แม้หลายคนฟังไม่ออก แต่ก็ต้องตื่นตระหนกกับปฏิกิริยาเช่นนั้นของเจ้าชายนาธีครา... ผู้ช่วยของท่านสมเกียรติที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง รีบแปลจากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาไทย เร็วปรื๋อ ที่ริมหูของผู้เป็นประธานกรรมการต้อนรับ
เจ้าชายทรงส่งเสียงอุทานด้วยความรังเกียจออกมาอีกคำ แล้วดำเนินอย่างผึ่งผายไปที่ประตู สิ่งที่พระองค์จะนำออกไปด้วยคือ ความหวังว่าจะได้ซื้อน้ำมันราคาถูกของท่านสมเกียรติ และความฝันของเจ้าหญิงวรายาถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตน
ทว่าท่านสว.ก็เร็วพอที่จะรีบขยับไป ขวางหน้าเจ้าชายรัชทายาทแห่งบรูนาดารูสไว้ได้ก่อนพระองค์จะถึงประตู
“ใต้ฝ่าพระบาท...” สว.สมเกียรติพูด เสียงอ่อนๆ คล้ายจะอ้อนๆ เพื่อเอาพระทัย “ถ้าหากใต้ฝ่าพระบาททรงคิดถึงทุนสำหรับการขุดเจาะน้ำมัน...”
“นายนั่นมันบ้า มันเป็นปิศาจชัดๆ!” เจ้าชายประกาศเสียงดังเป็นภาษาฝรั่งเศส ผู้ช่วยของท่านสว.ต้องรีบแปลให้ฝ่ายที่ขวางหน้าฟังอีก “แม้แต่วาว่า ก็แปลงไอ้ปิศาจร้ายนั่น เป็นเจ้าชายไม่ได้แน่ๆ” พระองค์ยอมเสียมรรยาท ถึงกับเอ่ยชื่อวานรินทร์ แบบที่ใช้เรียกหากันในหมู่คนสนิท
จเรนทรมองตาคนที่จะมาแปลงโฉมให้ตน ฝ่ายนั้นรี่เดินเข้าไปหาเจ้าชายและวุฒิสมาชิกสมเกียรติ พูดอะไรเบาๆ อย่างเร็วๆ ...แปลงร่างปิศาจให้เป็นเจ้าชายงั้นหรือ... เขาคิด
“คุณนี่เก่งนะ รู้จักทำให้งานปาร์ตี้ครึกครื้นได้เสมอเลยนะ ไอ้หนุ่มน้อย”
พอจเรนทรหันกลับมา ก็เห็นนายพลปกพฤกษ์ ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เขาต้องรีบทำวันทยาหัตถ์ทันที “เลิกทำอะไรมุทะลุแบบนี้เสียทีนะ ผู้กอง” นายพลบอก “คุณตะเบ๊ะเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ เอาน่ะ... กับผม คุณแค่คำนับก็พอ”
นอกจากเส้นผมสีเทาของนายพลเอกที่แทบจะกลายเป็นสีขาวไปหมดแล้ว ชายสูงอายุผู้นี้ยังดูแข็งแรง และมีสุขภาพดีทุกประการ จเรนทรรู้ว่า ‘บิ๊กปก’ ซึ่งเป็นอดีตรบพิเศษคนหนึ่ง ยังคงฝึกฝนความแข็งแรงของร่างกาย วันละหนึ่งชั่วโมงสม่ำเสมอ ทั้งที่ความจริงแล้วท่านยังต้องพึ่งไม้เท้าช่วยพยุงเดิน
ตั้งแต่ที่จเรนทรเห็นบิ๊กปกเป็นครั้งแรก ก็ได้รู้ว่าขาซ้ายท่านตั้งแต่ใต้เข่าลงไป มันเป็นของเทียม ที่ระลึกจากสมรภูมิบ้านร่มเกล้าเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
