กลับมาอเมริกาจากเมืองไทยได้ 2-3 วันแล้วค่ะ แต่มัวแต่ป่วยเสีย ก็เลยเพิ่งจะมีโอกาสไว้แวะมาถนนนักเขียนวันนี้เองค่ะ
ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่าน ในฝั่งฝัน นะคะ ที่บทสุดท้ายไม่ได้ไปบอกขอบคุณไว้เพราะช่วงที่อยู่เมืองไทยต่อเข้าอินเตอร์เน็ตลำบากค่ะ
วันนี้ขอเริ่มลงเรื่องนี้นะคะ เรื่องนี้เขียนไว้เป็นสิบปีแล้วมั้งคะ พิมพ์รวมเล่มไปหลายปีแล้วด้วยค่ะ ตอนนี้หมดสัญญาลิขสิทธิ์พิมพ์ไปนานแล้ว ก็เลยเอามาลงได้ค่ะ เป็นเรื่องผีเรื่องแรกในชีวิตที่เขียน เป็นเรื่องเดียวจนบัดนี้ที่เขียนด้วยค่ะ แต่ก็กำลังคิดจะเขียนอีกเรื่อง เริ่มร่างๆ พล็อตไว้บ้างแล้ว ก็เลยเอาเรื่องนี้มาอ่านอีกรอบเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มเขียนเสียที ส่วนเรื่อง เพียงเธอ จะยังคงลงต่อนะคะ แต่อาจไม่ค่อยเป็นระบบเท่าไหร่เพราะตอนนี้กำลังปั่นประวัติชีวิตของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับ commission มาให้เขียนค่ะ กะว่าไม่เกินกลางเดือนหน้าจะเขียนได้จบ แล้วจะลง เพียงเธอ ต่อทันทีค่ะ
คุ้มสีทอง
บทนำ
แสงสีทองยามรุ่งสางส่องต้องสายน้ำดูเลื่อมพราย หมอกหนาซึ่งมีปรากฏให้เห็นอยู่เสมอในบริเวณนั้นยังไม่จางหายไปเสียทั้งหมด ยังคงลอยเรี่ยอยู่เหนือผิวน้ำ เลยเรื่อยไปตลอดแนวป่าโปร่งทั้งสองฝั่งธารน้ำสายนั้น ก่อให้เกิดภาพงดงามไม่ผิดเมืองในฝัน ป่านั้นไม่ใช่ป่าเสียทีเดียว แต่เป็นสวนซึ่งเจ้าของที่ดินทั้งสองฝั่งแต่งไว้เป็นสวนป่า ยังคงมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อยู่ทั่วไป มีไม้ดอกแต่งแต้มไว้เป็นหย่อมๆ อย่างมีรสนิยม ผืนดินฝั่งซ้ายดูออกว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ไม่เป็นที่รกร้างเหมือนฝั่งตรงข้าม เหตุก็เพราะที่ดินฝั่งนั้นเป็นที่ตั้งของตัวบ้านหลังใหญ่
สองเท้าเล็กๆ ซอยถี่ย่ำพื้นหญ้าซึ่งยังคงชื้นด้วยน้ำค้างและไอหมอกมาหยุดยืนริมฝั่งน้ำ เสียงเหน่อตามสำเนียงท้องถิ่นตะโกนตามหลังมาให้ได้ยิน เสียงนั้นกระหืดกระหอบ พอฟังออกว่าผู้เรียกเริ่มเหนื่อย ด้วยเหตุที่วิ่งตามหามาไกล
“คุณนนท์คะ อยู่ไหนน่ะ”
ร้องเรียกไปอย่างนั้นเอง รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เด็กน้อยไม่เคยมีทีท่าว่าสนใจเสียงเรียกของใคร หรือสนใจจะขานตอบใคร
“คุณนนท์! โอ๊ย!… ตายแล้ว! อย่าเดินต่อค่ะ หยุดอยู่ตรงนั้นนะคะ คอยพี่น้อยนะคะ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกคราวนี้ฟังดูตื่นตระหนก เมื่อผู้เรียกมองเห็นว่า ‘คุณนนท์’ ยืนอยู่ที่ไหน ร่างอวบท้วมกระหืดกระหอบมาถึงเด็กน้อยที่กำลังจ้องมองอะไรบางอย่างในน้ำ ลำแขนหนาคว้าร่างนั้นไว้ราวกับกลัวว่าแกจะก้าวเดินต่อ
"ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ทำใมพี่น้อยไม่ได้ยินเสียงเลย"
เด็กสาวผู้เรียกตัวเองว่าพี่น้อยมองดูเสื้อคอกลมผ้าป่านบางๆ และกางเกงเข้าชุดหลวมๆ ซึ่งเด็กน้อยสวมอยู่อย่างไม่สบายใจ
"แล้วดูสิ ลงมาทั้งชุดนอนแบบนี้ เดี๋ยวไม่สะ---"
ปากที่กำลังพูดอ้าค้าง ตาเบิกโพลง เมื่อมองเลยไปที่ริมฝั่งน้ำ เสียงใสๆ ที่กำลังเจื้อยแจ้วกลายเป็นเสียงหวีดร้อง
“ว๊าย! คุณณัฐ!”
