ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, คุณ เปรียว sixtyone, คุณ แอม วิเชียรฉาย, คุณ อุรุเวลา, น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, คุณ ออมอำพัน, คุณ jazzzero, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ เป่าซาง, จารย์จี GTW, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ nasa nasa
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ - บทที่ 1
http://pantip.com/topic/35939682
บทที่ 2
http://pantip.com/topic/35949094
บทที่ 3
http://pantip.com/topic/35952735
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/35959348
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/35965068
บทที่ 6
https://pantip.com/topic/35967281
บทที่ 7
https://pantip.com/topic/35972274
บทที่ 8
https://pantip.com/topic/35978915
บทที่ 9
https://pantip.com/topic/35985669
บทที่ 10
https://pantip.com/topic/35992032
บทนี้มีพูดถึงความลับหนึ่งของเขตค่ะ พระเอกเรื่องนี้มีความลับเยอะค่ะ ค่อยๆ เปิดเผยมาเรื่อยๆ
บทที่ 11
“ท่านไปดีแล้วต้า ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว”
เสียงทุ้มนุ่มนวลที่มาจากข้างหลังเป็นตัวกระตุ้นเตือนให้ปณิตากล้ำกลืนน้ำตา จะใช้กระดาษชิทชู่ในมือซับน้ำตาอีกครั้งก็เห็นว่าเปียกชื้นจนเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้ว หากเพียงไม่นานก็เห็นมือใหญ่ๆ ยื่นผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดมาให้ตรงหน้า ตอนแรกลังเลที่จะรับในทันที แต่พอเหลียวไปมองแล้วเห็นว่าเป็นใครก็จำต้องรับมาอย่างเกรงอกเกรงใจ เจ้าของมือข้างเดียวกันนั้นดึงเอากระดาษทิชชู่ที่เปื้อนทั้งน้ำตาและน้ำมูกมาเสียเองโดยไม่แสดงอากัปกริยารังเกียจแต่อย่างใด จนครูสาวต้องลอบมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยอยากให้เขาทิ้งเสียไวๆ
“แขกเริ่มกลับกันแล้วครับคุณศรีนวล คุณอยู่กับต้าเถอะนะครับ ผมดูแลเรื่องแขกเอง”
คราวนี้เธอรู้ว่าเขาพูดกับใคร แต่ป้าศีรนวลรีบห้ามไว้ รู้ว่าควรเป็นหน้าที่ของตัวเองในเมื่อผู้เป็นหลานไม่อยู่ในสภาพที่จะบอกลาใครในขณะนี้ และนายจ้างของเธอก็ไม่ใช่ญาติพี่น้อง เท่าที่เขาเป็นเจ้าภาพออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วยังรับแขกให้มาตลอดเจ็ดคืนที่สวดศพก็มากพอแล้ว วันนี้เป็นวันเผา คิดว่าควรเป็นคนบอกขอบคุณผู้ที่อุตส่าห์มาร่วมงานเสียเอง อีกอย่างแขกที่มาวันนี้ก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนเดิมๆ ที่มางานสวดพระอภิธรรมเกือบทุกคืน และเริ่มคุ้นกับหลายๆ คนแล้วด้วย
"อิฉันไปส่งแขกดีกว่าค่ะ ฝากคุณช่วยดูต้าด้วยก็แล้วกันนะคะ"
เขตรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ เขาประคับประคองให้เธอไปที่ม้านั่งหน้าเตาเผาศพเมื่อเห็นว่าเริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง
ปณิตาทรุดลงนั่งอย่างว่าง่าย มีร่างใหญ่ๆ ของนายจ้างนั่งลงข้างๆ และลูบผมที่ซอยไว้สั้นอย่างเห็นอกเห็นใจ
"ท่านไปดีแล้วต้า อย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลย โบราณเขาว่าจะทำให้ผู้จากไปห่วงหน้าห่วงหลังนะ"
เขาพยายามปลอบ แม้ไม่แน่ใจในสิ่งที่พูดออกไป ไม่รู้ว่าเรียบเรียงประโยคได้ถูกต้องหรือไม่เสียด้วยซ้ำ ความเป็นคนหัวสมัยใหม่ทำให้ไม่ค่อยจะมีความเชื่อในเรื่องที่ ‘คนโบราณ’ เขาว่ากันสักเท่าไรนัก
"ค่ะคุณเขต" เสียงใสสั่นสะท้าน ศีรษะเล็กๆ ผงกขึ้นลงเหมือนบอกตัวเองมากกว่าจะตอบรับคำของอีกฝ่าย
นายจ้างหนุ่มอยากบอกว่าไม่นานก่อนเสียชีวิต หญิงชราได้ฝากฝังหลานสาวไว้กับเขา นางเล่าให้ฟังว่าถ้านางตาย ปณิตาจะไม่เหลือใครอีกแล้ว ศรีนวล แม้เป็นป้าแท้ๆ แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะดูแลให้ความช่วยเหลือหรือให้ที่อยู่อาศัยแก่หลานได้นาน เหตุก็เพราะไม่ได้สนิทสนมกันมาแต่ต้น เพิ่งจะมาระยะหลังๆ นี่เองที่เริ่มคุ้นเคยกัน เมื่อญาติกลางคนผู้นั้นยื่นมือเข้ามาช่วยชั่วคราวหลังจากที่บ้านถูกยึดเพราะติดเงินค่าผ่อนอยู่หลายเดือน และเหตุที่หล่อนไม่มีรายได้อย่างอื่นนอกจากอาศัยเงินช่วยเหลือจากลูกชายและลูกสาว สภาพชีวิตความเป็นอยู่ภายในบ้านจึงคับแค้นยิ่งขึ้นเมื่อมีอีกชีวิตเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย หญิงสาวจึงได้ดิ้นรนหางานซึ่งมีที่พักให้
แต่ถ้าเขาบอกเธอว่าอย่างนั้นในเวลานี้ เธอจะคิดอย่างไรในเมื่อเพิ่งได้ยินคำพูดของธนิดาในงานสวดศพเมื่อคืน ยิ่งคิดถึงคำพูดของหญิงชราก็ยิ่งสงสาร คุ้นเคยก็แต่กับผู้หญิงที่มีผู้คนประคบประหงมรอบข้าง มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม แต่หญิงสาวผู้นี้ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อยายผู้ชราภาพ
"ต้าเป็นเด็กที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองค่ะคุณ ถึงเราจะยากลำบาก แต่หลานของอิฉันก็ไม่คิดจะออกปากขอความช่วยเหลือจากใคร ก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อให้มีเงินมาเป็นค่ารักษาอิฉันด้วย อิฉันรู้ว่าที่เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะเงินเดือนของหลาน ถึงแม้ต้าจะบอกว่าเป็นเงินฝากที่เหลืออยู่ของแม่ แต่อิฉันก็ไม่เลอะเลือนจนไม่รู้ว่าเงินนั่นหมดไปนานแล้ว"
หญิงชราบอกเขาว่าอย่างนั้น แม้นางจะเป็นเหมือนไม้ที่ใกล้ฝั่งเต็มที แต่ความห่วงใยหลานสาวคนเดียวยังทำให้ปล่อยวางได้ยาก
“อิฉันมองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ ที่จะฝากฝังหลานได้ คุณเป็นผู้ใหญ่ เป็นนายจ้างของต้า ยังไงก็ช่วยดูๆ ให้ด้วยนะคะ"
คำพูดเหล่านั้นชี้ชัดว่านางมองเขาในลักษณะใด นางฝากฝังหลานสาวในฐานะที่เขาเป็นนายจ้าง และในฐานะที่เป็น 'ผู้ใหญ่แล้ว' นางจะคิดอย่างไรถ้ารู้ว่าความรู้สึกที่เขามีต่อหลานสาวของนางค่อยๆ เปลี่ยนจากนายจ้างต่อลูกจ้าง และผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก ไปเป็นอย่างอื่นที่ตัวเองก็ตระหนักชัดขึ้นทุกวัน
บางครั้งก็ยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนี้ เพิ่งจะรู้จักหญิงสาวก็เมื่อไม่นานมานี่เอง เพิ่งจะเดือนกว่าๆ เท่านั้น ความไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เคยรู้จักเป็นสิ่งแรกๆ ที่ทำให้ประทับใจ ไม่เพียงการดิ้นรนต่อสู้ชีวิตแบบไม่ย่อท้อเท่านั้นที่ทำให้น่าสนใจ เธอยังดูเหมือนจะไม่เอาใจใส่กับรูปร่างหน้าตาของตัวเองมากจนเกินเหตุ…เหมือนเช่นผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยรู้จัก วันแรกที่เห็นร่างโปร่งบางเดินออกมาจากห้องทำงานของวารีในชุดกระโปรงหลวมโพรก ไม่ได้เข้ากับรูปร่างเลยจนนิด เหมือนยืมเสื้อผ้าของใครมาใส่ รองเท้าสานส้นเตี้ยไม่ได้อยู่ในแฟชั่นไม่ว่าจะเป็นสมัยใด ผมซอยสั้นจนดูเผินๆ คล้ายเด็กผู้ชาย แต่ในความไม่ใส่ใจปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาให้สะดุดตาผู้พบเห็นคือความงามล้ำลึก ความงามที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ความงามซึ่งไม่ต้องอาศัยสิ่งใดมาเสริมแต่ง
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาผู้หญิงที่เคยให้ความสนิทสนม ไม่ว่าจะเป็นณัฐฐาผู้งามไปหมดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่ก็เป็นความงามที่เปราะบาง ทั้งที่บางจริงๆ และทั้งที่เจ้าตัวพยายามให้เป็นแบบนั้น เพราะรู้ว่าทำให้ผู้ชายรอบตัวหลงใหลหัวปักหัวปำถึงขนาดฆ่ากันตายเพื่อแย่งชิง
หรืออย่างธนิดาที่ทุ่มเทเงินทองให้หมดไปกับเครื่องสำอางและเสื้อผ้าราคาสูงลิ่ว เสาร์หรืออาทิตย์ก็จะไปหมกตัวอยู่ตามสปาเพื่อบำรุงผิว ขัดผิว ให้เป็นที่วุ่นวายน่าปวดหัว เวลาเข้าใกล้แต่ละทีแทบสำลักกลิ่นน้ำหอมราคาแพงซึ่งเขาไม่เคยหลงใหลความหอมของมันแม้แต่นิด
แล้วมาถึงคืนนั้น คืนซึ่งทำให้เริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ในความพยายามแสดงออกภายนอกว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใดของหญิงสาว เบื้องลึกคือความเปราะบางและอ่อนแอซึ่งเจ้าตัวพยายามปิดซ่อนไว้อย่างมิดชิด ทุกครั้งที่คิดถึงเรือนร่างเปลือยเปล่ากำลังสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขน ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งเธอมีให้ในช่วงขณะเวลาที่กำลังอับอายอย่างถึงที่สุด ทั้งๆ ที่เวลานั้นตัวเขาเองแท้ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้อายได้ถึงขนาดนั้น หากในเวลาเดียวกันเธอก็กลับมอบความไว้วางใจให้เขาเป็นผู้พาออกพ้นสภาพซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกนั้นด้วยเช่นกัน สภาพการณ์ที่ขัดกันเองนั้นดูเหลือเชื่อ ความขัดแย้งที่เห็นน่าตื่นเต้น น่าพิสมัยอย่างยากจะอธิบาย
"ก่อนท่านสิ้น ยายออกปากฝากต้าไว้กับผม”
เมื่อเห็นหญิงสาวสงบลงบ้างแล้ว ไม่เอาแต่ร่ำไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเมื่อครู่ เขาจึงเกริ่นนำให้ได้รู้ แน่ใจว่าเมื่อผ่านงานนี้ไปแล้ว เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องคิด ให้ต้องวุ่นวาย เธอจะรู้สึกถึงความว้าเหว่ และตระหนักว่าไม่มีหลักยึดอีกแล้วอย่างแน่นอน
“ผมรับปากท่านเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ต้าก็อยู่ดูแลนนท์กับนิพไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ ถ้าผมพาเด็กทั้งคู่มากรุงเทพได้ ผมก็อยากให้ต้ามาอยู่เสียที่กรุงเทพด้วย ตกลงไหม"
ปณิตาประนมขึ้นหว่างอกอีกครั้ง ขณะตอบรับเสียงแผ่วหวิว
"ค่ะ คุณเขต"
พูดกันได้เพียงแค่นั้นต่างก็เงียบไปพร้อมกัน ต่างคนต่างคิดกันไปคนละทาง ปณิตาคิดขึ้นได้ถึงคำพูดเมื่อคืนเกี่ยวกับงานแซยิดแม่ของธนิดา...หญิงสาวผู้ตามติดเขาเหมือนเงาตามตัว
"คุณเขตไม่ไปงานคุณแม่ของคุณนิดหรอกหรือคะ งานเผายายก็เสร็จแล้ว"
คุ้มสีทอง (บทที่ 11)
ขอบคุณ คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, คุณ เปรียว sixtyone, คุณ แอม วิเชียรฉาย, คุณ อุรุเวลา, น้องดาว Lady Star 919, คุณ สมาชิกหมายเลข 1065771, คุณ ออมอำพัน, คุณ jazzzero, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ เป่าซาง, จารย์จี GTW, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ nasa nasa
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ - บทที่ 1 http://pantip.com/topic/35939682
บทที่ 2 http://pantip.com/topic/35949094
บทที่ 3 http://pantip.com/topic/35952735
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/35959348
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/35965068
บทที่ 6 https://pantip.com/topic/35967281
บทที่ 7 https://pantip.com/topic/35972274
บทที่ 8 https://pantip.com/topic/35978915
บทที่ 9 https://pantip.com/topic/35985669
บทที่ 10 https://pantip.com/topic/35992032
บทนี้มีพูดถึงความลับหนึ่งของเขตค่ะ พระเอกเรื่องนี้มีความลับเยอะค่ะ ค่อยๆ เปิดเผยมาเรื่อยๆ