มือของบิ๊กปกที่สัมผัสกับนายร้อยหนุ่มนั้นแข็งแรงและมั่นคง ท่านใช้มืออีกข้างตบไหล่รบพิเศษรุ่นลูกแรงๆ
“ปีกว่าแล้วสินะ แต่คุณก็ยังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว” นายพลปกพฤกษ์ ประกาศออกมาดังๆ หลังกวาดตาดูชายหนุ่มทั่วทั้งตัว แต่ก็ทำจมูย่นพูดว่า “รวมทั้งไอ้ที่คุณสวมอยู่นี่ด้วย มันยังไงกัน! พวกเขาลากคุณขึ้นมาจากโรงงานหมักน้ำปลาหรือยังไง”
“ผมได้พักร้อนครับ” จเรนทรบอกพลางยักไหล่ “กับเรื่องกลิ่น ผมกำลังช่วยจ่าน้ำเงินลากฉนากยักษ์ขึ้นมา ตอนที่ลังเหยื่อตกปลามันหกคะเมนใส่ผม แล้วไอ้หนุ่มพลขับบนแบล็ค ฮอว์ก พวกนั้นก็ไม่ยอมให้ผมแวะอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ก็... นั่นสินะ” ดวงตาสีจางของนายพลหรี่ลงนิดหนึ่ง “ก็พวกเราอยากได้ตัวคุณมาที่นี่เร็วๆ นี้หมายถึงถ้าคุณยังไม่ได้ตระหนักเรื่องนี้น่ะนะ”
“ครับ ผมก็คิดว่างั้น” จเรนทรพูดพลางยกมือกอดอก “ผมเดาว่า คงถูกลากตัวมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเขาอีก” ระหว่างพูดก็พยักเพยิดไปทางเจ้าชายนาธีครา ที่ยังคงรับสั่งกับสว.สมเกียรติและวานรินทร์ ทั้งหมดกำลังเคร่งเครียดจริงจัง
“หรือ... มันมีอะไรที่ผมรู้สึกว่า คุณไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ กับการต้องช่วยเหลือเจ้าชายนาธีครา” บิ๊กปกออกความเห็น
“ถูกเผงเลยครับท่าน” จเรนทรบอก แล้วเสริมต่อไปว่า “ท่านครับ เจ้าบ้านั่นเกือบทำให้สฤษดิ์ตาย เรากำลังถอยออกจากเกาะนั่น โดยมีพวกมันทั้งกองไล่ตามมาติดๆ ไอ้หริดถูกยิงเข้าอย่างจัง ไอ้หนูนั่นเลือดออกมากจนเกือบหมดตัว แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ในความรู้สึกของมันก็คือ ขาข้างหนึ่งมันแย่จนแทบใช้การไม่ได้ ถึงวันนี้ยังต้องนั่งรถเข็น และมันยังพยายามเหลือเกินที่จะลุกขึ้นยืนเองให้ได้”
นายพลปกพฤกษ์ยืนฟังเงียบๆ ปล่อยให้หัวหน้าทีมสายฟ้าเล่าเรื่องต่อไป
“พอเราไปถึงจุดนัดพบ ที่อีกด้านของเกาะ พ่อเจ้าประคุณเจ้าชายรูปหล่อก็ดันไม่ยอมขึ้นเฮลิคอปเตอร์เอาดื้อๆ จนพวกผมต้องจับโยนขึ้นไป ถึงนั่นจะทำให้เราช้าไปแค่ครึ่งนาทีก็จริง แต่ก็มากเกินจะทำให้เราตกอยู่ในวิถีกระสุนของพวกก่อการร้าย...
“ตอนนั้นละ ที่ไอ้หริดถูกยิง ทั้งหมดก็เพราะไอ้เจ้าชายบ้าๆ นั่นไม่ยอมขึ้นเครื่อง มันอ้างว่า ไม่หรูหราสมพระเกียรติยศบ้าบอของมัน ทำให้เกือบทุกคนต้องตาย!”
