ในที่สุด สุดยอดรายการเรียลลิตี้แข่งขันทำอาหารลิขสิทธิ์ระดับโลกอย่างมาสเตอร์เชฟ ก็เข้ามาในเมืองไทยจนได้…
ขอออกตัวก่อนเลยว่า เราเป็นคนที่ชอบดูรายการนี้มากๆ ทั้งของ Canada และของ Australia ซึ่งในแต่ละประเทศ ก็จะมีเสน่ห์และกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเมื่อของไทยมีกับเค้าด้วยแล้ว เราก็เลยต้องจับตามองเป็นพิเศษ
ก่อนหน้าที่รายการจะ on air ช่วงที่อยู่ระหว่างการรับสมัครผู้เข้าแข่งขัน ก็มีดราม่าอยู่บ้างประปราย แต่ในที่สุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2560 รายการก็ได้ออกอากาศตอนแรก…
รายการนี้จะมีกรรมการ 3 ท่าน คือ เชฟเอียน เชฟป้อม และ ม.ล. ภาสันต์ และพิธีกร 1 ท่าน คือ คุณป๊อก ปิยธิดา
เรื่องความสนุกสนาน ความดราม่าของรายการ รับรองว่ามีให้ครบรสแน่นอน แต่หลังจากที่ได้ดูจนจบแล้ว… เราได้ความรู้อะไรบ้าง มาดูกัน!!
(จริงๆเขียนมา 4 ตอนแล้วในบล็อกของตัวเอง แต่อยากให้คนอื่นได้ร่วมพูดคุยเรื่องนี้กัน ก็เลยขอมาใส่ไว้ในนี้ด้วยนะคะ)
ใน EP.4 นั้น หลังจากที่แข่งขันรอบคัดเลือกกันมา 3 ตอนแล้ว ในที่สุดผู้เข้าแข่งขันทางบ้านก็ได้เข้ามาสู่ครัวมาสเตอร์เชฟเสียที แต่ยังไม่ทันจะได้ดีใจ ก็เจอกับกองขิง 5,000 กก. บรรทุกมาเป็นคันรถ
แม่เจ้า อะไรกันนี่!?! หลายคนคงอุทานแบบนี้อยู่ในใจ
เกิดอะไรขึ้นในครัวมาสเตอร์เชฟสัปดาห์นี้ และเราจะได้ข้อคิดอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง มาดูกัน
บทเรียนวันนี้
1. ถึงคุณจะไม่ชอบ แต่ถ้ารักที่จะทำอาชีพนั้นแล้ว คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการอุปสรรคนั้นให้ได้
2. การที่จะทำอาชีพใดก็ตาม ต้องมีความรู้ รู้จักคุณสมบัติของวัตถุดิบและต้องฝึกฝนให้เกิดทักษะและเชี่ยวชาญชำนาญในการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของเราให้มากที่สุดจึงจะประสบความสำเร็จ
3. เวลาที่ผู้มีประสบการณ์เตือนแล้ว ขอให้ฟัง และหาวิธีแก้ไข อย่าดื้อดึงเกินไป
4. ถึงแม้จะมีพื้นฐานที่ดี แต่ถ้าทำผิดกฎ ก็ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้
ถึงคุณจะไม่ชอบ แต่ถ้ารักที่จะทำอาชีพนั้นแล้ว คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการอุปสรรคนั้นให้ได้
มาสเตอร์เชฟสัปดาห์นี้ ในรอบคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันให้เหลือ 24 คน สิ่งที่ผู้แข่งขันทางบ้านทุกคนต้องเจอก็คือการแสดงความสามารถและทักษะในการใช้มีด เพื่อหั่นขิงออกมาเป็นสองแบบคือ แบบเป็นเส้นๆ และแบบลูกเต๋า โดยแต่ละชิ้นที่ได้ออกมาจะต้องมีขนาดเท่าๆกัน ถ้าใครทำได้ ก็จะได้เข้าไปสู่รอบ 24 คนสุดท้าย แต่ถ้าหั่นแล้วเล็กบ้างใหญ่บ้าง ก็ต้องคืนผ้ากันเปื้อน แล้วกลับบ้านไป