เหนือผิวน้ำใสสะอาด ร่างโปร่งได้สัดส่วนติดคาอยู่กับตลิ่ง ร่างนั้นกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงพัดพาของกระแสน้ำ ใบหน้างดงามซีดเผือดปราศจากสีเลือดแหงนเงยปริ่มน้ำ ดวงตาโตเบิ่งค้างมองขึ้นเบื้องบน ตาดำขุ่นมัวปราศจากแวว เบ้าตาทั้งสองข้างมีน้ำขัง ขนตายาวงอนเกาะติดกันเป็นแผงด้วยคราบโคลน จมูกเล็กๆ มีโคลนจับบางๆ ริมฝีปากอวบอิ่มซีดจนออกเขียว ผมยาวดำสนิทแผ่สยายลอยล่องตามแรงน้ำไหล ร่างงามได้สัดส่วนอยู่ในชุดนอนบางเบาสีขาว ฟูฟ่องในตอนล่าง ในขณะที่ช่วงบนเปียกลู่แนบผิวหนัง มองเห็นเรือนกายซึ่งซ่อนอยู่ภายใน มือเล็กๆบางๆทั้งสองข้างประสานกันแน่น วางทาบอยู่บนหน้าอก ดูราวกับมีใครจับวางให้ร่างไร้วิญญาณได้นอนสงบอยู่ในท่านั้น
“คุณณัฐ!”
เด็กสาวร่างท้วมอุทานเสียงหลงอีกครั้ง สองมืออวบอูมหมุนเด็กชายให้ผันหนีจากภาพน่าสยดสยองที่แกกำลังจ้องมอง ในขณะที่ตัวเจ้าของมือเองเหมือนถูกมนต์สะกด ละสายตาจากร่างซึ่งติดคาอยู่ริมฝั่งธารน้ำตรงหน้าไม่ได้ ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะได้สติ คราวนี้ตะโกนร้องเสียงหลง
"ลุงผา...ลุ๊ง"
เงียบ ไม่มีเสียงขานรับจากใคร เด็กสาวทำอะไรไม่ถูก ใจอยากพา ‘คุณนนท์’ หนีไปจากภาพนั้นในทันที พากลับไปเสียที่ตัวบ้าน แล้วภาพสยดสยองนี้คงเลือนหายไปเอง แต่อีกใจคิดว่าสาวงามผู้นั้นอาจยังไม่ตาย ถ้าเธอยังไม่ตาย แล้วตัวเองไม่ช่วยเหลือ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่ๆ
"ยืนอยู่ตรงนี้นะคะ อย่าไปไหนนะคะ แล้วอย่าหันมองคุณแม่ด้วย"
น้อยก้มลงบอกเด็กในอ้อมแขน ผละจากร่างเล็กๆ แล้วขยับให้ใกล้ริมน้ำขึ้นอีกนิด พยายามเขม้นมองหาชีวิตที่อาจยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ถึงจะมองอย่างไร ก็มองไม่เห็นอยู่ดีว่ามนุษย์ที่อยู่ในสภาพนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร คิดอยากจะลงไปดูให้ถึงร่างนั้น แต่ก็ไม่กล้า ปากตะโกนร้องอีก คิดว่าให้คนอื่นมาช่วยดูให้น่าจะดีกว่า
"ลุ๊ง...ลุงผา"
พอหันหลังมาตะโกนเรียก จึงได้เห็นว่าใบหน้าน่าเอ็นดูของ ‘คุณนนท์’ กลับมาจ้องเขม็งที่ร่างไร้วิญญาณนั้นอีก สีหน้าของเด็กเรียบเฉยได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าแกกำลังจ้องมองแม่ของแกเองในสภาพที่เห็น
ชายสูงอายุโผล่มาจากไหน น้อยไม่ทันได้สังเกตเห็น อยู่ดีๆ ร่างสูงใหญ่ในชุดกางเกงขาก๊วยสีเทาเกือบดำ เสื้อม่อฮ่อมสีใกล้เคียงกันก็ก้าวยาวๆมาแต่ไกล น้อยถลากลับขึ้นมากอด 'คุณนนท์' ของหล่อน มือชี้ไปข้างหลัง
