นิยาย : เจ้าชายในฝัน : บทที่ 1

วางเรื่องที่แล้วจบแค่ภาคแรกแล้วยังไม่ได้สานต่อ พอมีเวลาเรื่องสนุกพล็อตนี้ก็แทรกเข้ามา ฝากให้อ่านและให้คำติชมด้วยนะคะ







เจ้าชายในฝัน : บทที่หนึ่ง








    กล้องของทุกสำนักข่าวแพนตามมกุฎราชกุมารแห่งบรูนาดารูส... นาธีครา ดารูสซาร์ ที่กำลังดำเนินเข้าไปในสนามบิน


    บรรดาทูตานุทูตและเจ้าหน้าที่สถานทูต รวมทั้งนักการเมืองคนสำคัญ เคลื่อนขบวนตามเข้าไปใกล้ เพื่อถวายการต้อนรับ ทว่าเจ้าชายกลับให้ความสนใจกับบรรดาสื่อมวลชนมากกว่า ทรงหยุดดำเนิน หันไปแย้มสรวลและโบกหัตถ์ให้กล้องนิดหนึ่ง

พระองค์ทรงทำตามคำแนะนำของเขา วานรินทร์ สุโขจร... ชายหนุ่มลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ปรึกษาด้านภาพพจน์และการวางตัวเช่นเขา จะมีอะไรสำคัญกว่านี้...

และ... เพราะเขารู้จักธีคราดี พระองค์ชอบทำสิ่งต่างๆ ให้สมบูรณ์แบบก็จริง แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่า พี่ชายเพื่อนร่วมห้องเรียนมัธยมปลายของเขา จะพอใจกับข่าวภาคค่ำที่พระองค์จะได้เห็นในคืนนี้

วานรินทร์คิดว่าเจ้าชายน่าจะพอพระทัย เพราะนี้เป็นเพียงแค่วันแรกแห่งการเสด็จเยือนพระราชอาณาจักรไทยเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี

กับองค์เอง ก็วางตนได้อย่างงามสง่าและมีเสน่ห์ดึงดูดงดงามทุกประการ ทั้งยังแฝงการไว้องค์น้อยๆ เยี่ยงเลือดขัตติยะ ที่ถูกใจประชาชนชาวไทย ซึ่งเทิดทูนสถาบันกษัตริย์เหนือสิ่งอื่นใด

วานรินทร์ยิ้มอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเจ้าชายนาธีครา ทรงจำได้ว่า ต้องมองกล้องตรงๆ และไม่เหลือบพระเนตรลอกแลก ห้ามเชิดคาง... ลูกช้างจะถวายหมูเห็ดเป็ดไก่ สมแล้วกับที่บนบานสานกล่าว ขอให้พระองค์ทรงรักษาอาการสงบสำรวมได้เป็นอย่างดี...

ทั้งที่อาจตกเป็นเป้าการลอบสังหารได้ทุกเมื่อ!

เจ้าชายทรงมอบสิ่งที่นักข่าวต้องการ นั่นคือภาพโคลสอัพของเจ้าชายชาวอุษาคเนย์ รูปหล่อ มีเสน่ห์ สง่างามและดึงดูดใจดุจเจ้าชายในเทพนิยาย

แถมยังเป็นโสดอีกด้วย...

วานรินทร์ตั้งใจลืมพ่วงคำว่า ‘โสด’ ลงไปในรายการประวัติสังเขปสำหรับแจกสำนักข่าว แต่เขาก็รู้จักนิสัยหญิงสาวเพื่อนร่วมประเทศสมัยปัจจุบันนี้ดี ว่าบรรดาพวกเธอนั้น จะเฝ้าติดตามข่าวภาคค่ำคืนนี้ และพากันฝันหวานว่า จะได้เป็นเจ้าหญิง หรือแม้กระทั่งได้ตกล่องปล่องชิ้นกับนาธีคราสักเพียงคืนเดียว

แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการเสด็จเยือนครั้งนี้ เป็นเรื่องการเมืองและผลประโยชน์ล้วนๆ... เพราะเป็นเรื่องการค้นพบบ่อน้ำมันแห่งใหม่ ในบริเวณที่ใครๆ ก็คิดว่าทรัพยากรอันมีค่าสูงสุดในยุคนี้ ได้เหือดแห้งไปหมดสิ้นแล้ว