ซึ่งแน่นอน ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ที่ผ่านเข้ารอบมา มีหลายคนที่ไม่เคยหั่นขิงเองเลย เพราะว่าถ้าจะใช้ก็จะไปหาซื้อแบบที่หั่นสำเร็จแพคพร้อมขายได้ตามซุปเปอร์มาร์เกต มีหลายคนบ่นว่า สมัยนี้แล้ว ใครจะมาเสียเวลานั่งขูดเปลือก ตัดแง่ง หั่น ซอยขิง อย่างพิถีพิถันอยู่อีก แต่ก็อย่างที่เชฟป้อมบอก “ถึงคุณจะไม่ชอบ แต่ถ้ารักที่จะเป็นเชฟแล้ว คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับมันให้ได้”
ในการทำงานก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณเลือกอาชีพใดแล้ว แน่นอนมันต้องมีอะไรบางอย่างที่เราไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หัวหน้า วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นปัจจัยที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น ไม่ชอบเพื่อนร่วมงาน ไม่ชอบหัวหน้า ก็เปลี่ยนบริษัทไปซะ คุณก็อาจจะได้เจอคนที่ดีกว่า แต่ถ้าหากเป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ไม่ชอบนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ อันนี้คุณอาจจะต้องพิจารณาเลือกหาอาชีพอื่นแทน การเป็นเชฟมืออาชีพก็เช่นเดียวกัน คุณจะหลีกเลี่ยงวัตถุดิบประกอบอาหารได้อย่างไร นอกเสียจากคุณจะเก่งมากและมีร้านเป็นของตัวเอง
แต่การจะเป็นมืออาชีพได้นั่น ถ้าคุณเก่งจริงแน่จริง คุณจะต้องรู้จักหาวิธีที่จะจัดการกับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้ได้ ไม่ใช่หนีปัญหา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากเป็นผู้ประสานงานมืออาชีพ แต่คุณเกลียดขี้หน้าเพื่อนร่วมงานคนนึงมากๆ ถ้าเป็นมืออาชีพจริงๆ คุณก็จะต้องรู้จักวิธีการเข้าหา ต้องมีจิตวิทยาในการทำงานร่วมกับคนคนนั้น และต้องมีวิธีการจัดการให้คนคนนั้นทำงานให้เราให้สำเร็จให้ได้ นี่แหละถึงจะเรียกว่ามืออาชีพ
แล้วคุณล่ะเป็นมืออาชีพหรือยัง ถามใจคุณดู
การที่จะทำอาชีพใดก็ตาม ต้องมีความรู้ รู้จักคุณสมบัติของวัตถุดิบและต้องฝึกฝนให้เกิดทักษะและเชี่ยวชาญชำนาญในการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของเราให้มากที่สุดจึงจะประสบความสำเร็จ