จเรนทรหยุดพูด มองหน้านายพลเอก “เชิญตำหนิผมได้เลยครับท่าน” เขาเสริม “แต่ผมขอเตือนไว้สักนิด... ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็ตาม ไม่มีวันที่ผมจะใจอ่อนยอมช่วยเหลือเจ้าเลื้อยคลานนั่นอย่างเด็ดขาด”
“ผม... ไม่แน่ใจในข้อนั้นอยู่เหมือนกันผู้กอง” นายพลปกพฤกษ์พูดอย่างใช้ความคิด แล้วยกมือขึ้นลูบปลายคางไปมา
จเรนทรขมวดคิ้ว “ทำไมหรือครับ”
“วันนี้น่ะ คุณอ่านหนังสือพิมพ์บ้างหรือเปล่า” นายพลอาวุโสถาม
คนถูกถามมองหน้าอีกฝ่ายอยู่เป็นนาที “ท่าน... กำลังล้อผมเล่นใช่ไหม”
“ก็ แค่ถามเฉยๆ”
“ท่านครับ เมื่อบ่าย ผมถูกลากตัวขึ้นฮ. เปลี่ยนมาบินด้วยเครื่องขนส่ง ก่อนจะขึ้นรถจิ๊ป ทั้งหมดนั่นไม่มีบริการด้านบันเทิงที่ทำให้ผมรู้เรื่องข่าวประเภทเรื่องเด่นเย็นนี้เลย” จเรนทรว่า “ปั้ดโถ่! ที่จริงยิ่งกว่านั้นก็คือ... ในช่วงสี่สิบแปดชั่วโมที่ผ่านมานี่ ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เลยสักตัว”
“เมื่อเช้า มีการพยายามลอบปลงพระชนม์เจ้าชายนาธีครา”
อะฮ่ะ!... คราวนี้ทุกอย่างค่อยฟังรู้เรื่องขึ้นหน่อย จเรนทรพยักหน้า “ผมชักได้กลิ่นว่าตัวเองเหมือนเหยื่อล่อขึ้นมาแล้วสิ เป็นเหยื่อที่เหมาะเจาะซะด้วย”
นายพลปกพฤกษ์หัวเราะหึๆ “คุณนี่ปากเก่งจริงๆ ผู้กองจเรนทร”
“แล้ว ตกลงว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไปครับ” ชายหนุ่มถามอีก “ผมต้องเข้าไปแทรกตรงไหน ที่บรูนาดารูส หรือว่าเราต้องไปที่เกาะกบดานผู้ก่อการร้ายนั่นอีกหน”
‘แทรก’ เป็นศัพท์ปฏิบัติการเฉพาะสำหรับการเข้าไปดำเนินการ... ไม่ว่าจะด้วยวิธีการลักลอบหรือบีบบังคับ... เพื่อให้ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ...
นายพลเอกอาวุโสทรุดกายลงนั่งบนที่เท้าแขนโซฟา “คุณเข้ามาแทรกเรียบร้อยแล้ว ผู้กอง” เขาบอก “เราต้องการคุณที่กรุงเทพนี่แหละ... สำหรับตอนนี้น่ะนะ นั่นหมายถึงว่า ถ้าหากผมสามารถโน้มน้าวให้คุณอาสาเข้ามาทำงานนี้ได้สำเร็จ”
แล้วท่านก็สรุปคร่าวๆ ให้จเรนทรฟัง ถึงแผนการที่จะทำให้ผู้กองหนุ่มปลอมตัวเป็นเจ้าชาย ตลอดระยะเวลาการเสด็จเยือนประเทศไทย... หรืออย่างน้อย ก็จนกว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจะลงมือลอบสังหารอีกครั้ง แล้ว...ถูกจับได้
“ขอผมทำความเข้าใจหน่อยนะครับ” จเรนทรจำเป็นต้องแย้ง พร้อมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไร้พนักอีกตัว “ผมจะต้องแต่งตัวให้เป็นเจ้าชายรัชทายาท... ซึ่ง... หมายความว่า ผมกำลังวาดเป้าหมายกลมๆ ใหญ่ๆ ไว้กลางแสกหน้า... ถูกไหมครับ
“และผมต้องทำสิ่งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีน้ำมันใช้เพิ่มขึ้น งั้นรึ!... ท่านต้องมีเหตุผลที่ดีกว่านี้แล้วละ และกรุณาอย่าพูดถึงเรื่องการติดตามคุ้มครองเจ้าชายนั่นนะ เพราะผมไม่สนแม้แต่นิดเดียวว่า เจ้านั่นจะมีชีวิตอยู่ นานพอจะได้กินมื้อเช้าพรุ่งนี้หรือไม่”
นายพลปกพฤกษ์มองเลยไปยังฟากตรงข้ามของห้อง ทำให้จเรนทรเหลียวตามไปบ้าง วานรินทร์กำลังพยักหน้ารับสิ่งที่เจ้าชายนาธีครารับสั่ง สีหน้าหนุ่มร่างโปร่งบางเคร่งขรึม ...ผมสวย เป็นน้ำตาลเข้มอมสีทองแดง... ความหยักศกนั่น น่าขยำเล่นเหลือเกิน...
