สวัสดีค่ะ วันนี้บีได้มีโอกาสไปบ้านญาติที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีค่ะ เดินไปสวนหลังบ้าน โอ้โห มะม่วงเบาเพียบเลยค่ะรอบนี้พาเพื่อนไปด้วยค่ะเพื่อนก็บอกว่าเป็นมะม่วง3ฤดู เราก็เถียงนะคะว่าเป็นมะม่วงพันธุ์เบา เรียกตามท้องถิ่นว่า "ม่วงเบา"
แต่เพื่อนสุดที่รักดันมาพูดให้เข้าหูก็เลยเริ่มหาข้อมูลเลยค่ะ
มะม่วงเบา ชื่อวิทยาศาสตร์ Mangifera indica L. ซึ่งอยู่ในวงศ์ Anacardiaceac ซึ่งเหมือนมะม่วงพันธุ์อื่นทั่วๆไปค่ะ สำหรับมะม่วงพันธุ์เบานะคะ จะมีรสเปรี้ยวแบบพอดี หรือจะว่าค่อนข้างจัดก็ว่าได้ เปลือกค่อนข้างหนา เมื่อปอกเปลือกออกมาจะมีกลิ่นเปรี้ยวซึ่งทำให้เกิดอาการอยากหรือน้ำลายสอได้ทันทีเลยค่ะ ตรงนี้แหละเลยเป็น Signature ของมะม่วงพันธุ์นี้ที่สำคัญเป็นมะม่วงไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเมื่อปอกเปลือกจึงทำให้เวลาเราเอาลูกดิบมาผ่าซีกเพื่อทานจะได้กลิ่นเปรี้ยวและกลิ่นหอมอ่อนๆของเยื่อหุ้มเม็ดยิ่งทำให้น่าทานมากขึ้นค่ะ ลองศึกษาดูแล้วมะม่วงพันธุ์นี้ มีความคล้ายคลึงกันกับมะม่วงพันธุ์อื่นๆอีกเช่น มะม่วงแก้ว ซึ่งพบมากที่ภาคกลางและภาคอิสาน ลักษณะจะลูกใหญ่กว่ามะม่วงเบา เปรี้ยวน้อยกว่ารสชาดคล้ายกันแต่ยังคงมีกลิ่นเหม็นเขียวเหมือนมะม่วงทั่วไปค่ะ และมะม่วงอีกพันธุ์นึงที่ชาวโลกชอบสับสน "มะม่วง3ฤดู หรือมะม่วง 3 ปี" ค่ะเพราะขนาดลูกคล้ายกันมาก รสชาดก็คล้ายกันแต่สามฤดูจะเปรี้ยวกว่าเล็กน้อยและมีกลิ่นเปลือกเหมือนมะม่วงแก้วนะคะ พบมากเลยที่ภาคเหนือเพราะเป็นมะม่วงพื้นเมืองของชาวเหนือค่ะจะฉ่ำน้ำกว่ามะม่วงเบาค่ะเวลาสุกจะเละกว่ารูดเปลือกทานได้ แม้ลูกจะป้อมๆเหมือนกันแต่ถ้ามองดีๆจะเรียวกว่ามะม่วงเบานะคะ เวลาสุกเนี่ยถ้าสุกจัด มะม่วงเบาจะมีเปลือกเหลืองสีสวยกว่าค่ะ สรุปได้นะคะว่า มะม่วงทั้งสามไม่ใช่อันเดียวกันอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นพี่น้องกันค่ะ
****ก็ยังเป็นข้อโต้เถียงอยู่นะคะว่ามะม่วงไหน "เกิดก่อนกัน" เพราะบางตำราบอกไว้ว่า มะม่วงเบากลายพันธุ์เมื่อถูกเกิดอยู่ภาคใต้ มะม่วงสามฤดูก็กลายพันธ์เมื่ออยู่ภาคเหนือ พอมาภาคอิสานและภาคกลางบางพื้นที่นั้น ก็บอกว่ากลายพันธุ์มาอีกที อ้าว แล้วสรุปยังไงอ่ะคะ ตรงนี้บีหาข้อมูลไม่ได้ค่ะ เพราะแต่ละพันธุ์อยู่กันมาเป็นร้อยๆปี เอาเป็นว่ามองข้ามค่ะ
---พูดตั้งนาน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแช่อิ่ม อ๋อ ก็แหมอยากเล่าไงคะว่า มะม่วงทั้ง 3 เนี่ย พอมาขายภาคกลางมันก็แพงเหลือเกิน เจอซูเปอร์มาเก็ตดังมะม่วงเบา 190 บาท มะม่วงแก้ว 70 และ มะม่วง 3 ฤดู ตลาดนัดแถวรามอินทรา 80 บาท งั้นเริ่มต้นก็มะม่วงเบาแล้ว ราคาก็แพงกว่าแล้ว