หลังจากที่คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันได้ครบ 24 คนแล้ว ด่านต่อไปที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเจอ ก็คือการใช้ ปลาทูแม่กลอง เป็นวัตถุดิบหลักในการสร้างสรรค์เมนูอาหาร ซึ่งในด่านนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องรู้จักวิธีในการนำปลาทูมาทำเป็นอาหารให้ไม่มีกลิ่นคาว และต้องรู้ว่าควรจะนำวัตถุดิบชนิดอื่นชนิดใดมาประกอบ ถึงจะเป็นจานที่สร้างสรรค์และมีปลาทูเป็นพระเอกหลักในจาน อีกทั้ง หากผู้เข้าแข่งขันไม่เชี่ยวชาญในการใช้มีดแล้ว ก็จะไม่สามารถเลาะก้างปลาออกมาได้หมดอีกด้วย
อาชีพอื่นๆก็เช่นกัน หากตำรวจหรือทหาร ไม่เชี่ยวชาญในการใช้ปืน หรือคนขับรถเมล์ ไม่เชี่ยวชาญในการขับรถ หรือไม่รู้ระยะวงเลี้ยวของตัวเอง ก็คงจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ดังนั้น หากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพของเราแล้ว เราก็จะต้องรู้ว่า อาวุธ หรือเครื่องไม้เครื่องมือสำคัญของอาชีพเรานั้นคืออะไร แล้วเราก็จะต้องฝึกฝนในการใช้เครื่องไม้เครื่องมือนั้นให้เชี่ยวชาญ และเมื่อเชี่ยวชาญแล้วเราก็จะสามารถนำอาวุธหรือเครื่องไม้เครื่องมือของเราไปทำงานให้ประสบความสำเร็จได้
เวลาที่ผู้มีประสบการณ์เตือนแล้ว ขอให้ฟัง และหาวิธีแก้ไข อย่าดื้อดึงเกินไป
น้องมิ้ง ผู้เลือกทำ “แกงกะทิปลาทูใส่ใบชะมวง” ซึ่งตอนที่เธอกำลังทำอยู่นั้น เชฟป้อมได้เตือนแล้วว่าการทำใบชะมวงให้นิ่มภายในเวลา 1 ชั่วโมงนั้นมันยากมาก ซึ่งแทนที่น้องจะหาเมนูใหม่ น้องกลับดึงดันที่จะทำต่อไป ซึ่งผลที่ออกมาก็แย่เหมือนที่เชฟป้อมได้เตือนเอาไว้แล้ว เพราะใบชะมวงนั้นมันยังไม่นิ่ม และเปรี้ยวมาก ทำให้เธอต้องตกที่นั่งลำบาก ต้องมาลุ้นว่าจะต้องกลับบ้านหรือไม่ แต่โชคยังดีที่ผลงานของเธอยังดีกว่าอีกคน เธอจึงยังได้ผ่านเข้ารอบไป
ในยุคสมัยนี้ ในที่ทำงานส่วนใหญ่ เราจะเห็นได้ว่า จะมีพนักงานหลากหลาย generation ที่ต้องทำงานร่วมกัน ทั้ง Baby Boomer หรือคนทำงานวัย 50 กว่าขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริหาร ทั้ง Generation X หรือคนวัย 38 ปีขึ้นไป ซึ่งจะเป็นระดับหัวหน้า และคน Generation Y อายุ 20 ปีขึ้นไป ที่เป็นพนักงานทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ลักษณะของคน Generation Y ก็คือ มองโลกแบบสุขนิยม ไม่ค่อยอดทนต่ออะไรง่ายๆ และเชื่อมั่นในตัวเอง ดังนั้นเมื่อมีผู้ใหญ่ที่เป็นระดับ Generation X ขึ้นไปมาตักเตือน ก็มักจะไม่ค่อยยอมฟัง เพราะอาจจะเห็นว่าเป็นพวกหัวโบราณ ความคิดเก่าล้าสมัยบ้าง ไม่เข้าใจเด็กรุ่นใหม่บ้าง แต่คนรุ่นใหม่เองก็ควรจะรับฟังคำแนะนำหรือคำตักเตือนจากคนรุ่นก่อนๆบ้าง เพราะอย่างไร เขาเหล่านั้น ก็ได้ผ่านพบเจอปัญหาและอุปสรรคต่างๆมามากมาย อย่างน้อยก็มีประสบการณ์ในการทำงานมามากกว่าเรา คำโบราณที่ว่า ‘อาบน้ำร้อนมาก่อน’ นั้น ก็ยังใช้ได้ผลอยู่ในปัจจุบันนี้ เมื่อรับฟังคำตักเตือนมาแล้ว หากเราเก่งจริง เราก็จะต้องสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเราเองได้
