ตอนที่ ๑...
วันขึ้นสถาปนาเป็นกษัตริย์
สายลมเย็นพัดพลิ้วมาให้หนาวจับใจรับฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนบ้านเมืองบันนาตุกะ หลังจากที่ฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อต้นปีที่แล้ว ลมเอ่ยพัดเอาความหอมหวานของดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ที่ตำหนักฝ่ายใน กลิ่นของมันหอมอบอวลมาถึงตำหนักพระปืน แสงสุริยงสาดส่องพื้นที่เป็นบริวเณกว้างยามที่กระทบกับผืนน้ำแลให้เห็นเป็นทองสีอร่ามทำให้น่ามองยิ่งนัก เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลอย่างเผลอตัวพลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต
เจ้าชายอัสมันได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนสหายที่ร่ำเรียนวิชาการเมืองและการปกครองด้วยกัน ครั้งแรกกับการยลโฉมธิดาแห่งเซนารักซึ่งมีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาของเจ้าชายอานามานัสพระสหาย ด้วยสิริโฉมที่งดงามและดวงพระเนตรที่น่าหลงใหลสามารถสะกดดวงหทัยของเจ้าชายอัสมันไว้มั่น เหมือนได้พบกับบางอย่างที่ขาดหาย เป็นความรู้สึกต้องการและอยากครอบครองนางผู้เลอโฉมผู้นี้ หากในตอนนั้นเจ้าหญิงยังทรงพระชนมายุเพียงสิบห้าพรรษาเท่านั้นและหลายครั้งที่พระองค์ได้มีโอกาสออกประพาสป่ากับเจ้าชายอานามานัสโดยมีเจ้าหญิงแอนนาริตาเป็นผู้ติดตามมาด้วยในตอนนั้นพระองค์ยังจำได้ดีว่ามีความสุขมากเพียงใด
เมื่อสิบปีก่อน...
“หม่อมฉันพอใจในตัวพระขนิษฐาของเจ้าชายจะเป็นการเสียหายรึไม่หากหม่อมฉันจะขอจองตัวพระขนิษฐาของเจ้าชายเพื่อมาเป็นชายาของหม่อมฉันในอนาคต" ในขณะที่ทรงพระอักษรในห้องพระอักษรที่สถานศึกษา เจ้าชายอัสมันเคยตรัส ท่ามกลางรอยยิ้มของเจ้าชายอานามานัส
“หม่อมฉันนึกไว้แล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ พระองค์ทรงมีจิตเสน่หากับน้องของหม่อมฉัน”
“นี่พระองค์ทรงรู้ด้วยหรือ”
“สายพระเนตรของพระองค์อย่างไรเล่าที่ทรงบอกหม่อมฉัน ชายใดที่ได้อยู่ใกล้น้องหญิงแอนนาริตาของหม่อมฉันเป็นต้องตกหลุมรักทุกคนและนั่นก็คือเหตุผลประการหนึ่งที่หม่อมฉันมิอยากพาสหายพระองค์ใดมาเซนารัก”
“ทรงหวงน้อง”
“อย่าทรงตรัสเช่นนั้น เพราะหน้าที่ของพี่ที่ดีคือการปกป้องและดูแลผู้เป็นน้องมิให้เสื่อมเสียพระเกีรยติ ยิ่งแอนนาริตาเป็นธิดาเพียงพระองค์เดียวแห่งเซนารัก หม่อมฉันยิ่งต้องปกป้องดูแลน้องให้ดีที่สุด”
“ถ้าเช่นนั้นทรงไว้ใจให้หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลพระขนิษฐาของเจ้าชายต่อจากพระองค์ด้วยเถิด” เจ้าชายอานามานัสทรงสรวลพองาม