**ขอพูดเฉพาะมะม่วงเบาละกันค่ะ
สำหรับเรื่องของการแช่อิ่ม พออ้าปากไปละก็ "ใครๆ"ก็ทำได้ แล้วความอร่อยละ การเก็บบรรจุละ "ยังไงๆ" จะเหมือนต้นตำหรับไหม
วันนี้บีเลยขอมาแชร์ความเป็นมะม่วงเบาแช่อิ่มคุณยายกันค่ะ
จะทำกินก็ได้ แต่ถ้าจะขาย "ชิมก่อน" ก็ดี 555+
เพราะมั่นใจไปเดี๋ยวกินน้อยเป็นยาระบาย กินมากจะเป็นยาถ่ายชั้นดีเอานะคะ อิอิ
-------------------------------------------------
ส่วนประกอบ
1.มะม่วงเบา 1 กิโลกรัม (มะม่วงอ่อนจนถึงห่ามห้ามอ่อนมากและแก่จัด)
2.น้ำปูนใส
3.เกลือแกง/เกลือเม็ด
4.น้ำเปล่า
5.น้ำตาล 2 กิโล (เพิ่มลดดูจากวิธีทำด้านล่าง)
-------------------------------------------------
วิธีทำ
1.นำกะละมังหรืออ่างให้สะอาดเตรียมน้ำเกลือ
2.นำมะม่วงมาปอกเปลือกค่ะ จากนั้นผ่าครึ่ง (ต้นตำหรับผ่าครึ่งห้ามผ่าเสี้ยวค่ะ) ผ่าครึ่งแล้วให้บั้งเป็นทางยาวค่ะตามใจชอบพอดีๆอย่าให้ขาดจากกันแล้วแช่ในอ่างน้ำเกลือค่ะ
3.เมื่อทำครบทุกลูกให้ล้างให้สะอาดค่ะ ขั้นตอนนี้ต้องสะอาดจริงๆ แล้ววางให้พอสะเด็ดน้ำอย่าให้แห้ง
4.ล้างเสร็จแล้วให้ผสมน้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง น้ำเปล่า 2 ลิตร ละลายเกลือชิมให้เค็ม (เกลือประมาณ2ขีดครึ่ง)ผสมให้เข้ากัน
5.นำมะม่วงคลุกกับน้ำที่ผสมให้เข้ากันเมื่อทั่วแล้วให้เทใส่ภาชนะที่สามารถปิดฝาได้มิดชิดค่ะ ก่อนปิดฝา มะม่วงเบาเขาจะเบ๊าเบาลอยพ้นน้ำกลัวว่าจะกลายเป็นไวน์ซะก่อน แนะนำค่ะหาถุงพลาสติกหน้าใส่น้ำในถุงให้หนักและมากพอที่จะปิดแทนฝาได้ค่ะแล้ววางลงไปตามด้วยฝาของภาชนะนั้นค่ะ จากนั้นก็ ทิ้งไว้
****สำหรับระยะเวลาดองเค็มเพื่อให้มะม่วงคลายเปรี้ยวดังนี้
1.หากเราบั้งเป็นลายตรงซี่ถี่ หรือซอยมะม่วงเป็นชิ้น ให้ทิ้งไว้ 1 คืน
2.หากบั้งไม่ถี่คือน้อยกว่า 5 ซี่ หรือเกลือถึงที่แต่ไม่เค็มจัด ก็ทิ้งไว้สองคืน
3.จากข้อ 1 และข้อ 2 หากจะทำเพื่อทานแบบน้ำมะม่วงเบา แบบหวานหอมชื่นใจทั้ง 2 กรณีให้ทิ้งไว้ 3-4 คืนค่ะ (แนะนำกันพลาดเปรี้ยวปรี้ด)
-------------------------------------------------------------------------
3 Days Later
3วันผ่านไป
