นิยาย : เจ้าชายในฝัน (Y-story) : บทที่ 10

ขอบคุณท่านความคิดเห็นทุกกำลังใจเช่นเคยนะคะ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
นิยาย : เจ้าชายในฝัน : บทที่ 9 : http://pantip.com/topic/35568728
************************************************************


เจ้าชายในฝัน

บทที่ 10





“ขอกาแฟอีกสักแก้วได้ไหมฮะ” วานรินทร์บอก อดสงสัยไม่ได้ว่าจเรนทรลืมตาตื่นอยู่ได้อย่างไรกัน ไม่เห็นเขาหาวเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่ทำงานด้วยกันตลอดทั้งคืน “ผมคิดว่า ข้ออ้างเรื่องกล่องเสียงอักเสบน่าจะได้ผล... เราบอกกับผู้สื่อข่าวว่า เจ้าชายนาธีคราประชวร คุณจะได้ไม่ต้องพูดและ...”

“รู้ไหมว่าผมเลียนแบบเป้าหมายได้ไม่เลวนักหรอก” อีกฝ่ายยืนยัน “ถ้าหากว่าผมซ้อมมากกว่านี้อีกหน่อย รับรองว่าผมสามารถเลียนแบบเจ้าชายในฝันของคุณได้ดีเลยละ”

วานรินทร์หลับตาลง “อย่าโกรธกันนะฮะ คุณเจน แต่ผมไม่เชื่อเลยสักนิด ว่าคุณจะเลียนสำเนียงของเจ้าชาย ได้ด้วยการฟังเทปเท่านั้น” เขาแกล้งปรายตามองลำแขนแข็งแกร่ง ที่คงสามารถรัดใครสักคนได้จนกระดูกหัก หากต้องการจะทำอย่างนั้น “คุณเอาเวลาไปทำสิ่งที่ดีกว่านั้นดีกว่า”

จเรนทรลุกขึ้นยืน ทำให้คนจะหลับอยู่แล้ว ต้องลืมตามอง

“ผมจะไปเอากาแฟมาให้” เขาบอก “คุณไม่ไหวแล้วจริงๆ ละนะ เพราะเพิ่งเรียกผมว่าคุณเจน”

“ขอประทานอภัยด้วยพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท” วานรินทร์พึมพำ

แต่ผู้กองไม่ยิ้ม ได้แต่ก้มลงมองหนุ่มร่างบางที่ท่าทางอิดโรยเต็มที แววในดวงตาเขายากที่จะอ่านออก “ผมชอบให้เรียกคุณเจนมากกว่า” เขาพูดในที่สุด

“งานนี้จะไม่มีวันสำเร็จ... ใช่ไหมฮะ” คนแทบไม่มีความหวัง ถามเสียงค่อย สบตากับอีกฝ่ายนิ่งๆ อย่างพร้อมที่จะรับความพ่ายแพ้

ยกเว้นแต่ว่า... คนอย่างจเรนทรไม่มีวันยอมแพ้ เขาดูคลิปบันทึกภาพและฟังเทปเสียงของเจ้าชายนาธีคราในช่วงที่ไม่ได้ทำอะไร

จริงอยู่ที่ว่าไม่มีเวลาว่างมากนัก แต่เขาพอจะเข้าใจท่าทางการเดินเหินและยามพูดจาของรัชทายาทแห่งบรูนาดารูสดีแล้ว

“ผมทำได้” เขาบอก “ให้ตายสิ หน้าตาผมเหมือนกันมากอยู่แล้ว ทุกครั้งที่ผมดูตัวเองในกระจก เห็นผมทรงนี้ เห็นไอ้บ้านั่นจ้องผมกลับและมันก็ทำให้ผมแทบจะตะบันหน้ามัน ถ้ามันหลอกได้แม้แต่ตัวผมเอง ก็ต้องหลอกคนอื่นๆ ได้ ช่างตัดเสื้อส่งเสื้อผ้ามาให้แล้วเมื่อบ่ายนี้ ผมคงแกล้งทำตัวเป็นเขาได้ง่ายขึ้น ถ้าผมแต่งตัวเลียนแบบนายนั่น”