“ผมคิดว่า การได้ทำงานกับพ่อหนุ่มน้อยวานรินทร์ ก็ไม่น่าเป็นแรงดึงดูดใจสินะ” นายพลพูดลอยๆ “ผมมีโอกาสได้พบหนุ่มน้อยนั่นเหมือนกัน เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจมากทีเดียว มีอารมณ์ขันลึกๆ นะ แม้จะมองออกว่าตอนอยู่ต่อหน้าผม เขาต้องเก็บอาการเอาไว้มาก แต่จะเป็นไรไปล่ะ เราก็คนเท่ากันทั้งนั้น”
จเรนทรส่ายหน้า “นั่นผู้ชาย ผมไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องผู้ชายด้วยกันอยู่แล้ว” เขาพูดอย่างไม่แยแส
“เมียผมก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบเหมือนกันนะ ตอนที่เจอกันครั้งแรก” นายพลบอก คล้ายอยากจะหัวเราะออกมา
จเรนทรลุกขึ้นยืน “ขอประทานโทษครับ... ถ้าท่านทำได้ดีที่สุดเท่านี้ ผมขอกลับดีกว่า”
“ได้โปรดเถอะผู้กอง” นายพลปกพฤกษ์เอ่ยเบาๆ แล้ววางมือลงบนท่อนแขนร้อยเอกหนุ่ม “ผมกำลังขอความเห็นใจจากคุณเป็นการส่วนตัว ช่วยผมหน่อย เรื่องนี้มีคุณคนเดียว...” นายพลเอกอาวุโสก้มหน้ามองพื้น เมื่อเงยหน้าอีกครั้ง นัยน์ตาสีจางของท่านก็แข็งกร้าวขึ้น “จำเรื่องการระเบิดรถยนต์บรรทุกทหารเต็มคันที่ยะลาได้ไหม เมื่อสี่ปีก่อนน่ะ”
จเรนทรพยักรับเงียบๆ จำได้สิ ลูกชายวัยยี่สิบเอ็ดปีของนายพลปกพฤกษ์อยู่ในกลุ่มพลทหารที่ถูกระเบิดตายหมู่ในครั้งนั้นด้วย ระเบิดที่ลอบวางโดยผู้ก่อการร้ายที่เรียกตัวเองว่า คณะสหายรัฐอิสระ
“แหล่งข่าวของผมแจ้งว่า ผู้ที่ลั่นไกปืนหวังลอบปลงพระชนม์เจ้าชายนาธีครา เป็นกลุ่มเดียวกับพวกผู้ก่อการร้ายที่ลอบวางระเบิดครั้งนั้น” นายพลบอกด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “มันคือสหายรัฐอิสระ ผมต้องการพวกมัน ด้วยความช่วยเหลือของคุณ... จะทำให้ผมได้ตัวพวกมัน แต่ถ้าคุณไม่ช่วย...” ชายชราส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
จเรนทรพยักหน้ารับ “อย่างนั้นก็ตกลงครับท่าน ผมยินดี อาสาทำงานนี้ เพื่อท่าน!”