ถึงแม้จะมีพื้นฐานที่ดี แต่ถ้าทำผิดกฎ ก็ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้
ในรอบนี้ มีผู้ที่ทำผิดกฎของรายการอยู่ท่านหนึ่ง เพราะในรอบ 24 คนสุดท้าย มีกฎว่าทุกคนจะมีเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นที่จะเลือกวัตถุดิบและเครื่องปรุงออกมาจากในห้องเก็บของได้ หากเลยเวลาแล้วจะไม่สามารถเข้าไปได้อีก แต่คุณกนกวรรณ ได้กลับเข้าไปใหม่ ในขณะที่คนอื่นๆกำลังทำอาหาร เนื่องจากมีการเปลี่ยนใจทำเมนูอื่นที่ไม่ได้เลือกในตอนแรก และตัวเองขาดวัตถุดิบที่จะต้องทำเมนูใหม่นั้น
ในตอนแรกที่เห็นเชฟป้อมมาตักเตือน ก็ไม่แน่ใจว่า รายการจะใจดีให้เข้ารอบไปได้ทั้งๆที่ทำผิดกฎและเอาเปรียบผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆอย่างนั้นเหรอ แต่สุดท้ายผู้เข้าแข่งขันรายนี้ก็ต้องตกรอบ เพราะเหตุผลที่ว่า ‘ถึงแม้จะมีพื้นฐานการทำอาหารที่ดี แต่ถ้าทำผิดกฎ ก็ไม่สามารถยอมรับได้’ #ปรบมือ.. อันนี้ถือว่ารายการทำถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้นหากมีการผ่อนปรน รายการก็อาจจะเละเทะ ต่างคนต่างลักลอบทำผิดกัน ดิฉันคนนึงนี่ล่ะที่จะเลิกดู!
ในการทำงานก็เหมือนกัน ถึงคุณจะเก่งกาจแค่ไหน ถ้าคุณทำผิดกฎของบริษัท คุณก็ยากที่จะอยู่ต่อ แม้บริษัทจะไม่เอาเรื่อง แต่คุณคงไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ ดังนั้น การเข้าไปทำงานที่ไหนก็ตาม อย่าลืมที่จะศึกษากฎระเบียบของที่ทำงานนั้นๆให้ดี และพยายามรักษากฎระเบียบนั้นไว้ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะต้องเสียสิทธิบางอย่าง หรือเลวร้ายอาจโดนไล่ออกและโดน black list จากที่ทำงานอื่นๆด้วยเช่นกัน
ใน EP นี้ นอกจากจะได้ข้อคิดดีๆอย่างที่กล่าวมาด้านบนแล้ว ในรายการก็ได้สอดแทรกความรู้ในการทำอาหารอยู่เรื่อยๆนะคะ อย่าหาว่ารายการเค้าไร้สาระนะ ไม่ว่าจะเป็นการสอนหั่นขิงจากเชฟเอียน (ชอบท่าลับมีดของเชฟมากฮ่ะ เท่ห์มาก)
การพูดคุยกันของเชฟระหว่างที่ผู้เข้าแข่งกันกำลังเลือกวัตถุดิบ ว่าควรจะทำยังไงกับปลาทูดี นั่นก็มีประโยชน์มากๆ
ส่วนในครั้งหน้า เราจะได้รับความรู้และข้อคิดอะไรบ้าง…
แล้วเราจะมาพบกันใหม่ที่นี่…
MasterChef Thailand …เวลาของคุณเริ่มแล้ว!
