ดร.สาวคนนี้ พูดภาษาไทยชัดเจนใช้ได้ทีเดียว และนึกสงสัยว่า เธอต้องเป็นคนของซีไอเอด้วยแน่ๆ เพราะพวกสายลับเหล่านี้มักจะผ่านการฝึกภาษาต่างประเทศมาอย่างช่ำชอง