ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ น้องนุ้ย ณวลี, คุณ เปรียว sixtyone, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ เป่าชาง, คุณ PuPaKae, คุณ มานีโอลา, คุณลิ ลายลิขิต, คุณซอง เพลงเกือบพัน, คุณ อุรุเวลา, จารย์จี GTW
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทนำ - บทที่ 1
http://pantip.com/topic/35939682/comment9-1
บทที่ 2
การเตรียมตัวไปรับงานที่แม่ฮ่องสอนสำหรับปณิตาแล้วไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก บ้านที่อยู่อาศัยก็ไม่มีแล้ว มีก็แต่คอยให้สิ้นเทอมการศึกษานี้ เพื่อจะได้ลาออกจากงาน คิดว่าถ้าออกระหว่างเทอมคงดูไม่ดีแน่ๆ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้มีไม่มาก ทั้งหมดที่มีอยู่รวบรวมใส่กระเป๋าเดินทางเพียงใบเดียวก็หมด ปกติเธอเป็นคนลุยอยู่แล้ว ไปไหนมาไหนง่ายๆ เสื้อผ้าไม่กี่ชุดก็ไปได้ทั่วประเทศ เมื่อคิดว่าบ้านหลังนั้นคงมีข้าวของเครื่องใช้ให้พร้อมเพรียง คงไม่จำเป็นต้องขนอะไรไปมากมาย ขนแต่ของที่จำเป็นกับเสื้อผ้าที่ใช้อยู่เป็นประจำติดตัวไปก็คงพอ อะไรที่ไม่ได้ติดตัวไปด้วย และที่นั่นไม่มีให้ ก็คงหาซื้อเอาข้างหน้าได้ไม่ยาก
เมื่อนายจ้างหนุ่มใหญ่เรียกตัวครูคนใหม่ของหลานๆ ไปอธิบายหน้าที่การงานทั้งหมดให้ได้รู้ก่อนที่ตัวเองจะเดินทางไปต่างประเทศในอีกไม่กี่วัน นั่นแหละจึงได้รู้ว่ากิจการงานของเขาทำให้ต้องเดินทางบ่อยเพียงไร เคยสงสัยว่าถ้าเด็กสองคนนั้นไม่มีพ่อแม่ ไม่มีใครดูแล ทำไมจึงปล่อยทิ้งไว้ในที่ห่างไกลแบบนั้น ทำไมต้องจ้างคนจากกรุงเทพไปช่วยดูแลและสอนหนังสือให้ ทำไมไม่พาเด็กมาอยู่ในกรุงเทพกับเขา เด็กจะได้เข้าเรียนหนังสือในกรุงเทพด้วย แต่ไม่กล้าถามเรื่องนั้น เพราะคิดว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเอง เมื่อรู้ว่าเขาต้องเดินทางไกลบ่อยๆ จึงพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าทำไม
หลังรับมอบงานจากเขต และรับรู้หน้าที่รับผิดชอบที่เขาอธิบายให้ฟังแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องจัดการเรื่องน่าหนักใจอีกเรื่อง ปณิตาคิดตลอดเวลาที่คอยสัมภาษณ์ ว่าถ้าได้งานนี้จริงๆ แล้วจะต้องบอกให้ยายรู้ จะบอกแกว่าอย่างไร ตั้งแต่เกิดจนโตป่านนี้ก็ยังไม่เคยไปอยู่ที่ไหนไกลจากยายเป็นเวลานานๆ มาก่อนเลย ตาเสียมาหลายปีแล้ว และหลังจากที่ตาเสีย ยายอยู่กับครอบครัวของเธอมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่จะต้องไปอยู่ไกลจากยาย จะเป็นเวลานานแค่ไหนตอนนี้ยังบอกไม่ได้ การบอกให้ยายรู้จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย นี่ก็ผัดมาเป็นเดือนแล้ว หาจังหวะเหมาะๆ ที่จะบอกไม่ได้เสียที เหตุก็เพราะไม่แน่ใจว่ายายจะยอมรับได้หรือไม่ว่าหลานสาวคนเดียวที่มีกำลังจะไปทำงานต่างจังหวัด แม้จะได้เกริ่นให้ยายรู้ไปบ้างแล้วเมื่อรู้ว่าได้งานนี้แน่ๆ แต่วันนั้นเป็นเพียงการบอกในเชิงสมมติ