นำมะม่วงขึ้นมาค่ะ หยิบมา 1 ชิ้น แล้วเอาไปล้างน้ำเปล่าเยอะๆและขยำขณะล้างนะคะลองชิมดูว่า เปรี้ยวหรือเค็มมากกว่ากัน ถ้าเค็มสำหรับมะม่วงที่ดองไว้เราก็ล้างธรรมดาเอามือคนขณะล้างจนกว่าน้ำจะใส ถ้าเปรี้ยวให้ทำเช่นเดียวกันประมาณ3-4น้ำค่ะ แต่ถ้าทั้งเปรี้ยวทั้งเค็ม ให้เอามือคนๆขณะล้างคนแรงๆได้ค่ะอย่าให้ขาดก็พอแล้วระหว่างล้างให้เอานิ้วพยามลูบตามร่องที่เราบั้งซี่แนวยาวเอาไว้บ้างค่ะแล้วหยิบขึ้นมาพอที่จะกำได้แล้วสะบัดน้ำออก ทำซ้ำ 3 น้ำ หลังจากนั้น ล้างน้ำเปล่าจนน้ำใส วิธีนี้จะทำให้มะม่วงสีเหลืองสวยใสไม่ขุ่น และเนื่องจากแช่น้ำปูนอยู่แล้วจึงทำให้กรอบ ระหว่างล้าง ไม่เละแน่นอนค่ะ เมื่อทำครบ จนใสก็นำมาสะเด็ดน้ำบนตะแกรงค่ะ ชิมอีกทีจะจืดและเปรี้ยวเล็กน้อย สำหรับความเค็มจะมีแทรกมาบ้างแต่ถ้าล้างตามที่บีบอก "รสชาดจะพอดีไม่รบกวนกัน" จากนั้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำแล้วจึงมาเคี่ยวน้ำตาล
-----------------------------------------------------------------------
การเคี่ยวน้ำตาลเพื่อแช่อิ่ม สูตรยายเลยค่ะ การทำน้ำเชื่อมนั้นเราก็ต้อง
ดูจุดประสงค์สำหรับการแช่อิ่มว่า จะทานเนื้อ หรือทานน้ำ หรือเพื่อเก็บไว้ได้นาน ตรงนี้ก็สำคัญนะคะ
1.การทานเนื้อใช้อัตราส่วน น้ำ 1 ส่วน น้ำตาล 2 ส่วนค่ะ (เหมาะสำหรับทานเนื้อยังคงหวานอมเปรี้ยวบ้างน้ำแช่อิ่มนำไปประยุกต์เป็นน้ำเชื่อมน้ำแข็งใส หรือเป็นน้ำหวานปรุงยำ หรืออาหารต่างๆแล้วแต่จะสรรสร้างค่ะ )
2.การทานน้ำใช้อัตราส่วน น้ำ 1 ส่วน น้ำตาล 1 ส่วน (เหมาะสำหรับทานน้ำหวานพอดีอมเปรี้ยวเนื้อก็หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยค่ะ คนไม่ชอบทานเปรี้ยวจะทานได้เพราะไม่ได้เปรี้ยวแบบกระโดด)
3.การเก็บไว้ได้นานใช้อัตราส่วน น้ำ 1 ส่วน น้ำตาล 3 ส่วน (จะหวานแบบแช่อิ่มหวานจัดทานน้ำไม่ได้เททิ้งเก็บแบบแห้งๆ)
-------------------------------------------------------------------------
ขั้นตอนต่อไปเมื่อเคี่ยวได้ที่น้ำจะเริ่มใสพอเดือดและใสให้รีบยกลงอย่าแช่ แนะนำหม้อสแตนเลสเพราะหม้ออลูมิเนียมจะเริ่มเป็นสีน้ำตาลค่ะ
จากนั้นวางไว้ให้เย็นสนิท อุณภูมิไม่ควรเกินอุณหภูมิห้องนะคะ(อากาศร้อนในช่วงหน้าร้อนให้เอาไปทำให้เย็นลงอีกค่ะกันมะม่วงเน่า) เมื่อเย็นได้ที่นำมะม่วงมาไว้ในภาชนะที่จะแช่อิ่ม จากนั้นเทน้ำเชื่อมลงไปค่ะ ถึงตอนนี้ฝาปิดก็สำคัญค่ะ ใส่น้ำเชิ่อมให้ปิดฝาทันทีปิดไว้ 1 คืนสำหรับทานเนื้อ 2 คืนสำหรับทานน้ำ และ 3-4คืนสำหรับเก็บไว้ได้นานค่ะ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นนะคะ