ชายสูงวัยผู้เพิ่งมาถึงชะงักเมื่อมองตามนิ้วของเด็กสาวไปเห็นร่างริมตลิ่ง สายตาที่มองแม้ว่าจะดูตระหนกตกใจในแวบแรก หากไม่นานก็เปลี่ยนเป็นยอมรับในสิ่งที่เห็นขณะเดินผ่านน้อยและเด็กชายไปริมฝั่งน้ำ
"พาคุณหนูกลับเข้าบ้านนังน้อย อย่าให้แกยืนดูอยู่อย่างนี้"
มือใหญ่ๆ กวาดไปข้างหลังประกอบคำพูด
"จ้ะ ลุง"
“คุณท่านตื่นรึยัง ตามคุณท่านมาด้วย”
ชายสูงอายุบอกต่อ ตาจ้องมองร่างในน้ำเขม็ง พร้อมกับก้าวเดินอย่างระมัดระวังลงไปหา
“จ้ะ ลุง”
เด็กสาวรับคำอีกครั้ง แล้วโอบร่างน้อยของเด็กชายในความดูแลกลับไปทางตัวบ้านหลังใหญ่ซึ่งเห็นอยู่ไม่ไกล ในเวลาเดียวกับที่คำผาทรุดตัวลงข้างๆ ร่างงามในน้ำ มือแข็งแรงยื่นไปแตะหน้าผากหญิงสาว แล้วพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ ไม่ทันสังเกตว่าที่ฝั่งตรงข้ามธารน้ำ ร่างดำมืดยืนจ้องเขม็ง ดวงตาของร่างนั้นเรืองกล้าไม่ผิดอะไรกับเปลวไฟ สายตาที่มอง ไม่ได้มองร่างไร้วิญญาณในน้ำ ไม่ได้มองชายสูงอายุร่างใหญ่ แต่มองเลยไปที่เด็กชายซึ่งกำลังเดินจากไปพร้อมกับเด็กสาวผู้เป็นพี่เลี้ยง
คุ้มสีทอง (บทนำ - บทที่ 1)
ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่าน ในฝั่งฝัน นะคะ ที่บทสุดท้ายไม่ได้ไปบอกขอบคุณไว้เพราะช่วงที่อยู่เมืองไทยต่อเข้าอินเตอร์เน็ตลำบากค่ะ
วันนี้ขอเริ่มลงเรื่องนี้นะคะ เรื่องนี้เขียนไว้เป็นสิบปีแล้วมั้งคะ พิมพ์รวมเล่มไปหลายปีแล้วด้วยค่ะ ตอนนี้หมดสัญญาลิขสิทธิ์พิมพ์ไปนานแล้ว ก็เลยเอามาลงได้ค่ะ เป็นเรื่องผีเรื่องแรกในชีวิตที่เขียน เป็นเรื่องเดียวจนบัดนี้ที่เขียนด้วยค่ะ แต่ก็กำลังคิดจะเขียนอีกเรื่อง เริ่มร่างๆ พล็อตไว้บ้างแล้ว ก็เลยเอาเรื่องนี้มาอ่านอีกรอบเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มเขียนเสียที ส่วนเรื่อง เพียงเธอ จะยังคงลงต่อนะคะ แต่อาจไม่ค่อยเป็นระบบเท่าไหร่เพราะตอนนี้กำลังปั่นประวัติชีวิตของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้รับ commission มาให้เขียนค่ะ กะว่าไม่เกินกลางเดือนหน้าจะเขียนได้จบ แล้วจะลง เพียงเธอ ต่อทันทีค่ะ
บทนำ