‘ยายว่างานต่างจังหวัดเป็นยังไงบ้างจ๊ะ ทำงานอยู่กรุงเทพเก็บเงินไม่ได้เลย ถ้าได้ไปทำงานต่างจังหวัด มีที่พักให้พร้อม ยายว่าดีมั้ย’
ยายไม่เคยรู้ว่าที่หลานสาวเก็บเงินไม่ได้เพราะเงินเดือนเกือบทั้งหมดแต่ละเดือน ต้องใช้เป็นค่ารักษายายนี่เอง ทุกครั้งที่ท่านถามถึงเรื่องนั้น เธอจะบอกเพียงว่าค่ายา ค่ารักษายาย เป็นเงินฝากธนาคารของแม่ที่ยังเหลืออยู่
ปกติปณิตาจะไปเยี่ยมยายที่โรงพยาบาลทุกบ่ายวันเสาร์และอาทิตย์ ตลอดเวลาห้าเดือนที่ยายเข้าอยู่ในโรงพยาบาลบ้านสมเด็จ เธอไม่เคยเว้นที่จะไปเยี่ยมเลยแม้แต่อาทิตย์เดียว แต่วันนี้ หลังจากไปพบนายจ้างคนใหม่เป็นครั้งที่สอง เพื่อฟังเขาอธิบายหน้าที่การงานที่ต้องทำจนหมดสิ้นแล้ว ก็คิดว่าควรไปบอกยายเสีย อีกสองวันก็จะต้องออกเดินทาง จะผัดอีกคงไม่ได้แล้ว
ในเวลาปกติยายจะมานั่งคอยหลานมาเยี่ยมที่ห้องสำหรับญาติเยี่ยมคนไข้ชั้นล่างของอาคารหลังใหญ่ แต่วันนี้พยาบาลซึ่งเป็นผู้ดูแลคนไข้ตึกนั้นบอกว่าเห็นยายอยู่ที่สวนด้านหลังของตึก ปณิตาเคยไปบริเวณนั้นสองสามครั้ง สวนด้านหลังร่มรื่น มีม้านั่งวางไว้ใต้ต้นไม้ให้คนไข้นั่ง มีเจ้าหน้าที่และพยาบาลเดินดูเป็นระยะ ไม่เฝ้าดูใกล้ชิดอย่างบริเวณอื่น เพราะคนไข้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สวนหย่อมได้เป็นคนที่หมอลงความเห็นว่าไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองหรือต่อคนไข้ด้วยกัน เป็นคนไข้ที่ไม่มีอาการจิตหลอนรุนแรงจนเกินไป
บริเวณนั้นมีคนไข้นั่งๆ ยืนๆ เดินไปเดินมาอยู่หลายคน บางคนกำลังกินขนมที่ญาติติดมือมาฝาก คนไข้ชายคนหนึ่งถอนหญ้าอยู่เพียงคนเดียวข้างทางที่ต้องผ่าน ปากบ่นพึมพำอะไรบางอย่างไม่ได้หยุด
ยายกำลังนั่งคุยกับชายสูงวัยบนม้าไม้ใต้ต้นราชพฤกษ์ ชายผู้นั้นใส่เสื้อซึ่งดูจากระยะไกลพอมองออกว่าเป็นเสื้อหลวมๆ คอกลม ตัดเรียบง่าย ผ้าเนื้อหยาบ สีขาวนวล กางเกงเป็นผ้าชนิดเดียวกัน เห็นแล้วเธอเดาว่าคงเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลเหมือนยาย เพราะเสื้อผ้าที่เขาสวม ดูเผินๆ คล้ายชุดสำหรับคนไข้ชาย แต่เมื่อมองไม่เห็นหน้าชัดเจน จึงบอกได้ยากว่าเป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไร และอายุมากน้อยกว่ายายแค่ไหน ที่เดาได้ว่าคงสูงอายุพอๆ กับยายก็เพราะเห็นผมที่ขาวโพลนทั้งศีรษะ
"น้องต้า" เหลียวไปมองเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง เห็นร่างผอมบางในชุดเครื่องแบบสีขาว จึงรีบยกมือไหว้ในฐานะที่อ่อนวัยกว่า
อีกฝ่ายรับไหว้ "มาเยี่ยมยายหรือคะ"
"ค่ะ พี่ไพ"
ปณิตาสนิทสนมกับอำไพ พยาบาลอาวุโสประจำตึกคนไข้ที่ยายพักจนถึงขนาดเรียกชื่อเล่นกันได้ เธอยื่นถุงใส่ขนมไทยหลายประเภทให้
"พอดีผ่านร้านขนมเจ้านี้ ก็เลยซื้อขนมหม้อแกง ทองหยิบ ฝอยทอง มาฝากพี่ค่ะ"