(Credit: ภาพจากรายการ MasterChef Thailand)
ย้อนดูตอนก่อนหน้านี้ได้ที่
https://tangthaneesa.wordpress.com/category/series-movie-review/
[CR] [CR] ข้อคิดที่ได้จากรายการ MasterChef Thailand
ขอออกตัวก่อนเลยว่า เราเป็นคนที่ชอบดูรายการนี้มากๆ ทั้งของ Canada และของ Australia ซึ่งในแต่ละประเทศ ก็จะมีเสน่ห์และกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป ดังนั้นเมื่อของไทยมีกับเค้าด้วยแล้ว เราก็เลยต้องจับตามองเป็นพิเศษ
ก่อนหน้าที่รายการจะ on air ช่วงที่อยู่ระหว่างการรับสมัครผู้เข้าแข่งขัน ก็มีดราม่าอยู่บ้างประปราย แต่ในที่สุดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มิถุนายน 2560 รายการก็ได้ออกอากาศตอนแรก…
รายการนี้จะมีกรรมการ 3 ท่าน คือ เชฟเอียน เชฟป้อม และ ม.ล. ภาสันต์ และพิธีกร 1 ท่าน คือ คุณป๊อก ปิยธิดา
เรื่องความสนุกสนาน ความดราม่าของรายการ รับรองว่ามีให้ครบรสแน่นอน แต่หลังจากที่ได้ดูจนจบแล้ว… เราได้ความรู้อะไรบ้าง มาดูกัน!!
(จริงๆเขียนมา 4 ตอนแล้วในบล็อกของตัวเอง แต่อยากให้คนอื่นได้ร่วมพูดคุยเรื่องนี้กัน ก็เลยขอมาใส่ไว้ในนี้ด้วยนะคะ)
ใน EP.4 นั้น หลังจากที่แข่งขันรอบคัดเลือกกันมา 3 ตอนแล้ว ในที่สุดผู้เข้าแข่งขันทางบ้านก็ได้เข้ามาสู่ครัวมาสเตอร์เชฟเสียที แต่ยังไม่ทันจะได้ดีใจ ก็เจอกับกองขิง 5,000 กก. บรรทุกมาเป็นคันรถ
แม่เจ้า อะไรกันนี่!?! หลายคนคงอุทานแบบนี้อยู่ในใจ
เกิดอะไรขึ้นในครัวมาสเตอร์เชฟสัปดาห์นี้ และเราจะได้ข้อคิดอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง มาดูกัน
บทเรียนวันนี้
1. ถึงคุณจะไม่ชอบ แต่ถ้ารักที่จะทำอาชีพนั้นแล้ว คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการอุปสรรคนั้นให้ได้
2. การที่จะทำอาชีพใดก็ตาม ต้องมีความรู้ รู้จักคุณสมบัติของวัตถุดิบและต้องฝึกฝนให้เกิดทักษะและเชี่ยวชาญชำนาญในการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของเราให้มากที่สุดจึงจะประสบความสำเร็จ
3. เวลาที่ผู้มีประสบการณ์เตือนแล้ว ขอให้ฟัง และหาวิธีแก้ไข อย่าดื้อดึงเกินไป
4. ถึงแม้จะมีพื้นฐานที่ดี แต่ถ้าทำผิดกฎ ก็ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้
ถึงคุณจะไม่ชอบ แต่ถ้ารักที่จะทำอาชีพนั้นแล้ว คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการอุปสรรคนั้นให้ได้