------------------------------------------------------------------------
เคล็ดลับ
1.น้ำเชื่อมเย็นสนิท ห้ามอุ่นๆเพราะเมื่อเปิดฝาสักครั้งทิ้งไว้สักครึ่งวันจะทำให้ขึ้นราทันที
2.น้ำเชื่อมที่ร้อนจะทำให้ "เปื่อย"
3.น้ำปูนใสใส่ขณะดองเกลือเท่านั้น เพราะเมื่อเราล้างน้ำเกลือเราจะได้ไม่ทานน้ำปูนใสสะสมมากเกินไป(แต่ถ้าใส่หลังล้างจะกรอบไปอีกแต่ไม่แนะนำค่ะถึงอร่อยแต่*อันตรายสำหรับคนที่ร่างกายไม่พร้อมจะได้รับ Calcium Carbonate เกินความจำเป็น** แต่สายลุยกินได้ทุกอย่างบนโลก ทำเลยค่ะ ไม่เป็นอันตรายแช่เสร็จล้างพอเป็นพิธีสะเด็ดน้ำแล้วใส่น้ำเชื่อม 5555)
4.การแช่เกลือมีอีกวิธีค่ะ เอามะม่วงที่ล้างแล้วเทน้ำปูนใส 3/4 ถ้วยลงในภาชนะแช่ชนิดถุงพลาสติก(ถุงพบาสติกที่ใส่อาหารรับประทานได้ร้อนเย็น) เกลืออีกสักถ้วยหรือพอดีสำหรับการคลุกคลุ๊กให้เข้ากันแล้วปิดถุงให้สนิท 3 วันแล้วจึงทำตามขั้นตอนต่อไปค่ะ
----------------------------------------------------------------------
วิธีทาน
1.สำหรับคนทำแบบทานเนื้อ สามารถแช่ตู้เย็นไว้ ฉ่ำๆนำมาทานกับน้ำแข็งใส โอ้ยฟินค่ะ เย็นหอมหวาน เปรี้ยวนิดๆชื่นใจ
2.สำหรับคนทานน้ำ ไปใต้สิคะ ร้านขนมจีนเอย ก๋วยจั๊บเอยหรือร้านอาหารตามท้องถิ่นหน่อย ไปหาเก๊กฮวยไม่มีนะคะ มีแต่โหลน้ำเหลือง(ใส่สี) หรือน้ำดูขาวๆขุ่นนิดหน่อยแต่ไม่มากน่าทานแหละค่ะมีมะม่วงลอยพ้นน้ำค่ะ น้ำแข็งใส่แก้วตักน้ำราดมะม่วงสักสองสามชิ้น โห ชื่นจายย คลายเผ็ดจากอาหาร คลายร้อนได้ดีทีเดียว
3. สำหรับคนที่ถนอมเก็บไว้นานๆ มันหวานมากค่ะ คล้ายๆเชื่อมแต่ยังมีรสเปรี้ยวตามสไตล์ค่ะ แนะนำใส่ถุงแล้วซีลสูญญากาศทันทีเมื่อเอาออกมาจากภาชนะที่แช่อิ่มไว้ค่ะ เก็บใส่ตู้ไว้เลยค่ะ ไปฝากญาติผู้ใหญ่ รับรอง ย่าๆตาๆยายๆ ที่เคารพรัก รักตายเลย แต่อย่าลืมแช่เย็นนะคะ จะได้สดชื่นเพิ่มอีกสเต็ป
---------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
สำหรับรูปไม่ได้ถ่ายเลยตอนนี้เอามาทานที่ทำงาน เพื่อนๆชอบมากบอกว่าไม่เหมือนพันธุ์อื่นที่เอามาแช่อิ่มเลยค่ะ หวาน กรอบ หอม อร่อย ชื่นใจจริงๆค่ะ
ขอบคุณนะคะ
ความรู้เรื่องพันธุ์มะม่วง และอ้างอิงความรู้เพิ่มเติมให้เพื่อนๆเข้าไปอ่านค่ะ
-------------------------------------------------------
1 ปฐพีชล วายุอัคคี (2529), มะม่วง,
ฐานเกษตรกรรม ฉบับพิเศษ อันดับที่ 3 สำนักพิมพ์ "ฐานเกษตรกรรม" บางเขน กทม.