คุ้มสีทอง (บทที่ 2)
ขอบคุณ น้องนุ้ย ณวลี, คุณ เปรียว sixtyone, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, คุณ เป่าชาง, คุณ PuPaKae, คุณ มานีโอลา, คุณลิ ลายลิขิต, คุณซอง เพลงเกือบพัน, คุณ อุรุเวลา, จารย์จี GTW
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ
บทนำ - บทที่ 1 http://pantip.com/topic/35939682/comment9-1
การเตรียมตัวไปรับงานที่แม่ฮ่องสอนสำหรับปณิตาแล้วไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก บ้านที่อยู่อาศัยก็ไม่มีแล้ว มีก็แต่คอยให้สิ้นเทอมการศึกษานี้ เพื่อจะได้ลาออกจากงาน คิดว่าถ้าออกระหว่างเทอมคงดูไม่ดีแน่ๆ เสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้มีไม่มาก ทั้งหมดที่มีอยู่รวบรวมใส่กระเป๋าเดินทางเพียงใบเดียวก็หมด ปกติเธอเป็นคนลุยอยู่แล้ว ไปไหนมาไหนง่ายๆ เสื้อผ้าไม่กี่ชุดก็ไปได้ทั่วประเทศ เมื่อคิดว่าบ้านหลังนั้นคงมีข้าวของเครื่องใช้ให้พร้อมเพรียง คงไม่จำเป็นต้องขนอะไรไปมากมาย ขนแต่ของที่จำเป็นกับเสื้อผ้าที่ใช้อยู่เป็นประจำติดตัวไปก็คงพอ อะไรที่ไม่ได้ติดตัวไปด้วย และที่นั่นไม่มีให้ ก็คงหาซื้อเอาข้างหน้าได้ไม่ยาก
เมื่อนายจ้างหนุ่มใหญ่เรียกตัวครูคนใหม่ของหลานๆ ไปอธิบายหน้าที่การงานทั้งหมดให้ได้รู้ก่อนที่ตัวเองจะเดินทางไปต่างประเทศในอีกไม่กี่วัน นั่นแหละจึงได้รู้ว่ากิจการงานของเขาทำให้ต้องเดินทางบ่อยเพียงไร เคยสงสัยว่าถ้าเด็กสองคนนั้นไม่มีพ่อแม่ ไม่มีใครดูแล ทำไมจึงปล่อยทิ้งไว้ในที่ห่างไกลแบบนั้น ทำไมต้องจ้างคนจากกรุงเทพไปช่วยดูแลและสอนหนังสือให้ ทำไมไม่พาเด็กมาอยู่ในกรุงเทพกับเขา เด็กจะได้เข้าเรียนหนังสือในกรุงเทพด้วย แต่ไม่กล้าถามเรื่องนั้น เพราะคิดว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของตัวเอง เมื่อรู้ว่าเขาต้องเดินทางไกลบ่อยๆ จึงพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างว่าทำไม
หลังรับมอบงานจากเขต และรับรู้หน้าที่รับผิดชอบที่เขาอธิบายให้ฟังแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องจัดการเรื่องน่าหนักใจอีกเรื่อง ปณิตาคิดตลอดเวลาที่คอยสัมภาษณ์ ว่าถ้าได้งานนี้จริงๆ แล้วจะต้องบอกให้ยายรู้ จะบอกแกว่าอย่างไร ตั้งแต่เกิดจนโตป่านนี้ก็ยังไม่เคยไปอยู่ที่ไหนไกลจากยายเป็นเวลานานๆ มาก่อนเลย ตาเสียมาหลายปีแล้ว และหลังจากที่ตาเสีย ยายอยู่กับครอบครัวของเธอมาโดยตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่จะต้องไปอยู่ไกลจากยาย จะเป็นเวลานานแค่ไหนตอนนี้ยังบอกไม่ได้ การบอกให้ยายรู้จึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย นี่ก็ผัดมาเป็นเดือนแล้ว หาจังหวะเหมาะๆ ที่จะบอกไม่ได้เสียที เหตุก็เพราะไม่แน่ใจว่ายายจะยอมรับได้หรือไม่ว่าหลานสาวคนเดียวที่มีกำลังจะไปทำงานต่างจังหวัด แม้จะได้เกริ่นให้ยายรู้ไปบ้างแล้วเมื่อรู้ว่าได้งานนี้แน่ๆ แต่วันนั้นเป็นเพียงการบอกในเชิงสมมติ
