คุ้มสีทอง (บทที่ 8)

ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ jazzzero, น้องนุ้ย ณวลี, น้องดาว Lady Star 919, จารย์จี GTW, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ เป่าชาง, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ อุรุเวลา, คุณ  ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ เขมปัณณ์, คุณ nasa nasa
ขอบคุณสำหรับทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทก่อนหน้าค่ะ
บทนำ - บทที่ 1  http://pantip.com/topic/35939682
บทที่ 2   http://pantip.com/topic/35949094
บทที่ 3   http://pantip.com/topic/35952735
บทที่ 4   http://pantip.com/topic/35959348
บทที่ 5   http://pantip.com/topic/35965068
บทที่ 6   https://pantip.com/topic/35967281
บทที่ 7   https://pantip.com/topic/35972274


บทที่ 8



นับแต่คืนวันเกิดเหตุน่าอับอาย ปณิตามีความรู้สึกว่าอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป อะไรบางอย่างที่บอกตัวเองไม่ได้ มีบางช่วงที่อยู่ดีๆ ก็เบลอขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่รู้สาเหตุ  ส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่สำคัญคือทุกครั้งที่เกิดอาการแบบนั้นจะจำอะไรไม่ได้เลย ที่ได้รู้ว่ามีอะไรผิดปกติก็เมื่อคนในบ้านบอก

‘คุณครูเป็นอะไรคะ หนูพูดด้วย คุณครูก็ไม่ยอมพูดกับหนู’

คำถามนั้นมาจากน้อย เป็นครั้งแรกที่ช่วยให้ได้รู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับตัว

แต่แม้พยายามเรียกความทรงจำในช่วงเวลาที่ขาดหายไปอย่างไร ก็ยังจำไม่ได้อยู่นั่นเองว่าตอนนั้นกำลังทำอะไร หรือกำลังมีอะไรเกิดขึ้นรอบตัว ส่วนมากรู้ตัวอีกทีก็เมื่อดูนาฬิกาแล้วรู้ว่าหายไปสองนาที ห้านาที บางครั้งนานถึงสิบนาที โดยไม่รู้ว่าเวลาที่หายไปนั้นมันเกิดอะไรขึ้น

อาการแบบนั้นเริ่มจากช่วงสั้นๆ ไม่กี่นาที แล้วค่อยๆยา วขึ้นเรื่อยๆ ครั้งที่ยาวที่สุดถึงสิบกว่านาทีเลยทีเดียว ป้าคำแปงบอกว่าคราวหนึ่งเธอเข้าไปในครัวเพื่อเอาของว่างออกมาให้เด็กๆ แต่ก่อนที่แม่บ้านกลางคนทันจะส่งจานให้ เธอกลับเดินเหม่อออกไปจากห้องเสียเฉยๆ อย่างนั้นเอง

สิบนาที! ถ้าเป็นเวลาปกติ เวลาสิบนาทีอาจไม่มีความหมายอะไร แต่สิบนาทีที่หายไปโดยจำอะไรไม่ได้ ไม่รู้สึกตัว เป็นเวลาสิบนาทีที่น่าตกใจ

ปณิตามีอาการแบบนั้นอยู่สามวัน แล้วกลับเป็นปกติอย่างเดิม อาการเหม่อลอยหายไป อาการเบลอหายไป จึงได้สงสัยว่าอาจเป็นเพราะศีรษะถูกกระแทกอย่างแรงในคืนนั้น ทำให้สมองได้รับความกระทบกระเทือนหรือเปล่า แต่เมื่อดีขึ้นแล้ว ก็ไม่ติดใจอะไรอีก

สิ่งหนึ่งที่หญิงสาวตั้งใจไว้แน่วแน่ คือจะหาโอกาสข้ามไปดูฝั่งตรงข้ามของธารน้ำให้ได้ หลายวันมาแล้วที่เฝ้ามองฝั่งนั้น รู้จากลุงผันว่าเคยเป็นสวนดอกไม้และสวนผลไม้เมืองหนาวซึ่งคุณขจรทำเล่นๆ อยู่เกือบสิบปี พอท่านเสียชีวิต ก็มีอันต้องเลิกไป ในช่วงเวลาที่สวนกำลังรุ่งจัด แม้จะเป็นเพียงการปลูกเล่นๆ แต่เนื้อที่กว่าสามสิบไร่ทำให้มีผลผลิตจากไม้ดอกและไม้ผลมากมายจนส่งขายได้เป็นกอบเป็นกำ เคยคิดกันถึงขนาดจะทำธุรกิจส่งขายดอกไม้และผลไม้เมืองหนาวไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีสภาพอากาศอย่างทางเหนือแบบนี้เสียด้วยซ้ำ แต่ความคิดนั้นก็ไม่เคยเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา เหตุก็เพราะเจ้าของผู้เป็นหัวเรือใหญ่สิ้นชีวิตลงเสียก่อน