2 นายเกษตร. (2556),
มะม่วงพันธุ์เบา ดิบเปรี้ยวสุกแปรรูปอร่อย 24 เมษายน, 2560, จาก ไทยรัฐออนไลน์:
http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/320079
3. กองบรรณาธิการ (2530) มะม่วงเบาภาคใต้,
เคหะการเกษตร ปี่ที่11 ฉบับที่ 127 หน้า 94-97
จะกล่าวถึงมะม่วงเบาแช่อิ่ม
แต่เพื่อนสุดที่รักดันมาพูดให้เข้าหูก็เลยเริ่มหาข้อมูลเลยค่ะ
มะม่วงเบา ชื่อวิทยาศาสตร์ Mangifera indica L. ซึ่งอยู่ในวงศ์ Anacardiaceac ซึ่งเหมือนมะม่วงพันธุ์อื่นทั่วๆไปค่ะ สำหรับมะม่วงพันธุ์เบานะคะ จะมีรสเปรี้ยวแบบพอดี หรือจะว่าค่อนข้างจัดก็ว่าได้ เปลือกค่อนข้างหนา เมื่อปอกเปลือกออกมาจะมีกลิ่นเปรี้ยวซึ่งทำให้เกิดอาการอยากหรือน้ำลายสอได้ทันทีเลยค่ะ ตรงนี้แหละเลยเป็น Signature ของมะม่วงพันธุ์นี้ที่สำคัญเป็นมะม่วงไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวเมื่อปอกเปลือกจึงทำให้เวลาเราเอาลูกดิบมาผ่าซีกเพื่อทานจะได้กลิ่นเปรี้ยวและกลิ่นหอมอ่อนๆของเยื่อหุ้มเม็ดยิ่งทำให้น่าทานมากขึ้นค่ะ ลองศึกษาดูแล้วมะม่วงพันธุ์นี้ มีความคล้ายคลึงกันกับมะม่วงพันธุ์อื่นๆอีกเช่น มะม่วงแก้ว ซึ่งพบมากที่ภาคกลางและภาคอิสาน ลักษณะจะลูกใหญ่กว่ามะม่วงเบา เปรี้ยวน้อยกว่ารสชาดคล้ายกันแต่ยังคงมีกลิ่นเหม็นเขียวเหมือนมะม่วงทั่วไปค่ะ และมะม่วงอีกพันธุ์นึงที่ชาวโลกชอบสับสน "มะม่วง3ฤดู หรือมะม่วง 3 ปี" ค่ะเพราะขนาดลูกคล้ายกันมาก รสชาดก็คล้ายกันแต่สามฤดูจะเปรี้ยวกว่าเล็กน้อยและมีกลิ่นเปลือกเหมือนมะม่วงแก้วนะคะ พบมากเลยที่ภาคเหนือเพราะเป็นมะม่วงพื้นเมืองของชาวเหนือค่ะจะฉ่ำน้ำกว่ามะม่วงเบาค่ะเวลาสุกจะเละกว่ารูดเปลือกทานได้ แม้ลูกจะป้อมๆเหมือนกันแต่ถ้ามองดีๆจะเรียวกว่ามะม่วงเบานะคะ เวลาสุกเนี่ยถ้าสุกจัด มะม่วงเบาจะมีเปลือกเหลืองสีสวยกว่าค่ะ สรุปได้นะคะว่า มะม่วงทั้งสามไม่ใช่อันเดียวกันอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นพี่น้องกันค่ะ
****ก็ยังเป็นข้อโต้เถียงอยู่นะคะว่ามะม่วงไหน "เกิดก่อนกัน" เพราะบางตำราบอกไว้ว่า มะม่วงเบากลายพันธุ์เมื่อถูกเกิดอยู่ภาคใต้ มะม่วงสามฤดูก็กลายพันธ์เมื่ออยู่ภาคเหนือ พอมาภาคอิสานและภาคกลางบางพื้นที่นั้น ก็บอกว่ากลายพันธุ์มาอีกที อ้าว แล้วสรุปยังไงอ่ะคะ ตรงนี้บีหาข้อมูลไม่ได้ค่ะ เพราะแต่ละพันธุ์อยู่กันมาเป็นร้อยๆปี เอาเป็นว่ามองข้ามค่ะ
---พูดตั้งนาน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแช่อิ่ม อ๋อ ก็แหมอยากเล่าไงคะว่า มะม่วงทั้ง 3 เนี่ย พอมาขายภาคกลางมันก็แพงเหลือเกิน เจอซูเปอร์มาเก็ตดังมะม่วงเบา 190 บาท มะม่วงแก้ว 70 และ มะม่วง 3 ฤดู ตลาดนัดแถวรามอินทรา 80 บาท งั้นเริ่มต้นก็มะม่วงเบาแล้ว ราคาก็แพงกว่าแล้ว