และที่วานรินทร์สังเกตเห็น ก็ไม่ใช่แค่นาธีคราองค์เดียวที่กำลังเล่นกับกล้องของผู้สื่อข่าว ชายหนุ่มเห็นวุฒิสมาชิกสมเกียรติ มฤคีพนาส่งยิ้มแบบจงใจให้เห็นฟันปลอมขาวๆ นั่นไปให้นักข่าว มันจริงใจจอมปลอมเสียจนวานรินทร์อยากหัวเราะออกมาดังๆ

แต่เขาไม่ได้หัวเราะ ชายหนุ่มเรียนรู้มามากในฐานะบุตรชายของนักธุรกิจระดับอินเตอร์ ที่บิดาต้องโยกย้ายไปประจำยังประเทศต่างๆ ทำให้เขารู้ว่า ทุกอากัปกิริยาของบรรดานักการทูต เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อพระวงศ์ ล้วนต้องถือว่าทุกอย่างเป็นทางการ มีพิธีรีตอง จริงจังจนเกินจริงด้วยกันทั้งนั้น

ดังนั้นเขาต้องกัดกระพุ้งแก้มตัวเองเพื่อกลั้นหัวเราะ ขณะหยุดรออยู่ด้านหลัง ห่างจากเจ้าชายนาธีคราหลายก้าว เพื่อเว้นระยะห่างสำหรับแสดงความเคารพ ซึ่งนี้ก็ถือว่ามีหน้ามีตามากแล้ว เพราะเขายังได้ยืนอยู่แถวหน้าของบรรดาขบวนข้าราชบริพารคนสนิท องค์รักษ์และที่ปรึกษาทั้งหลาย ที่อยู่ในขบวนผู้ติดตาม

“ใต้ฝ่าพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าในฐานะตัวแทนของรัฐบาลไทย...” วุฒิสมาชิกสมเกียรติกล่าวถวายคำทักทาย ด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงไทยชัดเจน และเมื่อน้อมกายลงสัมผัสหัตถ์เจ้าชาย เขาก็หยอดท้ายต่อไปอย่างเปี่ยมไมตรีว่า “ขอถวายการต้อนรับสู่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรพระเจ้าข้า”

“เรายินดีที่ได้มาเยี่ยมประเทศไทย ที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์อันยืนยงสถาวร” เจ้าชายนาธีคราทรงกล่าวตอบอย่างเป็นทางการ ด้วยสำเนียงอังกฤษปนฝรั่งเศสนิดๆ “และเราจะจดจารึกไว้ในหัวใจอย่างแนบแน่น”

ถ้อยรับสั่งนั้น พระองค์ทรงใช้อยู่เสมอ จนคนใกล้ชิดเห็นเป็นเรื่องปกติ แต่ต่อหน้าคนแปลกหน้าเหล่านี้ มันส่งผลดีเป็นอย่างมาก

จากนั้น วุฒิสมาชิกสมเกียรติก็กล่าวถวายรายงานยาวเหยียด วานรินทร์จึงหันไปสนใจสิ่งอื่นๆ รอบๆ ตัว

เขามองเห็นภาพสะท้อนเงาจากกระจกของตัวอาคารสนามบิน ดูตัวเองสงบเยือกเย็นในชุดสีเทาอ่อนจาง เรือนผมที่แม้จะย้อมสีน้ำตาลอมทอง แต่ก็ตึงเรียบเพราะรวบผูกเป็นหางม้าไว้ทางด้านหลัง ภาพสะท้อนของชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง ดูสงบเยือกเย็นและเรียบร้อยสมสถานภาพในตอนนี้ ...

แต่นั่นมันก็แค่บุคลิกภายนอกที่แสดงออกไป เพราะอันที่จริงวานรินทร์ตื่นเต้นจนประสาทสั่นระรัวไปหมด ยิ่งเครียดหนักเมื่อกลัวว่า นาธีคราจะไม่ยอมทำตามคำแนะนำของเขา จนทำให้ภาพในกล้องออกมาดูแย่ ซึ่งตัวเขาเองนั่นละจะถูกตำหนิ

เหงื่อเริ่มผุดซึมแล้วไหลลงตามกระดูกไหปลาร้า เพราะความเครียดแน่ๆ ทำให้ภายในร้อนรุ่ม ตรงข้ามกับที่พยายามเก็บอาการให้ดูสุขุมเยือกเย็น

เขาถูกจ้างให้มาทำงานนี้โดยเพื่อนของเขา เจ้าหญิงวรายา ผู้ที่รู้ว่าวานรินทร์กำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ธุรกิจของเขายืนอยู่ต่อไปได้ แน่นอนว่าเขาเคยทำงานเล็กๆ ที่มีรายละเอียดปลีกย่อยไม่น้อยกว่านี้มาก่อนแล้ว แต่งานนี้เป็นงานแรกที่เดิมพันสูงมากเหลือเกิน

หากเขาประสบความสำเร็จในการจัดการของเจ้าชายนาธีครา คำชื่นชมก็จะแพร่หลายออกไป แล้วเขาก็จะได้รับงานจนไม่หวาดไม่ไหว...