แสงสีทองยามรุ่งสางส่องต้องสายน้ำดูเลื่อมพราย หมอกหนาซึ่งมีปรากฏให้เห็นอยู่เสมอในบริเวณนั้นยังไม่จางหายไปเสียทั้งหมด ยังคงลอยเรี่ยอยู่เหนือผิวน้ำ เลยเรื่อยไปตลอดแนวป่าโปร่งทั้งสองฝั่งธารน้ำสายนั้น ก่อให้เกิดภาพงดงามไม่ผิดเมืองในฝัน ป่านั้นไม่ใช่ป่าเสียทีเดียว แต่เป็นสวนซึ่งเจ้าของที่ดินทั้งสองฝั่งแต่งไว้เป็นสวนป่า ยังคงมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อยู่ทั่วไป มีไม้ดอกแต่งแต้มไว้เป็นหย่อมๆ อย่างมีรสนิยม ผืนดินฝั่งซ้ายดูออกว่าได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี ไม่เป็นที่รกร้างเหมือนฝั่งตรงข้าม เหตุก็เพราะที่ดินฝั่งนั้นเป็นที่ตั้งของตัวบ้านหลังใหญ่
สองเท้าเล็กๆ ซอยถี่ย่ำพื้นหญ้าซึ่งยังคงชื้นด้วยน้ำค้างและไอหมอกมาหยุดยืนริมฝั่งน้ำ เสียงเหน่อตามสำเนียงท้องถิ่นตะโกนตามหลังมาให้ได้ยิน เสียงนั้นกระหืดกระหอบ พอฟังออกว่าผู้เรียกเริ่มเหนื่อย ด้วยเหตุที่วิ่งตามหามาไกล
“คุณนนท์คะ อยู่ไหนน่ะ”
ร้องเรียกไปอย่างนั้นเอง รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด เด็กน้อยไม่เคยมีทีท่าว่าสนใจเสียงเรียกของใคร หรือสนใจจะขานตอบใคร
“คุณนนท์! โอ๊ย!… ตายแล้ว! อย่าเดินต่อค่ะ หยุดอยู่ตรงนั้นนะคะ คอยพี่น้อยนะคะ”
เสียงตะโกนโหวกเหวกคราวนี้ฟังดูตื่นตระหนก เมื่อผู้เรียกมองเห็นว่า ‘คุณนนท์’ ยืนอยู่ที่ไหน ร่างอวบท้วมกระหืดกระหอบมาถึงเด็กน้อยที่กำลังจ้องมองอะไรบางอย่างในน้ำ ลำแขนหนาคว้าร่างนั้นไว้ราวกับกลัวว่าแกจะก้าวเดินต่อ
"ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ทำใมพี่น้อยไม่ได้ยินเสียงเลย"
เด็กสาวผู้เรียกตัวเองว่าพี่น้อยมองดูเสื้อคอกลมผ้าป่านบางๆ และกางเกงเข้าชุดหลวมๆ ซึ่งเด็กน้อยสวมอยู่อย่างไม่สบายใจ
"แล้วดูสิ ลงมาทั้งชุดนอนแบบนี้ เดี๋ยวไม่สะ---"
ปากที่กำลังพูดอ้าค้าง ตาเบิกโพลง เมื่อมองเลยไปที่ริมฝั่งน้ำ เสียงใสๆ ที่กำลังเจื้อยแจ้วกลายเป็นเสียงหวีดร้อง
“ว๊าย! คุณณัฐ!”
เหนือผิวน้ำใสสะอาด ร่างโปร่งได้สัดส่วนติดคาอยู่กับตลิ่ง ร่างนั้นกระเพื่อมขึ้นลงตามแรงพัดพาของกระแสน้ำ ใบหน้างดงามซีดเผือดปราศจากสีเลือดแหงนเงยปริ่มน้ำ ดวงตาโตเบิ่งค้างมองขึ้นเบื้องบน ตาดำขุ่นมัวปราศจากแวว เบ้าตาทั้งสองข้างมีน้ำขัง ขนตายาวงอนเกาะติดกันเป็นแผงด้วยคราบโคลน จมูกเล็กๆ มีโคลนจับบางๆ ริมฝีปากอวบอิ่มซีดจนออกเขียว ผมยาวดำสนิทแผ่สยายลอยล่องตามแรงน้ำไหล ร่างงามได้สัดส่วนอยู่ในชุดนอนบางเบาสีขาว ฟูฟ่องในตอนล่าง ในขณะที่ช่วงบนเปียกลู่แนบผิวหนัง มองเห็นเรือนกายซึ่งซ่อนอยู่ภายใน มือเล็กๆบางๆทั้งสองข้างประสานกันแน่น วางทาบอยู่บนหน้าอก ดูราวกับมีใครจับวางให้ร่างไร้วิญญาณได้นอนสงบอยู่ในท่านั้น
“คุณณัฐ!”