(มีต่อ)
นิยาย : เจ้าชายในฝัน (ํY-story) : บทที่ 5
แต่เท่าที่เขียนไปได้พอสมควร บอกกับตัวเองได้ว่า นี้ละคือแนววายที่อยากเขียน อยากนำเสนออะไรจริงๆ ของความเป็นวาย
บนรูปแบบนิยายที่มีเรื่องราว นอกเหนือจากฉากรักรัดรึงเพียงแค่นั้น
ขอบคุณคุณจีทีดับเบิ้ลยูที่ติดตามให้กำลังใจ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน ไม่ว่าท่านจะตะขิดตะขวงใจแค่ไหน
กับการที่ว่าทำไมวายเรื่องนี้ มันไม่ได้จิ๊จ๊ะป๊ะโท่นโทนกันซะที
ขอบคุณจากใจค่ะ
**************
บทก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
************
เจ้าชายในฝัน บทที่ 5
แม้หลายคนฟังไม่ออก แต่ก็ต้องตื่นตระหนกกับปฏิกิริยาเช่นนั้นของเจ้าชายนาธีครา... ผู้ช่วยของท่านสมเกียรติที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งของห้อง รีบแปลจากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาไทย เร็วปรื๋อ ที่ริมหูของผู้เป็นประธานกรรมการต้อนรับ
เจ้าชายทรงส่งเสียงอุทานด้วยความรังเกียจออกมาอีกคำ แล้วดำเนินอย่างผึ่งผายไปที่ประตู สิ่งที่พระองค์จะนำออกไปด้วยคือ ความหวังว่าจะได้ซื้อน้ำมันราคาถูกของท่านสมเกียรติ และความฝันของเจ้าหญิงวรายาถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศตน
ทว่าท่านสว.ก็เร็วพอที่จะรีบขยับไป ขวางหน้าเจ้าชายรัชทายาทแห่งบรูนาดารูสไว้ได้ก่อนพระองค์จะถึงประตู
“ใต้ฝ่าพระบาท...” สว.สมเกียรติพูด เสียงอ่อนๆ คล้ายจะอ้อนๆ เพื่อเอาพระทัย “ถ้าหากใต้ฝ่าพระบาททรงคิดถึงทุนสำหรับการขุดเจาะน้ำมัน...”
“นายนั่นมันบ้า มันเป็นปิศาจชัดๆ!” เจ้าชายประกาศเสียงดังเป็นภาษาฝรั่งเศส ผู้ช่วยของท่านสว.ต้องรีบแปลให้ฝ่ายที่ขวางหน้าฟังอีก “แม้แต่วาว่า ก็แปลงไอ้ปิศาจร้ายนั่น เป็นเจ้าชายไม่ได้แน่ๆ” พระองค์ยอมเสียมรรยาท ถึงกับเอ่ยชื่อวานรินทร์ แบบที่ใช้เรียกหากันในหมู่คนสนิท
จเรนทรมองตาคนที่จะมาแปลงโฉมให้ตน ฝ่ายนั้นรี่เดินเข้าไปหาเจ้าชายและวุฒิสมาชิกสมเกียรติ พูดอะไรเบาๆ อย่างเร็วๆ ...แปลงร่างปิศาจให้เป็นเจ้าชายงั้นหรือ... เขาคิด
“คุณนี่เก่งนะ รู้จักทำให้งานปาร์ตี้ครึกครื้นได้เสมอเลยนะ ไอ้หนุ่มน้อย”
พอจเรนทรหันกลับมา ก็เห็นนายพลปกพฤกษ์ ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ เขาต้องรีบทำวันทยาหัตถ์ทันที “เลิกทำอะไรมุทะลุแบบนี้เสียทีนะ ผู้กอง” นายพลบอก “คุณตะเบ๊ะเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ เอาน่ะ... กับผม คุณแค่คำนับก็พอ”
นอกจากเส้นผมสีเทาของนายพลเอกที่แทบจะกลายเป็นสีขาวไปหมดแล้ว ชายสูงอายุผู้นี้ยังดูแข็งแรง และมีสุขภาพดีทุกประการ จเรนทรรู้ว่า ‘บิ๊กปก’ ซึ่งเป็นอดีตรบพิเศษคนหนึ่ง ยังคงฝึกฝนความแข็งแรงของร่างกาย วันละหนึ่งชั่วโมงสม่ำเสมอ ทั้งที่ความจริงแล้วท่านยังต้องพึ่งไม้เท้าช่วยพยุงเดิน