หมายถึง ...ถ้า... เขาประสบความสำเร็จกับการจัดการนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งน่ะนะ...

แต่ วานรินทร์ก็ถูกจ้างด้วยเหตุผลอื่นอีกด้วย

เขาได้รับงานนี้ เพราะวรายา ซึ่งดูจะรู้จักการงานและเป็นห่วงสภาพเศรษฐกิจอันย่ำแย่ของบรูนาดารูส เจ้าหญิงทรงรู้ถึงความสำคัญของการเสด็จเยือนในครั้งนี้ ย้ำนักหนาให้เขาสอนพี่ชายของพระองค์ เจ้าชายแห่งบรูนาดารูสผู้เย่อหยิ่ง ให้กลายเป็นเจ้าชายผู้สงบ สง่า เยือกเย็นและผ่อนคลาย ต่อหน้ากล้องทีวีที่คงจะตามจับภาพกันทุกฝีก้าว

เจ้าหญิงวรายาเชื่อใจเขา ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทสนมมานมนาน ว่าเขาจะทำงานนี้ได้สำเร็จลุล่วงลงจนได้

“ฉันรู้ว่าฉันไว้ใจเธอได้นะวา...” วรายาบอกกับวานรินทร์ทางโทรศัพท์เมื่อคืนนี้เอง แล้วก็พูดเสริมต่อไปอย่างเปิดเผยตามนิสัย “การเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยครั้งนี้สำคัญมาก อย่างปล่อยให้พี่ธีคราทำพังนะ”

และ... ตราบจนถึงตอนนี้ เจ้าชายทำได้ดีทีเดียว ทรงดูดี รวมทั้งรับสั่งได้ดี แต่นี้ยังเร็วเกินกว่าวานรินทร์จะบอกว่าประสบความสำเร็จ มันเพียงเริ่มต้น... ต่อจากนี้ห่างหาก ที่เขาจะต้องทำให้เจ้าชายทรงดูดีและรับสั่งได้ดีต่อไปให้ได้ตลอดงาน

อันที่จริงเจ้าชายนาธีคราไม่ได้โปรดปรานเพื่อนสนิทของพระน้องนางเลย ซึ่งก็เหมือนกับความรู้สึกของวานรินทร์นั่นละ เขารู้จักพระองค์ดี ว่าเป็นคนอารมณ์ร้อน ไม่มีความอดทน และเคยชินกับการได้ดั่งพระทัยมาตลอด...

วานรินทรได้แต่หวังว่า เจ้าชายจะทรงเห็นรายงานข่าวในวันนี้ ได้ตระหนักถึงผลสำเร็จในการฝืนตัวเองให้ดูดี แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น... ก็คือเขานั่นละ ที่จะต้องถูกตำหนิอีกเช่นกัน

    ชายหนุ่มรู้ดีว่า ตลอดระยะเวลาการเยือนไทยในครั้งนี้ เขาจะต้องทำงานหนักจนคุ้มค่าเงินทุกดอลล่าร์ที่ได้รับเป็นค่าจ้างในฐานะที่ปรึกษาสำคัญอันนี้ และมันจะต้องยากเย็น เพราะเจ้าชายทรงเย่อหยิ่งและนิสัยเสีย เป็นคนช่างเรียกร้องอย่างไม่มีเหตุผลอยู่บ่อยครั้ง จนวานรินทร์บอกกับตัวเองได้หลายหนว่า เจ้าชายแห่งบรูนาดารูสเป็นคนไม่น่าคบหาสักเท่าไร

คือว่า... เรื่องมารยาทสังคมน่ะเจ้าชายรู้ดีเลยละ และถ้ามีอารมณ์อยากจะทำ ก็จะแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติมาก อย่างที่วานรินทร์เคยเห็นการออกงานราชพิธีหรืองานเลี้ยงฉลองสำคัญ รวมทั้งงานเพื่อสังคมต่างๆ ในประเทศของตัวเอง