วานรินทร์ยิ้มให้คนพูดอย่างอิดโรยจริงๆ ถึงตอนนี้มันช่างเหนื่อยหนักหนา แทบจะลืมตาไม่ขึ้นอยู่แล้ว เขาเปลี่ยนจากยีนมาเป็นชุดสูทสำหรับทำงานเมื่อประมาณหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว รวบผมขึ้นเหมือนเดิมอีกครั้ง “เราต้องฝึกท่าเดินของธีครา พระองค์ทรงมีท่าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขย่งนิดๆ...”

“เขาเดินเหมือนมีคีมคีบถ่านค้ำอยู่ในกางเกง” จเรนทรแทรก

เสียงหัวเราะใสดุจเสียงดนตรีของหนุ่มร่างบอบบาง กังวานไปทั่วห้องเงียบสงัด จนเจ้าหน้าที่กองปราบคนหนึ่งต้องเงยขึ้นมาดูจากตำแหน่งที่นั่งเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูทางเข้าด้านระเบียง

“ใช่... ใช่เลยฮะ” เขาบอกกับผู้กองเจน “คุณพูดถูก ทรงทำท่าอย่างนั้นจริงๆ เพียงแค่ผมไม่แน่ใจว่า จะมีใครเคยให้คำจำกัดความแบบคุณมาก่อนหรือเปล่า”

“ผมก็เดินแบบนั้นได้นะ” คนบอกพลอยยิ้มตาม แล้วออกเดินตัวเกร็งๆ แข็งๆ ตัดข้ามห้องไป มีอีกฝ่ายมองตาม “เห็นไหม” เขาหันมองหน้าคนยังนั่งเอนๆ

แต่วานรินทร์ยกมือขึ้นปิดหน้าเอาไว้ ขณะที่ไหล่ไหวสะท้าน วูบหนึ่งผู้กองคิดว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ รีบเดินเข้ามาใกล้แล้วคุกเข่าลงตรงหน้า... แต่หนุ่มผมยาวที่ถูกตาถูกใจนักหนานี่ กำลังหัวเราะ หัวเราะอย่างหนักจนน้ำตาไหลออกมาตามร่องแก้ม

“เดี๋ยวๆ” จเรนทรรู้สึกเหมือนถูกดูถูกความสามารถ “มันไม่แย่ถึงขนาดนั้นหรอกน่ะ”

วานรินทร์พยายามตอบ แต่พูดไม่ออก ตรงกันข้าม กลับโบกไม้โบกมือใส่ทั้งที่ยังหัวเราะไม่หยุด

เสียงหัวเราะของหนุ่มร่างบางคล้ายโรคติดต่อ เพราะไม่ช้าผู้กองก็เริ่มส่งเสียงหึๆ ออกมา ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะตามไปด้วย

“ทำให้ดูอีกหนสิฮะ” เสียงร้องขอขาดเป็นห้วงๆ จเรนทรลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วเดินเลียนแบบท่าดำเนินของเจ้าชายนาธีครากลับไปกลับมาอีกครั้ง

วานรินทร์ยิ่งหัวเราะหนักขึ้นจนตัวงอ

เจ้าหน้าที่กองปราบมองมาราวกับเห็นคนทั้งสองเป็นบ้าไปแล้ว...

วานรินทร์ยกมือขึ้นป้ายน้ำตา ขณะพยายามหายใจให้ทัน “คุณพระคุณเจ้า... ผมไม่เคยหัวเราะหนักอย่างนี้มานานหลายปีแล้ว” ขนตาของเขาเปียกชุ่มด้วยน้ำตาจากการหัวเราะ นัยน์ตาเป็นประกายพราวเจิดจ้าด้วยแววขบขันเมื่อเงยหน้ามองผู้กองรบพิเศษอีกครั้ง “ผมคิดว่าคงบอกให้คุณเดินให้ดูอีกหนไม่ได้แล้วใช่ไหม”