ตั้งแต่ที่จเรนทรเห็นบิ๊กปกเป็นครั้งแรก ก็ได้รู้ว่าขาซ้ายท่านตั้งแต่ใต้เข่าลงไป มันเป็นของเทียม ที่ระลึกจากสมรภูมิบ้านร่มเกล้าเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
มือของบิ๊กปกที่สัมผัสกับนายร้อยหนุ่มนั้นแข็งแรงและมั่นคง ท่านใช้มืออีกข้างตบไหล่รบพิเศษรุ่นลูกแรงๆ
“ปีกว่าแล้วสินะ แต่คุณก็ยังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว” นายพลปกพฤกษ์ ประกาศออกมาดังๆ หลังกวาดตาดูชายหนุ่มทั่วทั้งตัว แต่ก็ทำจมูย่นพูดว่า “รวมทั้งไอ้ที่คุณสวมอยู่นี่ด้วย มันยังไงกัน! พวกเขาลากคุณขึ้นมาจากโรงงานหมักน้ำปลาหรือยังไง”
“ผมได้พักร้อนครับ” จเรนทรบอกพลางยักไหล่ “กับเรื่องกลิ่น ผมกำลังช่วยจ่าน้ำเงินลากฉนากยักษ์ขึ้นมา ตอนที่ลังเหยื่อตกปลามันหกคะเมนใส่ผม แล้วไอ้หนุ่มพลขับบนแบล็ค ฮอว์ก พวกนั้นก็ไม่ยอมให้ผมแวะอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า”
“ก็... นั่นสินะ” ดวงตาสีจางของนายพลหรี่ลงนิดหนึ่ง “ก็พวกเราอยากได้ตัวคุณมาที่นี่เร็วๆ นี้หมายถึงถ้าคุณยังไม่ได้ตระหนักเรื่องนี้น่ะนะ”
“ครับ ผมก็คิดว่างั้น” จเรนทรพูดพลางยกมือกอดอก “ผมเดาว่า คงถูกลากตัวมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือเขาอีก” ระหว่างพูดก็พยักเพยิดไปทางเจ้าชายนาธีครา ที่ยังคงรับสั่งกับสว.สมเกียรติและวานรินทร์ ทั้งหมดกำลังเคร่งเครียดจริงจัง
“หรือ... มันมีอะไรที่ผมรู้สึกว่า คุณไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ กับการต้องช่วยเหลือเจ้าชายนาธีครา” บิ๊กปกออกความเห็น
“ถูกเผงเลยครับท่าน” จเรนทรบอก แล้วเสริมต่อไปว่า “ท่านครับ เจ้าบ้านั่นเกือบทำให้สฤษดิ์ตาย เรากำลังถอยออกจากเกาะนั่น โดยมีพวกมันทั้งกองไล่ตามมาติดๆ ไอ้หริดถูกยิงเข้าอย่างจัง ไอ้หนูนั่นเลือดออกมากจนเกือบหมดตัว แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้น ในความรู้สึกของมันก็คือ ขาข้างหนึ่งมันแย่จนแทบใช้การไม่ได้ ถึงวันนี้ยังต้องนั่งรถเข็น และมันยังพยายามเหลือเกินที่จะลุกขึ้นยืนเองให้ได้”
นายพลปกพฤกษ์ยืนฟังเงียบๆ ปล่อยให้หัวหน้าทีมสายฟ้าเล่าเรื่องต่อไป
“พอเราไปถึงจุดนัดพบ ที่อีกด้านของเกาะ พ่อเจ้าประคุณเจ้าชายรูปหล่อก็ดันไม่ยอมขึ้นเฮลิคอปเตอร์เอาดื้อๆ จนพวกผมต้องจับโยนขึ้นไป ถึงนั่นจะทำให้เราช้าไปแค่ครึ่งนาทีก็จริง แต่ก็มากเกินจะทำให้เราตกอยู่ในวิถีกระสุนของพวกก่อการร้าย...
“ตอนนั้นละ ที่ไอ้หริดถูกยิง ทั้งหมดก็เพราะไอ้เจ้าชายบ้าๆ นั่นไม่ยอมขึ้นเครื่อง มันอ้างว่า ไม่หรูหราสมพระเกียรติยศบ้าบอของมัน ทำให้เกือบทุกคนต้องตาย!”