**ขอพูดเฉพาะมะม่วงเบาละกันค่ะ
สำหรับเรื่องของการแช่อิ่ม พออ้าปากไปละก็ "ใครๆ"ก็ทำได้ แล้วความอร่อยละ การเก็บบรรจุละ "ยังไงๆ" จะเหมือนต้นตำหรับไหม
วันนี้บีเลยขอมาแชร์ความเป็นมะม่วงเบาแช่อิ่มคุณยายกันค่ะ
จะทำกินก็ได้ แต่ถ้าจะขาย "ชิมก่อน" ก็ดี 555+
เพราะมั่นใจไปเดี๋ยวกินน้อยเป็นยาระบาย กินมากจะเป็นยาถ่ายชั้นดีเอานะคะ อิอิ
-------------------------------------------------
ส่วนประกอบ
1.มะม่วงเบา 1 กิโลกรัม (มะม่วงอ่อนจนถึงห่ามห้ามอ่อนมากและแก่จัด)
2.น้ำปูนใส
3.เกลือแกง/เกลือเม็ด
4.น้ำเปล่า
5.น้ำตาล 2 กิโล (เพิ่มลดดูจากวิธีทำด้านล่าง)
-------------------------------------------------
วิธีทำ
1.นำกะละมังหรืออ่างให้สะอาดเตรียมน้ำเกลือ
2.นำมะม่วงมาปอกเปลือกค่ะ จากนั้นผ่าครึ่ง (ต้นตำหรับผ่าครึ่งห้ามผ่าเสี้ยวค่ะ) ผ่าครึ่งแล้วให้บั้งเป็นทางยาวค่ะตามใจชอบพอดีๆอย่าให้ขาดจากกันแล้วแช่ในอ่างน้ำเกลือค่ะ
3.เมื่อทำครบทุกลูกให้ล้างให้สะอาดค่ะ ขั้นตอนนี้ต้องสะอาดจริงๆ แล้ววางให้พอสะเด็ดน้ำอย่าให้แห้ง
4.ล้างเสร็จแล้วให้ผสมน้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง น้ำเปล่า 2 ลิตร ละลายเกลือชิมให้เค็ม (เกลือประมาณ2ขีดครึ่ง)ผสมให้เข้ากัน
5.นำมะม่วงคลุกกับน้ำที่ผสมให้เข้ากันเมื่อทั่วแล้วให้เทใส่ภาชนะที่สามารถปิดฝาได้มิดชิดค่ะ ก่อนปิดฝา มะม่วงเบาเขาจะเบ๊าเบาลอยพ้นน้ำกลัวว่าจะกลายเป็นไวน์ซะก่อน แนะนำค่ะหาถุงพลาสติกหน้าใส่น้ำในถุงให้หนักและมากพอที่จะปิดแทนฝาได้ค่ะแล้ววางลงไปตามด้วยฝาของภาชนะนั้นค่ะ จากนั้นก็ ทิ้งไว้
****สำหรับระยะเวลาดองเค็มเพื่อให้มะม่วงคลายเปรี้ยวดังนี้
1.หากเราบั้งเป็นลายตรงซี่ถี่ หรือซอยมะม่วงเป็นชิ้น ให้ทิ้งไว้ 1 คืน
2.หากบั้งไม่ถี่คือน้อยกว่า 5 ซี่ หรือเกลือถึงที่แต่ไม่เค็มจัด ก็ทิ้งไว้สองคืน
3.จากข้อ 1 และข้อ 2 หากจะทำเพื่อทานแบบน้ำมะม่วงเบา แบบหวานหอมชื่นใจทั้ง 2 กรณีให้ทิ้งไว้ 3-4 คืนค่ะ (แนะนำกันพลาดเปรี้ยวปรี้ด)
-------------------------------------------------------------------------
3 Days Later
3วันผ่านไป