“สิบปีข้างหน้าถ้าพระองค์ยังคงรักมั่นในตัวน้องหญิงของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะยอมให้พระองค์ได้ดูแลและเชื่อว่าพระบิดาของหม่อมฉันจะมิอาจปฏิเสธผู้ที่กำลังจะกลายเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตข้างหน้า” จากคำตรัสของเจ้าชายอานามานัสในตอนนั้นจนกระทั่งเวลานี้สิบปีได้ผ่านพ้นมาอย่างรวดเร็วเจ้าชายอัสมันยังคงรักษาสัญญาด้วยการมิเคยชายตามองหาสตรีใด ในหทัยดวงนี้ยังยึดมั่นแต่เพียงธิดาน้อยแห่งเซนารักมิเสื่อมคลาย
“ทูลฝ่าบาท เวลานี้ที่ท้องพระโรงมีตัวแทนแห่งเมืองต่างๆ มารอเข้าเฝ้าพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซิน องครักษ์หนุ่มประจำพระองค์กราบทูล
“ยัซซิน” เจ้าชายอัสมันทรงเรียกนาม อีกไม่นานพระองค์จะเปลี่ยนยศถาบรรดาศักดิ์จากเจ้าชายอัสมันเป็นพระราชาอัสมันอย่างสมบูรณ์ตามคำตรัสของพระบิดา กษัตริย์องค์ก่อนที่เสด็จสวรรคตไปนานแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าตัวแทนแห่งเมืองเซนารักจะมอบอะไรไว้เป็นเครื่องถวายในวันอภิเษกตำแหน่งราชาของเรา” กษัตริย์หนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระราชปุจฉา บัดนี้พระองค์ทรงได้รับพระราชตำแหน่งขึ้นครองราชย์ตามพระประสงค์ของกษัตริย์องค์ก่อน เพราะเหตุนี้จึงมีตัวแทนจากต่างเมืองมากมายเข้ามาร่วมถวายพรกันอย่างล้นหลาม “กระหม่อมเองก็มิทราบพ่ะย่ะค่ะแต่คิดว่าของถวายจากเมืองเซนารักจะต้องเป็นสิ่งของล้ำค่าเป็นที่พอพระทัยของฝ่าบาทแน่” สิ้นคำพูดของราชองครักษ์ กษัตริย์หนุ่มทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยคำพูดสองแง่สองง่ามของยัซซิน หากสิ่งที่องครักษ์หนุ่มบอกมันเป็นเรื่องจริง นั่นก็หมายความว่าเจ้าชายอานามานัสพระสหายเพื่อนยากได้ทำตามสัจจะที่ได้ให้ไว้ก่อนจากมา
“เจ้าพูดถูกใจเราเสียจริง ยัซซิน ไว้เสร็จพิธีราชาภิเษกตำแหน่งเมื่อใด เราจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ของบันนาตุกะ” ฝีพระโอษฐ์หยักศกยังคงตรัสอย่างสบายพระทัย
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะตำแหน่งท่านแม่ทัพเดิมนั้นเป็นของท่านพ่อของกระหม่อมอยู่แล้ว”
เจ้าชายอัสมันทรงทอดพระเนตรใบหน้าเข้มของยัซซิน จับจ้องร่างกำยำขององครักษ์หนุ่ม เข้าพระทัยดีถึงความรู้สึกอันลึกซึ้งของยัซซินที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอาลีท่านแม่ทัพใหญ่แห่งบันนาตุกะ ครั้นจะให้มาเย่อแย่งตำแหน่งกับบิดาตัวเองเห็นทีคงจะไม่เข้าท่า
“ใครว่าเราจะเอาตัวเจ้ามาแทนบิดาของเจ้าเล่า มันจะเป็นการดีมิใช่หรือที่บันนาตุกะของเราจะมีท่านแม่ทัพเพิ่มขึ้นมาอีกสักคน” ว่าด้วยเรื่องฝีมือ บิดาของยัซซินถือเป็นท่านแม่ทัพที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้อาวุธทุกชนิดซึ่งเหตุที่ชำนาญเพราะเคยมีประสบการณ์ในการออกสงครามเมื่อช่วงที่มีการล่าดินแดนกับพระชนกของพระองค์และมันก็หาใช่เรื่องน่าแปลก หากยัซซินจะเดินตามรอยบิดาของตน
กษัตริย์อัสมันทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยให้กับทุกคนที่เดินทางมาร่วมถวายความยินดีเต็มท้องพระโรงสำหรับพระราชพิธีขึ้นครองราชย์อย่างสมเกียรติโดยมีร่างของยัซซินตามถวายอารักขาอย่างใกล้ชิด