มาสเตอร์เชฟสัปดาห์นี้ ในรอบคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันให้เหลือ 24 คน สิ่งที่ผู้แข่งขันทางบ้านทุกคนต้องเจอก็คือการแสดงความสามารถและทักษะในการใช้มีด เพื่อหั่นขิงออกมาเป็นสองแบบคือ แบบเป็นเส้นๆ และแบบลูกเต๋า โดยแต่ละชิ้นที่ได้ออกมาจะต้องมีขนาดเท่าๆกัน ถ้าใครทำได้ ก็จะได้เข้าไปสู่รอบ 24 คนสุดท้าย แต่ถ้าหั่นแล้วเล็กบ้างใหญ่บ้าง ก็ต้องคืนผ้ากันเปื้อน แล้วกลับบ้านไป
ซึ่งแน่นอน ผู้เข้าแข่งขันส่วนใหญ่ที่ผ่านเข้ารอบมา มีหลายคนที่ไม่เคยหั่นขิงเองเลย เพราะว่าถ้าจะใช้ก็จะไปหาซื้อแบบที่หั่นสำเร็จแพคพร้อมขายได้ตามซุปเปอร์มาร์เกต มีหลายคนบ่นว่า สมัยนี้แล้ว ใครจะมาเสียเวลานั่งขูดเปลือก ตัดแง่ง หั่น ซอยขิง อย่างพิถีพิถันอยู่อีก แต่ก็อย่างที่เชฟป้อมบอก “ถึงคุณจะไม่ชอบ แต่ถ้ารักที่จะเป็นเชฟแล้ว คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับมันให้ได้”
ในการทำงานก็เช่นเดียวกัน ถ้าคุณเลือกอาชีพใดแล้ว แน่นอนมันต้องมีอะไรบางอย่างที่เราไม่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน ลูกค้า หัวหน้า วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นปัจจัยที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น ไม่ชอบเพื่อนร่วมงาน ไม่ชอบหัวหน้า ก็เปลี่ยนบริษัทไปซะ คุณก็อาจจะได้เจอคนที่ดีกว่า แต่ถ้าหากเป็นปัจจัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เป็นโปรแกรมเมอร์ แต่ไม่ชอบนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ อันนี้คุณอาจจะต้องพิจารณาเลือกหาอาชีพอื่นแทน การเป็นเชฟมืออาชีพก็เช่นเดียวกัน คุณจะหลีกเลี่ยงวัตถุดิบประกอบอาหารได้อย่างไร นอกเสียจากคุณจะเก่งมากและมีร้านเป็นของตัวเอง
แต่การจะเป็นมืออาชีพได้นั่น ถ้าคุณเก่งจริงแน่จริง คุณจะต้องรู้จักหาวิธีที่จะจัดการกับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นให้ได้ ไม่ใช่หนีปัญหา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณอยากเป็นผู้ประสานงานมืออาชีพ แต่คุณเกลียดขี้หน้าเพื่อนร่วมงานคนนึงมากๆ ถ้าเป็นมืออาชีพจริงๆ คุณก็จะต้องรู้จักวิธีการเข้าหา ต้องมีจิตวิทยาในการทำงานร่วมกับคนคนนั้น และต้องมีวิธีการจัดการให้คนคนนั้นทำงานให้เราให้สำเร็จให้ได้ นี่แหละถึงจะเรียกว่ามืออาชีพ
แล้วคุณล่ะเป็นมืออาชีพหรือยัง ถามใจคุณดู
การที่จะทำอาชีพใดก็ตาม ต้องมีความรู้ รู้จักคุณสมบัติของวัตถุดิบและต้องฝึกฝนให้เกิดทักษะและเชี่ยวชาญชำนาญในการใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของเราให้มากที่สุดจึงจะประสบความสำเร็จ