“ใช่... ไม่มีทางที่ผมจะยอมทำอะไรตลกๆ อีกหรอก” จเรนทรตอบพร้อมยิ้มให้ “คุณขำผมสองหนติดๆ กัน”

“ผมไม่ได้หัวเราะเยาะนะฮะ” วานรินทร์บอก แต่ยังหัวเราะไม่หยุด “แต่ก็...ใช่... คือว่า ต้องขอโทษที อย่าหาว่าผมไร้มารยาทนะ” ต้องถึงกับยกมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้ แต่ก็หยุดหัวเราะไม่ได้อยู่ดี... อย่างน้อยก็ไม่อาจหยุดได้สนิทจริงๆ

“คิดว่าที่ผมดูตลกเพราะยังไม่ได้แต่งตัวให้เหมือนเจ้าชาย” จเรทรหาเหตุผล “ถ้าหากว่าสวมสูทที่ประดับด้วยเหรียญตราเยอะแยะนั่น แล้วเดินแบบนี้ รับรองว่าคุณไม่มีวันแยกแยะเราสองคนได้”

“และผมคิดว่า...” วานรินทร์พูด “มันไม่มีทางเป็นไปได้... เราควรจะยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้” คราวนี้ดวงตาคนพูดเอ่อคลอด้วยน้ำตาจริงๆ ร่องรอยความขบขันเลือนหายไปสิ้น “โอ...ให้ตายสิ...” ต้องหันหน้าหนี แต่ไม่อาจห้ามหรือปิดบังน้ำตาที่ไหลลมาเป็นสายได้

หนุ่มร่างบางที่หมดความมั่นใจไปแล้ว ได้ยินเสียงผู้กองจเรนทรพึมพำออกคำสั่งกับทีมรักษาความปลอดภัย จากนั้นก็รู้สึกว่า เขาทรุดตัวลงนั่งข้างตนเองบนโซฟา

“โอ๋ๆ...” นายร้อยเอกจากหน่วยรบพิเศษเริ่มปลอบโยน “โอ๋ๆ... ไม่เอาน่าคุณว่าน มันไม่ได้แย่ถึงขนาดนั้นหรอก”

วานรินทร์รู้สึกถึงวงแขนแข็งแรงที่โอบรอบตัวเองเอาไว้ เขาทำขืนตัวนิดหน่อยก่อนยอมแพ้ ปล่อยให้อีกฝ่ายดึงไปชิดอกหนา แข็งแกร่งและอบอุ่น ศีรษะถูกกดให้ซบลงกับบ่า เนื้อตัวของคนเข้มแข็งเหลือเกินมีกลิ่นกายหอมกรุ่นอย่างวิเศษ...

จเรนทรกอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆ โยกตัวไปมาขณะปล่อยให้คนแสนจะบอบบางร้องไห้เบาๆ ไม่พยายามห้ามด้วซ้ำ เพียงแค่โอบกอดเอาไว้เช่นนั้น

น้ำตาของวานรินทร์เปียกชุ่มเสื้อเชิ้ตของผู้กองหนุ่ม แต่เขาหยุดร้องไห้ไม่ได้ และคนยังกอดกระชับก็ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจ วานรินทร์รู้สึกถึงมือที่ลูบไล้เส้นผมไปมาอย่างนุ่มนวลและปลอบประโลม

และเมื่อจเรนทรพูดขึ้น น้ำเสียงของเขาก็แผ่วเบา คนในอ้อมกอดรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนค่อยๆ ในอกแข็งแกร่ง