นำมะม่วงขึ้นมาค่ะ หยิบมา 1 ชิ้น แล้วเอาไปล้างน้ำเปล่าเยอะๆและขยำขณะล้างนะคะลองชิมดูว่า เปรี้ยวหรือเค็มมากกว่ากัน ถ้าเค็มสำหรับมะม่วงที่ดองไว้เราก็ล้างธรรมดาเอามือคนขณะล้างจนกว่าน้ำจะใส ถ้าเปรี้ยวให้ทำเช่นเดียวกันประมาณ3-4น้ำค่ะ แต่ถ้าทั้งเปรี้ยวทั้งเค็ม ให้เอามือคนๆขณะล้างคนแรงๆได้ค่ะอย่าให้ขาดก็พอแล้วระหว่างล้างให้เอานิ้วพยามลูบตามร่องที่เราบั้งซี่แนวยาวเอาไว้บ้างค่ะแล้วหยิบขึ้นมาพอที่จะกำได้แล้วสะบัดน้ำออก ทำซ้ำ 3 น้ำ หลังจากนั้น ล้างน้ำเปล่าจนน้ำใส วิธีนี้จะทำให้มะม่วงสีเหลืองสวยใสไม่ขุ่น และเนื่องจากแช่น้ำปูนอยู่แล้วจึงทำให้กรอบ ระหว่างล้าง ไม่เละแน่นอนค่ะ เมื่อทำครบ จนใสก็นำมาสะเด็ดน้ำบนตะแกรงค่ะ ชิมอีกทีจะจืดและเปรี้ยวเล็กน้อย สำหรับความเค็มจะมีแทรกมาบ้างแต่ถ้าล้างตามที่บีบอก "รสชาดจะพอดีไม่รบกวนกัน" จากนั้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำแล้วจึงมาเคี่ยวน้ำตาล
-----------------------------------------------------------------------
การเคี่ยวน้ำตาลเพื่อแช่อิ่ม สูตรยายเลยค่ะ การทำน้ำเชื่อมนั้นเราก็ต้อง
ดูจุดประสงค์สำหรับการแช่อิ่มว่า จะทานเนื้อ หรือทานน้ำ หรือเพื่อเก็บไว้ได้นาน ตรงนี้ก็สำคัญนะคะ
1.การทานเนื้อใช้อัตราส่วน น้ำ 1 ส่วน น้ำตาล 2 ส่วนค่ะ (เหมาะสำหรับทานเนื้อยังคงหวานอมเปรี้ยวบ้างน้ำแช่อิ่มนำไปประยุกต์เป็นน้ำเชื่อมน้ำแข็งใส หรือเป็นน้ำหวานปรุงยำ หรืออาหารต่างๆแล้วแต่จะสรรสร้างค่ะ )
2.การทานน้ำใช้อัตราส่วน น้ำ 1 ส่วน น้ำตาล 1 ส่วน (เหมาะสำหรับทานน้ำหวานพอดีอมเปรี้ยวเนื้อก็หวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยค่ะ คนไม่ชอบทานเปรี้ยวจะทานได้เพราะไม่ได้เปรี้ยวแบบกระโดด)
3.การเก็บไว้ได้นานใช้อัตราส่วน น้ำ 1 ส่วน น้ำตาล 3 ส่วน (จะหวานแบบแช่อิ่มหวานจัดทานน้ำไม่ได้เททิ้งเก็บแบบแห้งๆ)
-------------------------------------------------------------------------
ขั้นตอนต่อไปเมื่อเคี่ยวได้ที่น้ำจะเริ่มใสพอเดือดและใสให้รีบยกลงอย่าแช่ แนะนำหม้อสแตนเลสเพราะหม้ออลูมิเนียมจะเริ่มเป็นสีน้ำตาลค่ะ
จากนั้นวางไว้ให้เย็นสนิท อุณภูมิไม่ควรเกินอุณหภูมิห้องนะคะ(อากาศร้อนในช่วงหน้าร้อนให้เอาไปทำให้เย็นลงอีกค่ะกันมะม่วงเน่า) เมื่อเย็นได้ที่นำมะม่วงมาไว้ในภาชนะที่จะแช่อิ่ม จากนั้นเทน้ำเชื่อมลงไปค่ะ ถึงตอนนี้ฝาปิดก็สำคัญค่ะ ใส่น้ำเชิ่อมให้ปิดฝาทันทีปิดไว้ 1 คืนสำหรับทานเนื้อ 2 คืนสำหรับทานน้ำ และ 3-4คืนสำหรับเก็บไว้ได้นานค่ะ แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้นนะคะ
------------------------------------------------------------------------
เคล็ดลับ
1.น้ำเชื่อมเย็นสนิท ห้ามอุ่นๆเพราะเมื่อเปิดฝาสักครั้งทิ้งไว้สักครึ่งวันจะทำให้ขึ้นราทันที