เหล่าตัวแทนจากเมืองต่างๆ กล่าวถวายพรทรงพระเจริญดังทั่วท้องพระโรง เมื่อสิ้นสุดพิธีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทสู่การครองบัลลังก์ที่ร้างกษัตริย์มานานกว่าสิบปีเนื่องด้วยเวลานั้นกษัตริย์อัสมันยังทรงพระเยาว์มาก บวกกับความรู้ที่ยังต้องหาประสบการณ์อยู่อีก พระองค์จึงต้องออกไปแสวงหาพระตำรายังต่างแดนเป็นเวลานานแรมปี บัดนี้เมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุครบสามสิบพรรษาอย่างบริบูรณ์ จึงควรค่าแก่การขึ้นครองราชย์
พระเนตรคมกริบทอดมองกว้างไกลสุดลูกตา พระเกศาสวมพระมงกุฎงามเด่นสง่าตรงหน้าเครือพระญาติรวมถึงเหล่าตัวแทนจากเมืองต่างๆ และขุนทหารข้าราชบริวารทั้งปวงรวมๆ แล้วนับพันกว่าชีวิต บัดนี้เจ้าชายอัสมันทรงเป็นกษัตริย์อย่างสมบูรณ์แล้ว
“เราในนามของอัสมัน กษัตริย์ผู้ครองเมืองบันนาตุกะขอขอบใจพวกท่านทุกคนสำหรับการเดินทางมาร่วมพิธีฉลองขึ้นครองราชย์ของเรา” พระสุรเสียงดูสุขุมนุ่มลึกดังกังวานทั่วท้องพระโรง ก่อนจะทรงรับฟังเสียงจากตัวแทนต่างเมืองเข้าถวายพรชัย
“ใต้ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อมขอเดชะ กระหม่อมเป็นตัวแทนแห่งเมืองทัพพาระ นคร ขอร่วมลงนามแสดงความยินดีแก่พระองค์ เพื่อถวายความจงรักภักดี กระหม่อมได้นำเครื่องแก้วแหวนเงินทองที่ลวดลายหายากมาถวายให้ฝ่าบาท ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ” ตัวแทนทัพพาระ นครเอ่ยวาจาอย่างสุภาพก่อนจะมอบแก้วแหวนเงินทองผ่านมือองครักษ์ประจำพระองค์ที่รับไว้แทน
“เกล้ากระหม่อมขอเดชะ กระหม่อมเป็นตัวแทนของเมืองเหมันตา นำของสำคัญมาถวายเพื่อแสดงความยินดีในการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรดพ่ะย่ะค่ะ” ตัวแทนต่างแดนถวายพวกงาช้างเผือกป่าที่หายากจำนวนสามงา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่าหากราชาอัสมันทรงสดับฟังคำพูดของตัวแทนแต่ละเมืองด้วยพระพักตร์เรียบเฉยคล้ายกับเป็นเรื่องน่าเบื่อหากดวงหทัยกลับไหวหวั่นเมื่อมาถึงตัวแทนของเมืองเซนารัก
“ควรไม่ควรแล้วแต่จะทรงโปรด กระหม่อมเป็นตัวแทนของเมืองเซนารัก เนื่องด้วยวาระที่ฝ่าบาททรงขึ้น
ครองราชย์อย่างสมเกียรติ กระหม่อมเป็นเพียงตัวแทนแห่งเมืองเซนารัก ได้นำภาพวาดจากนักวาดที่มีฝีมือของเซนารักและตามคำรับสั่งของเจ้าชายอานามานัสพระราชโอรสแห่งเมืองเซนารัก เพื่อถวายให้ฝ่าบาทได้ทรงทอดพระเนตรดู เจ้าชายอานามานัสยังฝากหม่อมฉันมากราบทูลอีกด้วยว่าหากฝ่าบาทยังมิทรงลืมสัญญากับเจ้าชายแห่งเมืองเซนารัก โปรดรับภาพวาดนี้ไว้พิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์คมเข้มทอดพระเนตรมองแผ่นภาพวาดที่ม้วนอยู่ในมือของตัวแทนเซนารัก พระองค์ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยราวกับรู้ว่าภาพวาดนั้นเป็นภาพวาดสิ่งใด