เจ้าชายนาธีครารู้จักการวางองค์ นิยมการแต่งกายที่ทันสมัย ทรงบอกได้กระทั่งว่าผ้าชิ้นไหนเป็นไหมไทยแท้แค่สัมผัสเพียงครั้งเดียว ทรงเชี่ยวชาญเรื่องไวน์และอาหารชั้นเลิศตั้งแต่ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่ลอนดอน ทรงสามารถขี่ม้าข้ามรั้ว เล่นโปโลและสกีน้ำได้ในระดับเหรียญเอเชี่ยนเกมส์

นอกจากนั้น ยังทรงจ้างที่ปรึกษาไว้มากมาย เพื่อถวายคำแนะนำเกี่ยวกับการออกงานเต้นรำ หรือให้ความรู้ประเภทเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่ต้องการทรงทราบอย่างกะทันหัน รวมทั้งข่าวกรองสำคัญๆ ในประเทศขององค์เอง เพื่อจะพูดคุยได้ไม่ผิดกาลเทศะ

ขณะวานรินทร์จับตาอยู่ เขาเห็นเจ้าชายนาธีคราทรงสัมผัสมือกับเจ้าหน้าที่ของไทย ทรงแย้มสรวลอย่างมีเสน่ห์ จนเขาแทบได้ยินเสียงกล้องซูมเข้าหา เพื่อจับภาพระยะใกล้ที่สุดให้จงได้

เจ้าชายหันไปมองเลนส์กล้องตรงๆ แล้วแย้มสรวลมากขึ้น ไม่ว่าจะนิสัยเสียขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ภายใต้รูปร่างนักกีฬาและใบหน้าหล่อเหลา ฉลองพระองค์ในเครื่องแต่งกายเรียบร้อยงดงาม เจ้าชายรัชทายาทแห่งบูรนาดารูสพระองค์นี้ ก็ดูดีไปหมด...

ดูดี... ทั้งหมดน่ะหรือ... ไม่หรอกน่า... วานรินทร์แย้งในใจ เรียกว่าดูดีก็ยังไม่ถูกไปซะทีเดียว คือหากจะพูดกันตรงๆ... เจ้าชายดูหล่อเหลาและเริดหรูเลยต่างหากล่ะ

ทรงเป็นเหมือนประติมากรรมชั้นเยี่ยมยอด พระเกศาดำสนิทดกหนาและสะบัดปลายน้อยๆ อยู่เหนือพระอังสะ ดวงพักตร์ยาวเรียวและโหนกแก้มกับแนวกรามสะดุดตา ไรพระมัสสุเขียวครึ้ม บ่งบอกให้รู้ถึงสายเลือดรายาแห่งอุษาคเนย์ ยังจะดวงเนตรคมกริบส่งประกายสดใสนั่นอีก ขนตายาวหนาเป็นแพนั่นด้วย รวมทั้งนาสิกโด่งตรงและดูองอาจอย่างยิ่ง

ทว่า... วานรินทร์รู้จักเจ้าชายมาตั้งแต่ตนอายุได้สิบห้าปี ซึ่งตอนนั้นเจ้าชายมีพระชันษาสิบเก้า แน่นอนว่าเขาหลงใหลพระองค์หัวปักหัวปำตั้งแต่แรกเห็น แต่ไม่นานก็ตระหนักได้ว่า แท้จริงนั้น เจ้าชายหาได้มีความคล้ายคลึงกับน้องสาวผู้ร่าเริง แจ่มใสมีชีวิตชีวาและมีเหตุผลนั่นเลยสักนิด  

วานรินทร์บอกกับตัวเองได้ชัดเจนว่า เจ้าชายนาธีคราเป็นคนน่าเบื่อ... เอาใจใส่กับภาพลักษณ์ของตัวเองมากเกินไป ทรงเสียเวลาไปมากมายประทับหน้ากระจกเงา ซึ่งเจ้าหญิงวรายาและเขาเคยหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็งมาแล้ว ตอนเห็นท่าเจ้าชายทรงหวีพระเกศา และเบ่งกล้ามหรือสำรวจพระทนต์ขาววาววับอยู่หน้ากระจกเป็นเวลานานๆ

กระนั้น ความหลงใหลของวานรินทร์ก็ยังคงมีอยู่ และยังไม่มอดไหม้ไปเสียทั้งหมด จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสพูดคุยกันเจ้าชาย... ได้เห็นว่าภายใต้หน้าฉากทรงเสน่ห์ และท่าทางจัดเจนสังคมนั้น เบื้องหลังพระพักตร์หล่อเหลาและพระวรกายประเปรียว หรือลึกลงไปใต้ดวงเนตรคมกริบสดใสนั่น แท้จริงแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวของพระองค์... ว่างเปล่า...

ไม่มีอะไรที่เขาสนเลยเลยแม้แต่น้อย

(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่