เด็กสาวร่างท้วมอุทานเสียงหลงอีกครั้ง สองมืออวบอูมหมุนเด็กชายให้ผันหนีจากภาพน่าสยดสยองที่แกกำลังจ้องมอง ในขณะที่ตัวเจ้าของมือเองเหมือนถูกมนต์สะกด ละสายตาจากร่างซึ่งติดคาอยู่ริมฝั่งธารน้ำตรงหน้าไม่ได้ ครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าจะได้สติ คราวนี้ตะโกนร้องเสียงหลง
"ลุงผา...ลุ๊ง"
เงียบ ไม่มีเสียงขานรับจากใคร เด็กสาวทำอะไรไม่ถูก ใจอยากพา ‘คุณนนท์’ หนีไปจากภาพนั้นในทันที พากลับไปเสียที่ตัวบ้าน แล้วภาพสยดสยองนี้คงเลือนหายไปเอง แต่อีกใจคิดว่าสาวงามผู้นั้นอาจยังไม่ตาย ถ้าเธอยังไม่ตาย แล้วตัวเองไม่ช่วยเหลือ จะต้องเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาแน่ๆ
"ยืนอยู่ตรงนี้นะคะ อย่าไปไหนนะคะ แล้วอย่าหันมองคุณแม่ด้วย"
น้อยก้มลงบอกเด็กในอ้อมแขน ผละจากร่างเล็กๆ แล้วขยับให้ใกล้ริมน้ำขึ้นอีกนิด พยายามเขม้นมองหาชีวิตที่อาจยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ถึงจะมองอย่างไร ก็มองไม่เห็นอยู่ดีว่ามนุษย์ที่อยู่ในสภาพนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร คิดอยากจะลงไปดูให้ถึงร่างนั้น แต่ก็ไม่กล้า ปากตะโกนร้องอีก คิดว่าให้คนอื่นมาช่วยดูให้น่าจะดีกว่า
"ลุ๊ง...ลุงผา"
พอหันหลังมาตะโกนเรียก จึงได้เห็นว่าใบหน้าน่าเอ็นดูของ ‘คุณนนท์’ กลับมาจ้องเขม็งที่ร่างไร้วิญญาณนั้นอีก สีหน้าของเด็กเรียบเฉยได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าแกกำลังจ้องมองแม่ของแกเองในสภาพที่เห็น
ชายสูงอายุโผล่มาจากไหน น้อยไม่ทันได้สังเกตเห็น อยู่ดีๆ ร่างสูงใหญ่ในชุดกางเกงขาก๊วยสีเทาเกือบดำ เสื้อม่อฮ่อมสีใกล้เคียงกันก็ก้าวยาวๆมาแต่ไกล น้อยถลากลับขึ้นมากอด 'คุณนนท์' ของหล่อน มือชี้ไปข้างหลัง
ชายสูงวัยผู้เพิ่งมาถึงชะงักเมื่อมองตามนิ้วของเด็กสาวไปเห็นร่างริมตลิ่ง สายตาที่มองแม้ว่าจะดูตระหนกตกใจในแวบแรก หากไม่นานก็เปลี่ยนเป็นยอมรับในสิ่งที่เห็นขณะเดินผ่านน้อยและเด็กชายไปริมฝั่งน้ำ
"พาคุณหนูกลับเข้าบ้านนังน้อย อย่าให้แกยืนดูอยู่อย่างนี้"
มือใหญ่ๆ กวาดไปข้างหลังประกอบคำพูด
"จ้ะ ลุง"
“คุณท่านตื่นรึยัง ตามคุณท่านมาด้วย”
ชายสูงอายุบอกต่อ ตาจ้องมองร่างในน้ำเขม็ง พร้อมกับก้าวเดินอย่างระมัดระวังลงไปหา
“จ้ะ ลุง”
เด็กสาวรับคำอีกครั้ง แล้วโอบร่างน้อยของเด็กชายในความดูแลกลับไปทางตัวบ้านหลังใหญ่ซึ่งเห็นอยู่ไม่ไกล ในเวลาเดียวกับที่คำผาทรุดตัวลงข้างๆ ร่างงามในน้ำ มือแข็งแรงยื่นไปแตะหน้าผากหญิงสาว แล้วพึมพำอะไรบางอย่างเบาๆ ไม่ทันสังเกตว่าที่ฝั่งตรงข้ามธารน้ำ ร่างดำมืดยืนจ้องเขม็ง ดวงตาของร่างนั้นเรืองกล้าไม่ผิดอะไรกับเปลวไฟ สายตาที่มอง ไม่ได้มองร่างไร้วิญญาณในน้ำ ไม่ได้มองชายสูงอายุร่างใหญ่ แต่มองเลยไปที่เด็กชายซึ่งกำลังเดินจากไปพร้อมกับเด็กสาวผู้เป็นพี่เลี้ยง