‘ยายว่างานต่างจังหวัดเป็นยังไงบ้างจ๊ะ ทำงานอยู่กรุงเทพเก็บเงินไม่ได้เลย ถ้าได้ไปทำงานต่างจังหวัด มีที่พักให้พร้อม ยายว่าดีมั้ย’
ยายไม่เคยรู้ว่าที่หลานสาวเก็บเงินไม่ได้เพราะเงินเดือนเกือบทั้งหมดแต่ละเดือน ต้องใช้เป็นค่ารักษายายนี่เอง ทุกครั้งที่ท่านถามถึงเรื่องนั้น เธอจะบอกเพียงว่าค่ายา ค่ารักษายาย เป็นเงินฝากธนาคารของแม่ที่ยังเหลืออยู่
ปกติปณิตาจะไปเยี่ยมยายที่โรงพยาบาลทุกบ่ายวันเสาร์และอาทิตย์ ตลอดเวลาห้าเดือนที่ยายเข้าอยู่ในโรงพยาบาลบ้านสมเด็จ เธอไม่เคยเว้นที่จะไปเยี่ยมเลยแม้แต่อาทิตย์เดียว แต่วันนี้ หลังจากไปพบนายจ้างคนใหม่เป็นครั้งที่สอง เพื่อฟังเขาอธิบายหน้าที่การงานที่ต้องทำจนหมดสิ้นแล้ว ก็คิดว่าควรไปบอกยายเสีย อีกสองวันก็จะต้องออกเดินทาง จะผัดอีกคงไม่ได้แล้ว
ในเวลาปกติยายจะมานั่งคอยหลานมาเยี่ยมที่ห้องสำหรับญาติเยี่ยมคนไข้ชั้นล่างของอาคารหลังใหญ่ แต่วันนี้พยาบาลซึ่งเป็นผู้ดูแลคนไข้ตึกนั้นบอกว่าเห็นยายอยู่ที่สวนด้านหลังของตึก ปณิตาเคยไปบริเวณนั้นสองสามครั้ง สวนด้านหลังร่มรื่น มีม้านั่งวางไว้ใต้ต้นไม้ให้คนไข้นั่ง มีเจ้าหน้าที่และพยาบาลเดินดูเป็นระยะ ไม่เฝ้าดูใกล้ชิดอย่างบริเวณอื่น เพราะคนไข้ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สวนหย่อมได้เป็นคนที่หมอลงความเห็นว่าไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองหรือต่อคนไข้ด้วยกัน เป็นคนไข้ที่ไม่มีอาการจิตหลอนรุนแรงจนเกินไป
บริเวณนั้นมีคนไข้นั่งๆ ยืนๆ เดินไปเดินมาอยู่หลายคน บางคนกำลังกินขนมที่ญาติติดมือมาฝาก คนไข้ชายคนหนึ่งถอนหญ้าอยู่เพียงคนเดียวข้างทางที่ต้องผ่าน ปากบ่นพึมพำอะไรบางอย่างไม่ได้หยุด
ยายกำลังนั่งคุยกับชายสูงวัยบนม้าไม้ใต้ต้นราชพฤกษ์ ชายผู้นั้นใส่เสื้อซึ่งดูจากระยะไกลพอมองออกว่าเป็นเสื้อหลวมๆ คอกลม ตัดเรียบง่าย ผ้าเนื้อหยาบ สีขาวนวล กางเกงเป็นผ้าชนิดเดียวกัน เห็นแล้วเธอเดาว่าคงเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลเหมือนยาย เพราะเสื้อผ้าที่เขาสวม ดูเผินๆ คล้ายชุดสำหรับคนไข้ชาย แต่เมื่อมองไม่เห็นหน้าชัดเจน จึงบอกได้ยากว่าเป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไร และอายุมากน้อยกว่ายายแค่ไหน ที่เดาได้ว่าคงสูงอายุพอๆ กับยายก็เพราะเห็นผมที่ขาวโพลนทั้งศีรษะ
"น้องต้า" เหลียวไปมองเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง เห็นร่างผอมบางในชุดเครื่องแบบสีขาว จึงรีบยกมือไหว้ในฐานะที่อ่อนวัยกว่า
อีกฝ่ายรับไหว้ "มาเยี่ยมยายหรือคะ"
"ค่ะ พี่ไพ"
ปณิตาสนิทสนมกับอำไพ พยาบาลอาวุโสประจำตึกคนไข้ที่ยายพักจนถึงขนาดเรียกชื่อเล่นกันได้ เธอยื่นถุงใส่ขนมไทยหลายประเภทให้
"พอดีผ่านร้านขนมเจ้านี้ ก็เลยซื้อขนมหม้อแกง ทองหยิบ ฝอยทอง มาฝากพี่ค่ะ"