“คุณรู้มั้ยว่าคนที่เรากำลังตามล่าตัว...” ผู้กองหนุ่มเอ่ยขึ้น “ผู้ก่อการร้ายรายนี้ ชื่อมันคือ สหายอิสระ มีแค่ชื่อนี้ ไม่มีชื่ออื่น ไม่มีนามสกุล เหมือนอย่างพวกดาราฮอลลีวู้ดดังๆ นั่นละมั้ง ผมเดาเอาเองว่า เขาโด่งดังมากในกลุ่มประเทศภาคพื้นสมุทรของอาเซียน ซึ่งเป็นบ้านเกิดเขา เป็นหัวหน้าองค์กรที่มีชื่อเดียวกับชื่อของเขา เขากับเพื่อนคนหนึ่ง...คนที่ชื่อว่าเวกาย์... อ้างความรับผิดชอบการตาย ของคนมากกว่าพันสองร้อยคน สัญลักษณ์ของสหายอิสระปรากฏบนลูกระเบิดบนเครื่องบินโดยสาร จากกัวลาลัมเปอร์ไปเมลเบิลเมื่อสี่ปีก่อน คนสองร้อยห้าสิบสี่คนต้องตายไปนั่น คุณจำเรื่องนั้นได้ไหม”

วานรินทร์พยักหน้ารับ จำได้ดีทีเดียว เครืองบินหายไประหว่างหมู่เกาะก่อนเข้าน่านฟ้าออสเตรเลีย ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต น้ำตาของเขาไหลช้าลงเมื่อเริ่มตั้งใจฟังอีกฝ่าย

“สหายอิสระกับเพื่อนซี้ของเขา... เวกาย์ ระเบิดรถบรรทุกทหารหาญของไทยในปีเดียวกันนั้น” จเรนทรเล่าต่อ “เด็กหนุ่มสิบแปดคนนั้น...อายุมากที่สุดแค่ยี่สิบสองปี” เขาเงียบไปอึดในใหญ่ “ลูกชายของนายพลปกพฤกษ์ ก็อยู่ในรถคันนั้นด้วย”

วานรินทร์หลับตาลง “ไม่น่าเลย...”

“นายป้อง เป็นเด็กหนุ่มที่ดี เขาเป็นเด็กฉลาด หน้าตาเหมือนพี่ปกมาก มีรอยยิ้มแบบเดียวกัน และเป็นคนง่ายๆ ที่มองโลกในแง่ดี รวมทั้งดื้อรั้นพอกัน ผมเจอเขาตั้งแต่อายุได้แปดขวบ เขาเป็นเหมือนน้องชายของผม” เสียงของจเรนทรแหบพร่าด้วยความรู้สึกก่อนจะกระแอมเบาๆ “...อายุยังไม่เต็มยี่สิบเอ็ด ตอนที่สหายอิสระระเบิดร่างเขาออกเป็นชิ้นๆ”

จเรนทรเงียบไป แต่มือยังลูบผมคนในอ้อมกอด ก่อนจะกระแอมอีกหน... และแม้เมื่อเขาพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงก็ยังแหบพร่าเหมือนเดิม

“ระเบิดสองลูกนั้นทำให้สหายอิสระถูกตามล่าจากพวกสืบราชการลับ และเมื่อขุดลึกลงไปก็ได้ความจริงที่น่าสนใจ สหายอิสระนามสกุล ปตายา เกิดปี 1961 ที่บ้านเกิดเรียกเขาว่า ‘ของขวัญจากพระเจ้า’” คนพูดหัวเราะออกมาอย่างเย้ยหยัน “แต่ไอ้นั่นมันไม่ใช่ของขวัญจากพระเจ้าของพี่ปก หรือครอบครัวทหารหาญคนอื่นๆ ที่ตายเพราะฝีมือมัน หน่วยข่าวกรองยังรู้อีกด้วยว่า ไอ้ลูกหมานั่นมีเครือข่ายอยู่กลางกรุงเทพนี่เอง แต่เมื่อพวกกองปราบปรามเข้ามาเล่นด้วย มันเกิดเรื่องผิดพลาดบางอย่าง...