คงมาถึงแล้วสินะ วันที่พระองค์ควรมีบัวแรกแย้มมาประดับเป็นมิ่งขวัญแก่บันนาตุกะของพระองค์
“เราใคร่อยากดูภาพวาดนั่นแล้ว โปรดมอบภาพวาดนั้นให้องครักษ์ประจำตัวของเราเสียและฝากขอบพระทัยเจ้าชายอานามานัสด้วย” สิ้นสุรเสียงแข็งกร้าว ร่างของตัวแทนเซนารักเริ่มขยับและยอมทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทโดยส่งภาพวาดให้ยัซซินก่อนที่พระองค์จะทรงรับภาพวาดจากมือองครักษ์หนุ่มอีกที
แม้จะยังมิได้เปิดดูแต่กระนั้นดวงหทัยของกษัตริย์หนุ่มกลับสั่นไหวโดยไม่ทราบสาเหตุแต่เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นภาพวาดนั้นแล้วแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย งดงาม โดดเด่นและน่าหลงใหลดุจดั่งเทพธิดาก็ไม่ปาน
มิใช่แค่เพียงของถวายที่มีคุณค่าทางอารมณ์เท่านั้น หากมันยังเป็นสิ่งที่พระองค์พึงปรารถนามานานแรมปี คือบัวแรกแย้มที่พระองค์หวังอยากได้มาเคียงกาย
แม้เป็นเพียงแค่ภาพวาดที่วาดให้เห็นแค่เพียงครึ่งพระวรกาย แต่พระพักตร์งามรูปไข่ที่กำลังแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน พระขนงดำรับดวงพระเนตรกลมโตสีน้ำตาลเข้มงามงดจนน่าหลงใหลคู่นั้น นาสิกโด่งรับกับพระโอษฐ์อิ่มสีชมพูที่น่าจับตามอง ในภาพนี้เจ้าหญิงทรงไว้พระเกศายาวถึงกลางหลัง ทรงสวมพระดาบไว้ในมือบ่งบอกถึงความอ่อนโยนและความแข็งแกร่งในคราวเดียวกัน
กษัตริย์อัสมันยังจำได้ดีว่าตนเคยสอนการใช้ดาบให้แก่เจ้าหญิงน้อยที่ใคร่อยากเรียนวิชาชาย นางเป็นเพียงหญิงแต่ห้าวหาญเกินชายนัก ยังจำได้ดีว่าเจ้าหญิงน้อยเคยท้าประลองดาบกับพระองค์และพระองค์เองที่ทรงยอมแพ้ให้กับนางเพียงเพราะกลัวนางจะได้รับอันตรายจากการปะทะอาวุธ
ปลายนิ้วแข็งแรงลูบไล้ตามแผ่นกระดาษไขสัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่มแม้มิได้สัมผัสถึงเนื้อผ้าจริงก็ตาม รึเพราะเจ้าของพระวรกายอรชรรูปนั้นกันแน่ที่ทรงทำให้ผ้าพื้นเมืองแห่งเซนารักแลดูสวยเด่นภายในพริบตาเห็น
พระโอษฐ์หยักศกทรงแย้มพระสรวลอีกครั้งก่อนจะปิดภาพวาดบนกระดาษไขลงแล้วรับสั่งให้มอบแร่ธาตุแก่ตัวแทนทุกเมืองเพื่อเป็นการตอบแทนในความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาร่วมพิธี ในบรรดาของถวายทั้งหลายทั้งปวง กษัตริย์อัสมันทรงโปรดของถวายจากเมืองเซนารักยิ่งนัก ริมพระโอษฐ์หยักศกแย้มพระสรวลออกมาอีกครั้งเมื่อเจ้าชายพระสหายมิทรงลืมสัจจะที่เคยตรัสไว้ตอนศึกษาหาความรู้ด้วยกัน
หลังจากที่งานราชาอภิเษกจบสิ้นลงพร้อมกับเหล่าตัวแทนจากเมืองต่างๆ ได้แยกย้ายกลับบ้านเมืองของตน กษัตริย์อัสมันเสด็จมายังห้องทรงพระอักษรโดยมิลืมหยิบภาพวาดงดงามนั้นติดพระหัตถ์มาด้วยโดยกำชับผู้ติดตามห้ามรบกวน