หลังจากที่คัดเลือกผู้เข้าแข่งขันได้ครบ 24 คนแล้ว ด่านต่อไปที่ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเจอ ก็คือการใช้ ปลาทูแม่กลอง เป็นวัตถุดิบหลักในการสร้างสรรค์เมนูอาหาร ซึ่งในด่านนี้ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องรู้จักวิธีในการนำปลาทูมาทำเป็นอาหารให้ไม่มีกลิ่นคาว และต้องรู้ว่าควรจะนำวัตถุดิบชนิดอื่นชนิดใดมาประกอบ ถึงจะเป็นจานที่สร้างสรรค์และมีปลาทูเป็นพระเอกหลักในจาน อีกทั้ง หากผู้เข้าแข่งขันไม่เชี่ยวชาญในการใช้มีดแล้ว ก็จะไม่สามารถเลาะก้างปลาออกมาได้หมดอีกด้วย
อาชีพอื่นๆก็เช่นกัน หากตำรวจหรือทหาร ไม่เชี่ยวชาญในการใช้ปืน หรือคนขับรถเมล์ ไม่เชี่ยวชาญในการขับรถ หรือไม่รู้ระยะวงเลี้ยวของตัวเอง ก็คงจะเกิดปัญหาขึ้นได้ ดังนั้น หากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพของเราแล้ว เราก็จะต้องรู้ว่า อาวุธ หรือเครื่องไม้เครื่องมือสำคัญของอาชีพเรานั้นคืออะไร แล้วเราก็จะต้องฝึกฝนในการใช้เครื่องไม้เครื่องมือนั้นให้เชี่ยวชาญ และเมื่อเชี่ยวชาญแล้วเราก็จะสามารถนำอาวุธหรือเครื่องไม้เครื่องมือของเราไปทำงานให้ประสบความสำเร็จได้
เวลาที่ผู้มีประสบการณ์เตือนแล้ว ขอให้ฟัง และหาวิธีแก้ไข อย่าดื้อดึงเกินไป
น้องมิ้ง ผู้เลือกทำ “แกงกะทิปลาทูใส่ใบชะมวง” ซึ่งตอนที่เธอกำลังทำอยู่นั้น เชฟป้อมได้เตือนแล้วว่าการทำใบชะมวงให้นิ่มภายในเวลา 1 ชั่วโมงนั้นมันยากมาก ซึ่งแทนที่น้องจะหาเมนูใหม่ น้องกลับดึงดันที่จะทำต่อไป ซึ่งผลที่ออกมาก็แย่เหมือนที่เชฟป้อมได้เตือนเอาไว้แล้ว เพราะใบชะมวงนั้นมันยังไม่นิ่ม และเปรี้ยวมาก ทำให้เธอต้องตกที่นั่งลำบาก ต้องมาลุ้นว่าจะต้องกลับบ้านหรือไม่ แต่โชคยังดีที่ผลงานของเธอยังดีกว่าอีกคน เธอจึงยังได้ผ่านเข้ารอบไป
ในยุคสมัยนี้ ในที่ทำงานส่วนใหญ่ เราจะเห็นได้ว่า จะมีพนักงานหลากหลาย generation ที่ต้องทำงานร่วมกัน ทั้ง Baby Boomer หรือคนทำงานวัย 50 กว่าขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริหาร ทั้ง Generation X หรือคนวัย 38 ปีขึ้นไป ซึ่งจะเป็นระดับหัวหน้า และคน Generation Y อายุ 20 ปีขึ้นไป ที่เป็นพนักงานทั่วไป ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ลักษณะของคน Generation Y ก็คือ มองโลกแบบสุขนิยม ไม่ค่อยอดทนต่ออะไรง่ายๆ และเชื่อมั่นในตัวเอง ดังนั้นเมื่อมีผู้ใหญ่ที่เป็นระดับ Generation X ขึ้นไปมาตักเตือน ก็มักจะไม่ค่อยยอมฟัง เพราะอาจจะเห็นว่าเป็นพวกหัวโบราณ ความคิดเก่าล้าสมัยบ้าง ไม่เข้าใจเด็กรุ่นใหม่บ้าง แต่คนรุ่นใหม่เองก็ควรจะรับฟังคำแนะนำหรือคำตักเตือนจากคนรุ่นก่อนๆบ้าง เพราะอย่างไร เขาเหล่านั้น ก็ได้ผ่านพบเจอปัญหาและอุปสรรคต่างๆมามากมาย อย่างน้อยก็มีประสบการณ์ในการทำงานมามากกว่าเรา คำโบราณที่ว่า ‘อาบน้ำร้อนมาก่อน’ นั้น ก็ยังใช้ได้ผลอยู่ในปัจจุบันนี้ เมื่อรับฟังคำตักเตือนมาแล้ว หากเราเก่งจริง เราก็จะต้องสามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเราเองได้