“กลายเป็นการต่อสู้กันเอง หลังจากทุกอย่างจบลง เจ้าหน้าที่สามคนกับสมาชิกของกลุ่มสหายอิสระสิบคนเสียชีวิต ผู้ก่อการร้ายเจ็ดคนถูกคุมขังเป็นนักโทษ แต่สหายอิสระกับไอ้เวกาย์หายตัวไป นั่นคือคนสองคนที่เราต้องการตัวที่สุดหนีไปได้ พวกมันกบดานเงียบ  ก่อนจะมีข่าวลือว่าสหายอิสระถูกยิงบาดเจ็บอย่างหนัก พวกเขาเงียบหายไปหลายปี... ไม่มีใครได้ข่าวคราว... จนกระทั่งเมื่อสองสามวันก่อน เมื่อเวกาย์บุกยิงเจ้าชายนาธีครา”

จเรนทรเงียบไปอีกพักใหญ่ “และนี่... คือเหตุผลที่เราจะไม่ยอมแพ้ มันมีเหตุผลเต็มที่ที่การปฏิบัติการครั้งนี้จะต้องสำเร็จลุล่วง เราจะต้องหยุดพวกมันให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด”

วานรินทร์ใช้หลังมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า จำไม่ได้ว่าตนร้องไห้แบบนี้ครั้งสุดท้ายต้งแต่เมื่อไร

คงเป็นเพราะความเครียดนั่นเอง ความเครียดที่ผสมผสานกับความอ่อนเพลีย...

ชายหนุ่มขยับนั่งตัวตรง เอนกายออกห่างผู้กองรูปหล่อ แล้วเหลือบมองไปรอบๆ ห้องอย่างตกใจ แก้มแดงก่ำด้วยความอาย เขาลืมตัวไปได้อย่างไร... ต่อหน้านายคนจอมยียวน... และ...ทีมกองปราบอีกหลายคน

ทว่า วานรินทร์มองไม่เห็นใครอื่นแม้สักคนเดียว

“พวกนั้นออกไปนอกห้องกันหมด” ผู้กองเจนของเขาอธิบายอย่างอ่านความได้ออก “ผมคิดว่าคุณคงอยากอยู่ตามลำพัง”

“ขอบคุณนะฮะ” วานรินทร์พึมพำเสียงแผ่ว

คนเพิ่งหยุดร้องไห้หมาดๆ ปลายจมูกเป็นสีชมพูจัด เนื่องจากปล่อยโฮและสะอึกสะอื้นอยู่นาน แลดูเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลีย ผู้กองรบพิเศษอยากดึงเขามากอดไว้แนบอกเหมือนเมื่อครู่ อยากกอดไว้อย่างนั้นจนหลบไป อยากให้อีกฝ่ายอบอุ่นและปลอดภัย เพื่อทำให้เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องผ่านไปหได้ด้วยดี

วานรินทร์เหลือบตามองคนตัวโต ดวงตายังฉ่ำชื้นของตนนั้น คงบอกได้ว่ายังกระดากอาย “ผม... เสียใจฮะ...” เขาพึมพำ “คือว่า ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะ...”

“คุณแค่เหนื่อย...” ผู้กองผู้แสนอบอุ่นให้เหตุผลง่ายๆ พร้อมยิ้มอย่างอ่อนโยน

ทั้งสองอยู่ด้วยกันตามลำพังในห้อง จเรนทรมองตาอีกฝ่ายนิ่ง รู้ดีว่าคนตรงหน้าก็ตระหนักถึงความจริงข้อนั้นเช่นกัน

ผมของวานรินทร์เริ่มหลุดจากมวยที่เกล้าไว้หลวมๆ ปลายของมันขอดล้อมดวงหน้าเอาไว้

จเรนทรไม่อาจห้ามตัวเองได้ เมื่อเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายบนข้างแก้ม ผิวนวลของคนตรงยังชื้นน้ำตา เนียนนุ่มและผ่าวร้อน และยังไม่ได้ผละหนีหรือถอยออกห่าง ไม่ได้ขยับเขยื้อนเนื้อตัว ได้แต่จ้องหน้าเขานิ่งๆ ด้วยดวงตาใสๆ ราวลูกกวางตัวน้อยๆ ซื่อบริสุทธิ์เหลือเกิน

ผู้กองรบพิเศษจำไม่ได้แล้วว่า ในชีวิตนี้ เขาเคยนึกอยากจูบผู้ชายที่ไหนมากขนาดนี้มาก่อนหรือเปล่า...

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่