ตอนนี้ฝั่งนั้นถูกทิ้งให้รกร้าง คุณเขตเคยคิดจะลงทุนร่วมกับคนรู้จักแล้วทำเป็นรีสอร์ต คิดว่าความสวยงามของภูมิประเทศและอากาศที่ไม่ร้อนจัดในหน้าร้อนน่าจะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มาก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ลุงผันไม่ได้ขยายความต่อว่าทำไม

แต่แม้จะไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มานานหลายปี ในเวลากลางวันเมื่อมองจากฝั่งนี้ ระยะที่ไม่ห่างกันมาก ทำให้มองเห็นดอกไม้และผลไม้หลายประเภทซึ่งยังคงเติบโตตามมีตามเกิด ดอกไม้ขนาดใหญ่บางชนิดเธอไม่เคยเห็นมาก่อนเลยด้วยซ้ำ แถมยังเห็นต้นแอปเปิ้ลออกผลสะพรั่งอยู่สามสี่ต้น ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากข้ามไปดู

‘คอยให้แล้งซักสี่ห้าวันนะครับคุณครู พอไม่มีฝนตกติดๆ กันหลายวัน น้ำจะลด เดินลุยน้ำข้ามไปได้สบายๆ ไม่งั้นต้องเอาเรือพายข้ามไป’ ลุงผันเคยบอกว่าอย่างนั้น

‘แล้วทำไมไม่ทำสะพานละคะ ที่ทั้งสองฝั่งเป็นของคุณขจร น่าจะทำสะพานเดินข้ามไปข้ามมา สะดวกกว่าต้องใช้เรือ หรือต้องลุยน้ำไป’ เธอเคยถามชายชราว่าอย่างนั้น

‘เมื่อก่อนก็มีสะพานครับคุณครู แต่ตอนหลังคุณเขตสั่งให้รื้อเสีย ท่านตั้งใจะปล่อยให้ฝั่งนั้นตัดขาดจากฝั่งนี้เลย’ นั่นคือคำตอบที่ได้รับ

‘อ้าว! ทำไมละคะ’

คำตอบต่อมาจบคำถามของปณิตาลงเพียงเท่านั้น

‘ทั้งคุณขจร คุณศจี คุณแม่ของคุณเขตกับคุณคมน่ะครับ รวมทั้งตัวคุณคมเอง ตายที่ฝั่งนั้นทั้งสามคนเลยครับคุณครู’

ครูสาวไม่คิดจะถามต่อว่าทั้งสามคนเป็นอะไรตาย เพราะเคยลองแล้ว แต่ชายสูงอายุเงียบเสียทุกครั้ง รู้ว่าบ้านหลังนี้มีหลายๆ เรื่องที่ทั้งผู้อยู่อาศัยและเจ้าของพยายามปิดไว้เป็นความลับ

หลังจากรู้ว่าเดินข้ามไปอีกฝั่งได้ ปณิตาเฝ้ามองระดับน้ำอยู่ทุกวัน ฝนไม่ตกมาสี่วัน น้ำในลำธารลดต่ำลงมาก ต่ำจนวางแผนว่าวันใดวันหนึ่งพอพาเด็กๆ เข้านอนกลางวันแล้วก็จะลองเดินข้ามดูสักครั้ง

แล้วก็มาถึงวันที่อากาศดี ไม่ร้อนเกินไป ที่สำคัญคือไม่มีทีท่าว่าฝนจะตก ครูสาวคิดว่าควรให้เด็กๆ เปลี่ยนบรรยากาศ แทนที่จะอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน คิดว่าน่าจะย้ายออกมาเรียนหนังสือข้างนอกบ้าง นอกบ้านมีอะไรน่าสนใจมากมาย จึงหอบหิ้วเสื่อ หนังสือ และอาหารกลางวันพากันมาริมฝั่งธารน้ำ มีน้อยเป็นผู้ช่วยขนของ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่