“ท่านไปดีแล้วต้า ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกแล้ว”
เสียงทุ้มนุ่มนวลที่มาจากข้างหลังเป็นตัวกระตุ้นเตือนให้ปณิตากล้ำกลืนน้ำตา จะใช้กระดาษชิทชู่ในมือซับน้ำตาอีกครั้งก็เห็นว่าเปียกชื้นจนเปื่อยยุ่ยไปหมดแล้ว หากเพียงไม่นานก็เห็นมือใหญ่ๆ ยื่นผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดมาให้ตรงหน้า ตอนแรกลังเลที่จะรับในทันที แต่พอเหลียวไปมองแล้วเห็นว่าเป็นใครก็จำต้องรับมาอย่างเกรงอกเกรงใจ เจ้าของมือข้างเดียวกันนั้นดึงเอากระดาษทิชชู่ที่เปื้อนทั้งน้ำตาและน้ำมูกมาเสียเองโดยไม่แสดงอากัปกริยารังเกียจแต่อย่างใด จนครูสาวต้องลอบมองซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยอยากให้เขาทิ้งเสียไวๆ
“แขกเริ่มกลับกันแล้วครับคุณศรีนวล คุณอยู่กับต้าเถอะนะครับ ผมดูแลเรื่องแขกเอง”
คราวนี้เธอรู้ว่าเขาพูดกับใคร แต่ป้าศีรนวลรีบห้ามไว้ รู้ว่าควรเป็นหน้าที่ของตัวเองในเมื่อผู้เป็นหลานไม่อยู่ในสภาพที่จะบอกลาใครในขณะนี้ และนายจ้างของเธอก็ไม่ใช่ญาติพี่น้อง เท่าที่เขาเป็นเจ้าภาพออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด แล้วยังรับแขกให้มาตลอดเจ็ดคืนที่สวดศพก็มากพอแล้ว วันนี้เป็นวันเผา คิดว่าควรเป็นคนบอกขอบคุณผู้ที่อุตส่าห์มาร่วมงานเสียเอง อีกอย่างแขกที่มาวันนี้ก็มีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นคนเดิมๆ ที่มางานสวดพระอภิธรรมเกือบทุกคืน และเริ่มคุ้นกับหลายๆ คนแล้วด้วย
"อิฉันไปส่งแขกดีกว่าค่ะ ฝากคุณช่วยดูต้าด้วยก็แล้วกันนะคะ"
เขตรับคำอย่างเต็มอกเต็มใจ เขาประคับประคองให้เธอไปที่ม้านั่งหน้าเตาเผาศพเมื่อเห็นว่าเริ่มสะอึกสะอื้นอีกครั้ง
ปณิตาทรุดลงนั่งอย่างว่าง่าย มีร่างใหญ่ๆ ของนายจ้างนั่งลงข้างๆ และลูบผมที่ซอยไว้สั้นอย่างเห็นอกเห็นใจ
"ท่านไปดีแล้วต้า อย่าเศร้าโศกเสียใจไปเลย โบราณเขาว่าจะทำให้ผู้จากไปห่วงหน้าห่วงหลังนะ"
เขาพยายามปลอบ แม้ไม่แน่ใจในสิ่งที่พูดออกไป ไม่รู้ว่าเรียบเรียงประโยคได้ถูกต้องหรือไม่เสียด้วยซ้ำ ความเป็นคนหัวสมัยใหม่ทำให้ไม่ค่อยจะมีความเชื่อในเรื่องที่ ‘คนโบราณ’ เขาว่ากันสักเท่าไรนัก
"ค่ะคุณเขต" เสียงใสสั่นสะท้าน ศีรษะเล็กๆ ผงกขึ้นลงเหมือนบอกตัวเองมากกว่าจะตอบรับคำของอีกฝ่าย
นายจ้างหนุ่มอยากบอกว่าไม่นานก่อนเสียชีวิต หญิงชราได้ฝากฝังหลานสาวไว้กับเขา นางเล่าให้ฟังว่าถ้านางตาย ปณิตาจะไม่เหลือใครอีกแล้ว ศรีนวล แม้เป็นป้าแท้ๆ แต่ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะดูแลให้ความช่วยเหลือหรือให้ที่อยู่อาศัยแก่หลานได้นาน เหตุก็เพราะไม่ได้สนิทสนมกันมาแต่ต้น เพิ่งจะมาระยะหลังๆ นี่เองที่เริ่มคุ้นเคยกัน เมื่อญาติกลางคนผู้นั้นยื่นมือเข้ามาช่วยชั่วคราวหลังจากที่บ้านถูกยึดเพราะติดเงินค่าผ่อนอยู่หลายเดือน และเหตุที่หล่อนไม่มีรายได้อย่างอื่นนอกจากอาศัยเงินช่วยเหลือจากลูกชายและลูกสาว สภาพชีวิตความเป็นอยู่ภายในบ้านจึงคับแค้นยิ่งขึ้นเมื่อมีอีกชีวิตเข้ามาอาศัยอยู่ด้วย หญิงสาวจึงได้ดิ้นรนหางานซึ่งมีที่พักให้