วรกายแข็งแกร่งเดินเข้ามาประทับในห้องพระอักษร ณ เพลานี้พระองค์ยังคงมีเรื่องของเจ้าหญิงแอนนาริตาให้ต้องครวญคิด นางงดงามจนหวั่นหทัยว่าจะมีบุรุษมากมายที่คิดอยากได้นางมาเป็นชายาอย่างเช่นพระองค์ เพราะมัวคิดไปไกลจนไม่ทันสังเกตว่ามีผู้อื่นเข้ามาอ่านพระตำราอยู่ก่อนแล้ว
“นี่มันหมายความเยี่ยงไรกันเพคะ”
ดวงยิหวาแห่งราชันย์
วันขึ้นสถาปนาเป็นกษัตริย์
สายลมเย็นพัดพลิ้วมาให้หนาวจับใจรับฤดูหนาวที่กำลังมาเยือนบ้านเมืองบันนาตุกะ หลังจากที่ฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อต้นปีที่แล้ว ลมเอ่ยพัดเอาความหอมหวานของดอกบัวสีขาวบริสุทธิ์ที่ตำหนักฝ่ายใน กลิ่นของมันหอมอบอวลมาถึงตำหนักพระปืน แสงสุริยงสาดส่องพื้นที่เป็นบริวเณกว้างยามที่กระทบกับผืนน้ำแลให้เห็นเป็นทองสีอร่ามทำให้น่ามองยิ่งนัก เจ้าชายหนุ่มแย้มพระสรวลอย่างเผลอตัวพลันนึกถึงเรื่องราวในอดีต
เจ้าชายอัสมันได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนสหายที่ร่ำเรียนวิชาการเมืองและการปกครองด้วยกัน ครั้งแรกกับการยลโฉมธิดาแห่งเซนารักซึ่งมีศักดิ์เป็นพระขนิษฐาของเจ้าชายอานามานัสพระสหาย ด้วยสิริโฉมที่งดงามและดวงพระเนตรที่น่าหลงใหลสามารถสะกดดวงหทัยของเจ้าชายอัสมันไว้มั่น เหมือนได้พบกับบางอย่างที่ขาดหาย เป็นความรู้สึกต้องการและอยากครอบครองนางผู้เลอโฉมผู้นี้ หากในตอนนั้นเจ้าหญิงยังทรงพระชนมายุเพียงสิบห้าพรรษาเท่านั้นและหลายครั้งที่พระองค์ได้มีโอกาสออกประพาสป่ากับเจ้าชายอานามานัสโดยมีเจ้าหญิงแอนนาริตาเป็นผู้ติดตามมาด้วยในตอนนั้นพระองค์ยังจำได้ดีว่ามีความสุขมากเพียงใด
เมื่อสิบปีก่อน...
“หม่อมฉันพอใจในตัวพระขนิษฐาของเจ้าชายจะเป็นการเสียหายรึไม่หากหม่อมฉันจะขอจองตัวพระขนิษฐาของเจ้าชายเพื่อมาเป็นชายาของหม่อมฉันในอนาคต" ในขณะที่ทรงพระอักษรในห้องพระอักษรที่สถานศึกษา เจ้าชายอัสมันเคยตรัส ท่ามกลางรอยยิ้มของเจ้าชายอานามานัส
“หม่อมฉันนึกไว้แล้วว่ามันต้องเป็นเช่นนี้ พระองค์ทรงมีจิตเสน่หากับน้องของหม่อมฉัน”
“นี่พระองค์ทรงรู้ด้วยหรือ”
“สายพระเนตรของพระองค์อย่างไรเล่าที่ทรงบอกหม่อมฉัน ชายใดที่ได้อยู่ใกล้น้องหญิงแอนนาริตาของหม่อมฉันเป็นต้องตกหลุมรักทุกคนและนั่นก็คือเหตุผลประการหนึ่งที่หม่อมฉันมิอยากพาสหายพระองค์ใดมาเซนารัก”
“ทรงหวงน้อง”
“อย่าทรงตรัสเช่นนั้น เพราะหน้าที่ของพี่ที่ดีคือการปกป้องและดูแลผู้เป็นน้องมิให้เสื่อมเสียพระเกีรยติ ยิ่งแอนนาริตาเป็นธิดาเพียงพระองค์เดียวแห่งเซนารัก หม่อมฉันยิ่งต้องปกป้องดูแลน้องให้ดีที่สุด”
“ถ้าเช่นนั้นทรงไว้ใจให้หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลพระขนิษฐาของเจ้าชายต่อจากพระองค์ด้วยเถิด” เจ้าชายอานามานัสทรงสรวลพองาม
“สิบปีข้างหน้าถ้าพระองค์ยังคงรักมั่นในตัวน้องหญิงของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะยอมให้พระองค์ได้ดูแลและเชื่อว่าพระบิดาของหม่อมฉันจะมิอาจปฏิเสธผู้ที่กำลังจะกลายเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตข้างหน้า” จากคำตรัสของเจ้าชายอานามานัสในตอนนั้นจนกระทั่งเวลานี้สิบปีได้ผ่านพ้นมาอย่างรวดเร็วเจ้าชายอัสมันยังคงรักษาสัญญาด้วยการมิเคยชายตามองหาสตรีใด ในหทัยดวงนี้ยังยึดมั่นแต่เพียงธิดาน้อยแห่งเซนารักมิเสื่อมคลาย