ถึงแม้จะมีพื้นฐานที่ดี แต่ถ้าทำผิดกฎ ก็ไม่สามารถเป็นที่ยอมรับได้
ในรอบนี้ มีผู้ที่ทำผิดกฎของรายการอยู่ท่านหนึ่ง เพราะในรอบ 24 คนสุดท้าย มีกฎว่าทุกคนจะมีเวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นที่จะเลือกวัตถุดิบและเครื่องปรุงออกมาจากในห้องเก็บของได้ หากเลยเวลาแล้วจะไม่สามารถเข้าไปได้อีก แต่คุณกนกวรรณ ได้กลับเข้าไปใหม่ ในขณะที่คนอื่นๆกำลังทำอาหาร เนื่องจากมีการเปลี่ยนใจทำเมนูอื่นที่ไม่ได้เลือกในตอนแรก และตัวเองขาดวัตถุดิบที่จะต้องทำเมนูใหม่นั้น
ในตอนแรกที่เห็นเชฟป้อมมาตักเตือน ก็ไม่แน่ใจว่า รายการจะใจดีให้เข้ารอบไปได้ทั้งๆที่ทำผิดกฎและเอาเปรียบผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆอย่างนั้นเหรอ แต่สุดท้ายผู้เข้าแข่งขันรายนี้ก็ต้องตกรอบ เพราะเหตุผลที่ว่า ‘ถึงแม้จะมีพื้นฐานการทำอาหารที่ดี แต่ถ้าทำผิดกฎ ก็ไม่สามารถยอมรับได้’ #ปรบมือ.. อันนี้ถือว่ารายการทำถูกต้องแล้ว ไม่เช่นนั้นหากมีการผ่อนปรน รายการก็อาจจะเละเทะ ต่างคนต่างลักลอบทำผิดกัน ดิฉันคนนึงนี่ล่ะที่จะเลิกดู!
ในการทำงานก็เหมือนกัน ถึงคุณจะเก่งกาจแค่ไหน ถ้าคุณทำผิดกฎของบริษัท คุณก็ยากที่จะอยู่ต่อ แม้บริษัทจะไม่เอาเรื่อง แต่คุณคงไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ ดังนั้น การเข้าไปทำงานที่ไหนก็ตาม อย่าลืมที่จะศึกษากฎระเบียบของที่ทำงานนั้นๆให้ดี และพยายามรักษากฎระเบียบนั้นไว้ ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะต้องเสียสิทธิบางอย่าง หรือเลวร้ายอาจโดนไล่ออกและโดน black list จากที่ทำงานอื่นๆด้วยเช่นกัน
ใน EP นี้ นอกจากจะได้ข้อคิดดีๆอย่างที่กล่าวมาด้านบนแล้ว ในรายการก็ได้สอดแทรกความรู้ในการทำอาหารอยู่เรื่อยๆนะคะ อย่าหาว่ารายการเค้าไร้สาระนะ ไม่ว่าจะเป็นการสอนหั่นขิงจากเชฟเอียน (ชอบท่าลับมีดของเชฟมากฮ่ะ เท่ห์มาก)
การพูดคุยกันของเชฟระหว่างที่ผู้เข้าแข่งกันกำลังเลือกวัตถุดิบ ว่าควรจะทำยังไงกับปลาทูดี นั่นก็มีประโยชน์มากๆ
ส่วนในครั้งหน้า เราจะได้รับความรู้และข้อคิดอะไรบ้าง…
แล้วเราจะมาพบกันใหม่ที่นี่…
MasterChef Thailand …เวลาของคุณเริ่มแล้ว!
(Credit: ภาพจากรายการ MasterChef Thailand)
ย้อนดูตอนก่อนหน้านี้ได้ที่ https://tangthaneesa.wordpress.com/category/series-movie-review/