แต่ถ้าเขาบอกเธอว่าอย่างนั้นในเวลานี้ เธอจะคิดอย่างไรในเมื่อเพิ่งได้ยินคำพูดของธนิดาในงานสวดศพเมื่อคืน ยิ่งคิดถึงคำพูดของหญิงชราก็ยิ่งสงสาร คุ้นเคยก็แต่กับผู้หญิงที่มีผู้คนประคบประหงมรอบข้าง มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม แต่หญิงสาวผู้นี้ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ทั้งเพื่อตัวเอง และเพื่อยายผู้ชราภาพ
"ต้าเป็นเด็กที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองค่ะคุณ ถึงเราจะยากลำบาก แต่หลานของอิฉันก็ไม่คิดจะออกปากขอความช่วยเหลือจากใคร ก้มหน้าก้มตาทำงานเพื่อให้มีเงินมาเป็นค่ารักษาอิฉันด้วย อิฉันรู้ว่าที่เข้ามาอยู่ที่นี่ได้ก็เพราะเงินเดือนของหลาน ถึงแม้ต้าจะบอกว่าเป็นเงินฝากที่เหลืออยู่ของแม่ แต่อิฉันก็ไม่เลอะเลือนจนไม่รู้ว่าเงินนั่นหมดไปนานแล้ว"
หญิงชราบอกเขาว่าอย่างนั้น แม้นางจะเป็นเหมือนไม้ที่ใกล้ฝั่งเต็มที แต่ความห่วงใยหลานสาวคนเดียวยังทำให้ปล่อยวางได้ยาก
“อิฉันมองไม่เห็นใครแล้วจริงๆ ที่จะฝากฝังหลานได้ คุณเป็นผู้ใหญ่ เป็นนายจ้างของต้า ยังไงก็ช่วยดูๆ ให้ด้วยนะคะ"
คำพูดเหล่านั้นชี้ชัดว่านางมองเขาในลักษณะใด นางฝากฝังหลานสาวในฐานะที่เขาเป็นนายจ้าง และในฐานะที่เป็น 'ผู้ใหญ่แล้ว' นางจะคิดอย่างไรถ้ารู้ว่าความรู้สึกที่เขามีต่อหลานสาวของนางค่อยๆ เปลี่ยนจากนายจ้างต่อลูกจ้าง และผู้ใหญ่ที่มีต่อเด็ก ไปเป็นอย่างอื่นที่ตัวเองก็ตระหนักชัดขึ้นทุกวัน
บางครั้งก็ยังไม่เข้าใจตัวเองด้วยซ้ำว่าทำไมจึงรู้สึกเช่นนี้ เพิ่งจะรู้จักหญิงสาวก็เมื่อไม่นานมานี่เอง เพิ่งจะเดือนกว่าๆ เท่านั้น ความไม่เหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เคยรู้จักเป็นสิ่งแรกๆ ที่ทำให้ประทับใจ ไม่เพียงการดิ้นรนต่อสู้ชีวิตแบบไม่ย่อท้อเท่านั้นที่ทำให้น่าสนใจ เธอยังดูเหมือนจะไม่เอาใจใส่กับรูปร่างหน้าตาของตัวเองมากจนเกินเหตุ…เหมือนเช่นผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยรู้จัก วันแรกที่เห็นร่างโปร่งบางเดินออกมาจากห้องทำงานของวารีในชุดกระโปรงหลวมโพรก ไม่ได้เข้ากับรูปร่างเลยจนนิด เหมือนยืมเสื้อผ้าของใครมาใส่ รองเท้าสานส้นเตี้ยไม่ได้อยู่ในแฟชั่นไม่ว่าจะเป็นสมัยใด ผมซอยสั้นจนดูเผินๆ คล้ายเด็กผู้ชาย แต่ในความไม่ใส่ใจปรุงแต่งรูปร่างหน้าตาให้สะดุดตาผู้พบเห็นคือความงามล้ำลึก ความงามที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง ความงามซึ่งไม่ต้องอาศัยสิ่งใดมาเสริมแต่ง
ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาผู้หญิงที่เคยให้ความสนิทสนม ไม่ว่าจะเป็นณัฐฐาผู้งามไปหมดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แต่ก็เป็นความงามที่เปราะบาง ทั้งที่บางจริงๆ และทั้งที่เจ้าตัวพยายามให้เป็นแบบนั้น เพราะรู้ว่าทำให้ผู้ชายรอบตัวหลงใหลหัวปักหัวปำถึงขนาดฆ่ากันตายเพื่อแย่งชิง
หรืออย่างธนิดาที่ทุ่มเทเงินทองให้หมดไปกับเครื่องสำอางและเสื้อผ้าราคาสูงลิ่ว เสาร์หรืออาทิตย์ก็จะไปหมกตัวอยู่ตามสปาเพื่อบำรุงผิว ขัดผิว ให้เป็นที่วุ่นวายน่าปวดหัว เวลาเข้าใกล้แต่ละทีแทบสำลักกลิ่นน้ำหอมราคาแพงซึ่งเขาไม่เคยหลงใหลความหอมของมันแม้แต่นิด
แล้วมาถึงคืนนั้น คืนซึ่งทำให้เริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ในความพยายามแสดงออกภายนอกว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใดของหญิงสาว เบื้องลึกคือความเปราะบางและอ่อนแอซึ่งเจ้าตัวพยายามปิดซ่อนไว้อย่างมิดชิด ทุกครั้งที่คิดถึงเรือนร่างเปลือยเปล่ากำลังสั่นสะท้านอยู่ในอ้อมแขน ความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งเธอมีให้ในช่วงขณะเวลาที่กำลังอับอายอย่างถึงที่สุด ทั้งๆ ที่เวลานั้นตัวเขาเองแท้ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้อายได้ถึงขนาดนั้น หากในเวลาเดียวกันเธอก็กลับมอบความไว้วางใจให้เขาเป็นผู้พาออกพ้นสภาพซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกนั้นด้วยเช่นกัน สภาพการณ์ที่ขัดกันเองนั้นดูเหลือเชื่อ ความขัดแย้งที่เห็นน่าตื่นเต้น น่าพิสมัยอย่างยากจะอธิบาย
"ก่อนท่านสิ้น ยายออกปากฝากต้าไว้กับผม”
เมื่อเห็นหญิงสาวสงบลงบ้างแล้ว ไม่เอาแต่ร่ำไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเมื่อครู่ เขาจึงเกริ่นนำให้ได้รู้ แน่ใจว่าเมื่อผ่านงานนี้ไปแล้ว เมื่อไม่มีอะไรให้ต้องคิด ให้ต้องวุ่นวาย เธอจะรู้สึกถึงความว้าเหว่ และตระหนักว่าไม่มีหลักยึดอีกแล้วอย่างแน่นอน
“ผมรับปากท่านเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ต้าก็อยู่ดูแลนนท์กับนิพไปเรื่อยๆ อย่างนี้แหละ ถ้าผมพาเด็กทั้งคู่มากรุงเทพได้ ผมก็อยากให้ต้ามาอยู่เสียที่กรุงเทพด้วย ตกลงไหม"
ปณิตาประนมขึ้นหว่างอกอีกครั้ง ขณะตอบรับเสียงแผ่วหวิว
"ค่ะ คุณเขต"
พูดกันได้เพียงแค่นั้นต่างก็เงียบไปพร้อมกัน ต่างคนต่างคิดกันไปคนละทาง ปณิตาคิดขึ้นได้ถึงคำพูดเมื่อคืนเกี่ยวกับงานแซยิดแม่ของธนิดา...หญิงสาวผู้ตามติดเขาเหมือนเงาตามตัว
"คุณเขตไม่ไปงานคุณแม่ของคุณนิดหรอกหรือคะ งานเผายายก็เสร็จแล้ว"