“ทูลฝ่าบาท เวลานี้ที่ท้องพระโรงมีตัวแทนแห่งเมืองต่างๆ มารอเข้าเฝ้าพระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ยัซซิน องครักษ์หนุ่มประจำพระองค์กราบทูล
“ยัซซิน” เจ้าชายอัสมันทรงเรียกนาม อีกไม่นานพระองค์จะเปลี่ยนยศถาบรรดาศักดิ์จากเจ้าชายอัสมันเป็นพระราชาอัสมันอย่างสมบูรณ์ตามคำตรัสของพระบิดา กษัตริย์องค์ก่อนที่เสด็จสวรรคตไปนานแล้ว
“พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่าตัวแทนแห่งเมืองเซนารักจะมอบอะไรไว้เป็นเครื่องถวายในวันอภิเษกตำแหน่งราชาของเรา” กษัตริย์หนุ่มผู้ยิ่งใหญ่ทรงพระราชปุจฉา บัดนี้พระองค์ทรงได้รับพระราชตำแหน่งขึ้นครองราชย์ตามพระประสงค์ของกษัตริย์องค์ก่อน เพราะเหตุนี้จึงมีตัวแทนจากต่างเมืองมากมายเข้ามาร่วมถวายพรกันอย่างล้นหลาม “กระหม่อมเองก็มิทราบพ่ะย่ะค่ะแต่คิดว่าของถวายจากเมืองเซนารักจะต้องเป็นสิ่งของล้ำค่าเป็นที่พอพระทัยของฝ่าบาทแน่” สิ้นคำพูดของราชองครักษ์ กษัตริย์หนุ่มทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยคำพูดสองแง่สองง่ามของยัซซิน หากสิ่งที่องครักษ์หนุ่มบอกมันเป็นเรื่องจริง นั่นก็หมายความว่าเจ้าชายอานามานัสพระสหายเพื่อนยากได้ทำตามสัจจะที่ได้ให้ไว้ก่อนจากมา
“เจ้าพูดถูกใจเราเสียจริง ยัซซิน ไว้เสร็จพิธีราชาภิเษกตำแหน่งเมื่อใด เราจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ของบันนาตุกะ” ฝีพระโอษฐ์หยักศกยังคงตรัสอย่างสบายพระทัย
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เพราะตำแหน่งท่านแม่ทัพเดิมนั้นเป็นของท่านพ่อของกระหม่อมอยู่แล้ว”
เจ้าชายอัสมันทรงทอดพระเนตรใบหน้าเข้มของยัซซิน จับจ้องร่างกำยำขององครักษ์หนุ่ม เข้าพระทัยดีถึงความรู้สึกอันลึกซึ้งของยัซซินที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอาลีท่านแม่ทัพใหญ่แห่งบันนาตุกะ ครั้นจะให้มาเย่อแย่งตำแหน่งกับบิดาตัวเองเห็นทีคงจะไม่เข้าท่า
“ใครว่าเราจะเอาตัวเจ้ามาแทนบิดาของเจ้าเล่า มันจะเป็นการดีมิใช่หรือที่บันนาตุกะของเราจะมีท่านแม่ทัพเพิ่มขึ้นมาอีกสักคน” ว่าด้วยเรื่องฝีมือ บิดาของยัซซินถือเป็นท่านแม่ทัพที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้อาวุธทุกชนิดซึ่งเหตุที่ชำนาญเพราะเคยมีประสบการณ์ในการออกสงครามเมื่อช่วงที่มีการล่าดินแดนกับพระชนกของพระองค์และมันก็หาใช่เรื่องน่าแปลก หากยัซซินจะเดินตามรอยบิดาของตน
กษัตริย์อัสมันทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยให้กับทุกคนที่เดินทางมาร่วมถวายความยินดีเต็มท้องพระโรงสำหรับพระราชพิธีขึ้นครองราชย์อย่างสมเกียรติโดยมีร่างของยัซซินตามถวายอารักขาอย่างใกล้ชิด