2.น้ำเชื่อมที่ร้อนจะทำให้ "เปื่อย"
3.น้ำปูนใสใส่ขณะดองเกลือเท่านั้น เพราะเมื่อเราล้างน้ำเกลือเราจะได้ไม่ทานน้ำปูนใสสะสมมากเกินไป(แต่ถ้าใส่หลังล้างจะกรอบไปอีกแต่ไม่แนะนำค่ะถึงอร่อยแต่*อันตรายสำหรับคนที่ร่างกายไม่พร้อมจะได้รับ Calcium Carbonate เกินความจำเป็น** แต่สายลุยกินได้ทุกอย่างบนโลก ทำเลยค่ะ ไม่เป็นอันตรายแช่เสร็จล้างพอเป็นพิธีสะเด็ดน้ำแล้วใส่น้ำเชื่อม 5555)
4.การแช่เกลือมีอีกวิธีค่ะ เอามะม่วงที่ล้างแล้วเทน้ำปูนใส 3/4 ถ้วยลงในภาชนะแช่ชนิดถุงพลาสติก(ถุงพบาสติกที่ใส่อาหารรับประทานได้ร้อนเย็น) เกลืออีกสักถ้วยหรือพอดีสำหรับการคลุกคลุ๊กให้เข้ากันแล้วปิดถุงให้สนิท 3 วันแล้วจึงทำตามขั้นตอนต่อไปค่ะ
----------------------------------------------------------------------
วิธีทาน
1.สำหรับคนทำแบบทานเนื้อ สามารถแช่ตู้เย็นไว้ ฉ่ำๆนำมาทานกับน้ำแข็งใส โอ้ยฟินค่ะ เย็นหอมหวาน เปรี้ยวนิดๆชื่นใจ
2.สำหรับคนทานน้ำ ไปใต้สิคะ ร้านขนมจีนเอย ก๋วยจั๊บเอยหรือร้านอาหารตามท้องถิ่นหน่อย ไปหาเก๊กฮวยไม่มีนะคะ มีแต่โหลน้ำเหลือง(ใส่สี) หรือน้ำดูขาวๆขุ่นนิดหน่อยแต่ไม่มากน่าทานแหละค่ะมีมะม่วงลอยพ้นน้ำค่ะ น้ำแข็งใส่แก้วตักน้ำราดมะม่วงสักสองสามชิ้น โห ชื่นจายย คลายเผ็ดจากอาหาร คลายร้อนได้ดีทีเดียว
3. สำหรับคนที่ถนอมเก็บไว้นานๆ มันหวานมากค่ะ คล้ายๆเชื่อมแต่ยังมีรสเปรี้ยวตามสไตล์ค่ะ แนะนำใส่ถุงแล้วซีลสูญญากาศทันทีเมื่อเอาออกมาจากภาชนะที่แช่อิ่มไว้ค่ะ เก็บใส่ตู้ไว้เลยค่ะ ไปฝากญาติผู้ใหญ่ รับรอง ย่าๆตาๆยายๆ ที่เคารพรัก รักตายเลย แต่อย่าลืมแช่เย็นนะคะ จะได้สดชื่นเพิ่มอีกสเต็ป
---------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
สำหรับรูปไม่ได้ถ่ายเลยตอนนี้เอามาทานที่ทำงาน เพื่อนๆชอบมากบอกว่าไม่เหมือนพันธุ์อื่นที่เอามาแช่อิ่มเลยค่ะ หวาน กรอบ หอม อร่อย ชื่นใจจริงๆค่ะ
ขอบคุณนะคะ
ความรู้เรื่องพันธุ์มะม่วง และอ้างอิงความรู้เพิ่มเติมให้เพื่อนๆเข้าไปอ่านค่ะ
-------------------------------------------------------
1 ปฐพีชล วายุอัคคี (2529), มะม่วง, ฐานเกษตรกรรม ฉบับพิเศษ อันดับที่ 3 สำนักพิมพ์ "ฐานเกษตรกรรม" บางเขน กทม.
2 นายเกษตร. (2556), มะม่วงพันธุ์เบา ดิบเปรี้ยวสุกแปรรูปอร่อย 24 เมษายน, 2560, จาก ไทยรัฐออนไลน์: http://www.thairath.co.th/column/edu/paperagriculturist/320079
3. กองบรรณาธิการ (2530) มะม่วงเบาภาคใต้, เคหะการเกษตร ปี่ที่11 ฉบับที่ 127 หน้า 94-97