เหล่าตัวแทนจากเมืองต่างๆ กล่าวถวายพรทรงพระเจริญดังทั่วท้องพระโรง เมื่อสิ้นสุดพิธีการแต่งตั้งองค์รัชทายาทสู่การครองบัลลังก์ที่ร้างกษัตริย์มานานกว่าสิบปีเนื่องด้วยเวลานั้นกษัตริย์อัสมันยังทรงพระเยาว์มาก บวกกับความรู้ที่ยังต้องหาประสบการณ์อยู่อีก พระองค์จึงต้องออกไปแสวงหาพระตำรายังต่างแดนเป็นเวลานานแรมปี บัดนี้เมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุครบสามสิบพรรษาอย่างบริบูรณ์ จึงควรค่าแก่การขึ้นครองราชย์
พระเนตรคมกริบทอดมองกว้างไกลสุดลูกตา พระเกศาสวมพระมงกุฎงามเด่นสง่าตรงหน้าเครือพระญาติรวมถึงเหล่าตัวแทนจากเมืองต่างๆ และขุนทหารข้าราชบริวารทั้งปวงรวมๆ แล้วนับพันกว่าชีวิต บัดนี้เจ้าชายอัสมันทรงเป็นกษัตริย์อย่างสมบูรณ์แล้ว
“เราในนามของอัสมัน กษัตริย์ผู้ครองเมืองบันนาตุกะขอขอบใจพวกท่านทุกคนสำหรับการเดินทางมาร่วมพิธีฉลองขึ้นครองราชย์ของเรา” พระสุรเสียงดูสุขุมนุ่มลึกดังกังวานทั่วท้องพระโรง ก่อนจะทรงรับฟังเสียงจากตัวแทนต่างเมืองเข้าถวายพรชัย
“ใต้ฝ่าพระบาท เกล้ากระหม่อมขอเดชะ กระหม่อมเป็นตัวแทนแห่งเมืองทัพพาระ นคร ขอร่วมลงนามแสดงความยินดีแก่พระองค์ เพื่อถวายความจงรักภักดี กระหม่อมได้นำเครื่องแก้วแหวนเงินทองที่ลวดลายหายากมาถวายให้ฝ่าบาท ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ” ตัวแทนทัพพาระ นครเอ่ยวาจาอย่างสุภาพก่อนจะมอบแก้วแหวนเงินทองผ่านมือองครักษ์ประจำพระองค์ที่รับไว้แทน
“เกล้ากระหม่อมขอเดชะ กระหม่อมเป็นตัวแทนของเมืองเหมันตา นำของสำคัญมาถวายเพื่อแสดงความยินดีในการขึ้นครองราชย์ของพระองค์ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรดพ่ะย่ะค่ะ” ตัวแทนต่างแดนถวายพวกงาช้างเผือกป่าที่หายากจำนวนสามงา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของมีค่าหากราชาอัสมันทรงสดับฟังคำพูดของตัวแทนแต่ละเมืองด้วยพระพักตร์เรียบเฉยคล้ายกับเป็นเรื่องน่าเบื่อหากดวงหทัยกลับไหวหวั่นเมื่อมาถึงตัวแทนของเมืองเซนารัก
“ควรไม่ควรแล้วแต่จะทรงโปรด กระหม่อมเป็นตัวแทนของเมืองเซนารัก เนื่องด้วยวาระที่ฝ่าบาททรงขึ้น
ครองราชย์อย่างสมเกียรติ กระหม่อมเป็นเพียงตัวแทนแห่งเมืองเซนารัก ได้นำภาพวาดจากนักวาดที่มีฝีมือของเซนารักและตามคำรับสั่งของเจ้าชายอานามานัสพระราชโอรสแห่งเมืองเซนารัก เพื่อถวายให้ฝ่าบาทได้ทรงทอดพระเนตรดู เจ้าชายอานามานัสยังฝากหม่อมฉันมากราบทูลอีกด้วยว่าหากฝ่าบาทยังมิทรงลืมสัญญากับเจ้าชายแห่งเมืองเซนารัก โปรดรับภาพวาดนี้ไว้พิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
พระพักตร์คมเข้มทอดพระเนตรมองแผ่นภาพวาดที่ม้วนอยู่ในมือของตัวแทนเซนารัก พระองค์ทรงแย้มพระสรวลเล็กน้อยราวกับรู้ว่าภาพวาดนั้นเป็นภาพวาดสิ่งใด
คงมาถึงแล้วสินะ วันที่พระองค์ควรมีบัวแรกแย้มมาประดับเป็นมิ่งขวัญแก่บันนาตุกะของพระองค์
“เราใคร่อยากดูภาพวาดนั่นแล้ว โปรดมอบภาพวาดนั้นให้องครักษ์ประจำตัวของเราเสียและฝากขอบพระทัยเจ้าชายอานามานัสด้วย” สิ้นสุรเสียงแข็งกร้าว ร่างของตัวแทนเซนารักเริ่มขยับและยอมทำตามพระประสงค์ของฝ่าบาทโดยส่งภาพวาดให้ยัซซินก่อนที่พระองค์จะทรงรับภาพวาดจากมือองครักษ์หนุ่มอีกที
แม้จะยังมิได้เปิดดูแต่กระนั้นดวงหทัยของกษัตริย์หนุ่มกลับสั่นไหวโดยไม่ทราบสาเหตุแต่เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นภาพวาดนั้นแล้วแทบไม่ต้องอธิบายอะไรเลย งดงาม โดดเด่นและน่าหลงใหลดุจดั่งเทพธิดาก็ไม่ปาน
มิใช่แค่เพียงของถวายที่มีคุณค่าทางอารมณ์เท่านั้น หากมันยังเป็นสิ่งที่พระองค์พึงปรารถนามานานแรมปี คือบัวแรกแย้มที่พระองค์หวังอยากได้มาเคียงกาย
แม้เป็นเพียงแค่ภาพวาดที่วาดให้เห็นแค่เพียงครึ่งพระวรกาย แต่พระพักตร์งามรูปไข่ที่กำลังแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน พระขนงดำรับดวงพระเนตรกลมโตสีน้ำตาลเข้มงามงดจนน่าหลงใหลคู่นั้น นาสิกโด่งรับกับพระโอษฐ์อิ่มสีชมพูที่น่าจับตามอง ในภาพนี้เจ้าหญิงทรงไว้พระเกศายาวถึงกลางหลัง ทรงสวมพระดาบไว้ในมือบ่งบอกถึงความอ่อนโยนและความแข็งแกร่งในคราวเดียวกัน
กษัตริย์อัสมันยังจำได้ดีว่าตนเคยสอนการใช้ดาบให้แก่เจ้าหญิงน้อยที่ใคร่อยากเรียนวิชาชาย นางเป็นเพียงหญิงแต่ห้าวหาญเกินชายนัก ยังจำได้ดีว่าเจ้าหญิงน้อยเคยท้าประลองดาบกับพระองค์และพระองค์เองที่ทรงยอมแพ้ให้กับนางเพียงเพราะกลัวนางจะได้รับอันตรายจากการปะทะอาวุธ
ปลายนิ้วแข็งแรงลูบไล้ตามแผ่นกระดาษไขสัมผัสได้ถึงความเนียนนุ่มแม้มิได้สัมผัสถึงเนื้อผ้าจริงก็ตาม รึเพราะเจ้าของพระวรกายอรชรรูปนั้นกันแน่ที่ทรงทำให้ผ้าพื้นเมืองแห่งเซนารักแลดูสวยเด่นภายในพริบตาเห็น
พระโอษฐ์หยักศกทรงแย้มพระสรวลอีกครั้งก่อนจะปิดภาพวาดบนกระดาษไขลงแล้วรับสั่งให้มอบแร่ธาตุแก่ตัวแทนทุกเมืองเพื่อเป็นการตอบแทนในความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาร่วมพิธี ในบรรดาของถวายทั้งหลายทั้งปวง กษัตริย์อัสมันทรงโปรดของถวายจากเมืองเซนารักยิ่งนัก ริมพระโอษฐ์หยักศกแย้มพระสรวลออกมาอีกครั้งเมื่อเจ้าชายพระสหายมิทรงลืมสัจจะที่เคยตรัสไว้ตอนศึกษาหาความรู้ด้วยกัน
หลังจากที่งานราชาอภิเษกจบสิ้นลงพร้อมกับเหล่าตัวแทนจากเมืองต่างๆ ได้แยกย้ายกลับบ้านเมืองของตน กษัตริย์อัสมันเสด็จมายังห้องทรงพระอักษรโดยมิลืมหยิบภาพวาดงดงามนั้นติดพระหัตถ์มาด้วยโดยกำชับผู้ติดตามห้ามรบกวน
วรกายแข็งแกร่งเดินเข้ามาประทับในห้องพระอักษร ณ เพลานี้พระองค์ยังคงมีเรื่องของเจ้าหญิงแอนนาริตาให้ต้องครวญคิด นางงดงามจนหวั่นหทัยว่าจะมีบุรุษมากมายที่คิดอยากได้นางมาเป็นชายาอย่างเช่นพระองค์ เพราะมัวคิดไปไกลจนไม่ทันสังเกตว่ามีผู้อื่นเข้ามาอ่านพระตำราอยู่ก่อนแล้ว
“นี่มันหมายความเยี่ยงไรกันเพคะ”