จเรนทรหยุดพูด มองหน้านายพลเอก “เชิญตำหนิผมได้เลยครับท่าน” เขาเสริม “แต่ผมขอเตือนไว้สักนิด... ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรก็ตาม ไม่มีวันที่ผมจะใจอ่อนยอมช่วยเหลือเจ้าเลื้อยคลานนั่นอย่างเด็ดขาด”
“ผม... ไม่แน่ใจในข้อนั้นอยู่เหมือนกันผู้กอง” นายพลปกพฤกษ์พูดอย่างใช้ความคิด แล้วยกมือขึ้นลูบปลายคางไปมา
จเรนทรขมวดคิ้ว “ทำไมหรือครับ”
“วันนี้น่ะ คุณอ่านหนังสือพิมพ์บ้างหรือเปล่า” นายพลอาวุโสถาม
คนถูกถามมองหน้าอีกฝ่ายอยู่เป็นนาที “ท่าน... กำลังล้อผมเล่นใช่ไหม”
“ก็ แค่ถามเฉยๆ”
“ท่านครับ เมื่อบ่าย ผมถูกลากตัวขึ้นฮ. เปลี่ยนมาบินด้วยเครื่องขนส่ง ก่อนจะขึ้นรถจิ๊ป ทั้งหมดนั่นไม่มีบริการด้านบันเทิงที่ทำให้ผมรู้เรื่องข่าวประเภทเรื่องเด่นเย็นนี้เลย” จเรนทรว่า “ปั้ดโถ่! ที่จริงยิ่งกว่านั้นก็คือ... ในช่วงสี่สิบแปดชั่วโมที่ผ่านมานี่ ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เลยสักตัว”
“เมื่อเช้า มีการพยายามลอบปลงพระชนม์เจ้าชายนาธีครา”
อะฮ่ะ!... คราวนี้ทุกอย่างค่อยฟังรู้เรื่องขึ้นหน่อย จเรนทรพยักหน้า “ผมชักได้กลิ่นว่าตัวเองเหมือนเหยื่อล่อขึ้นมาแล้วสิ เป็นเหยื่อที่เหมาะเจาะซะด้วย”
นายพลปกพฤกษ์หัวเราะหึๆ “คุณนี่ปากเก่งจริงๆ ผู้กองจเรนทร”
“แล้ว ตกลงว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อไปครับ” ชายหนุ่มถามอีก “ผมต้องเข้าไปแทรกตรงไหน ที่บรูนาดารูส หรือว่าเราต้องไปที่เกาะกบดานผู้ก่อการร้ายนั่นอีกหน”
‘แทรก’ เป็นศัพท์ปฏิบัติการเฉพาะสำหรับการเข้าไปดำเนินการ... ไม่ว่าจะด้วยวิธีการลักลอบหรือบีบบังคับ... เพื่อให้ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ...
นายพลเอกอาวุโสทรุดกายลงนั่งบนที่เท้าแขนโซฟา “คุณเข้ามาแทรกเรียบร้อยแล้ว ผู้กอง” เขาบอก “เราต้องการคุณที่กรุงเทพนี่แหละ... สำหรับตอนนี้น่ะนะ นั่นหมายถึงว่า ถ้าหากผมสามารถโน้มน้าวให้คุณอาสาเข้ามาทำงานนี้ได้สำเร็จ”
แล้วท่านก็สรุปคร่าวๆ ให้จเรนทรฟัง ถึงแผนการที่จะทำให้ผู้กองหนุ่มปลอมตัวเป็นเจ้าชาย ตลอดระยะเวลาการเสด็จเยือนประเทศไทย... หรืออย่างน้อย ก็จนกว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจะลงมือลอบสังหารอีกครั้ง แล้ว...ถูกจับได้
“ขอผมทำความเข้าใจหน่อยนะครับ” จเรนทรจำเป็นต้องแย้ง พร้อมทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไร้พนักอีกตัว “ผมจะต้องแต่งตัวให้เป็นเจ้าชายรัชทายาท... ซึ่ง... หมายความว่า ผมกำลังวาดเป้าหมายกลมๆ ใหญ่ๆ ไว้กลางแสกหน้า... ถูกไหมครับ
“และผมต้องทำสิ่งนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีน้ำมันใช้เพิ่มขึ้น งั้นรึ!... ท่านต้องมีเหตุผลที่ดีกว่านี้แล้วละ และกรุณาอย่าพูดถึงเรื่องการติดตามคุ้มครองเจ้าชายนั่นนะ เพราะผมไม่สนแม้แต่นิดเดียวว่า เจ้านั่นจะมีชีวิตอยู่ นานพอจะได้กินมื้อเช้าพรุ่งนี้หรือไม่”
นายพลปกพฤกษ์มองเลยไปยังฟากตรงข้ามของห้อง ทำให้จเรนทรเหลียวตามไปบ้าง วานรินทร์กำลังพยักหน้ารับสิ่งที่เจ้าชายนาธีครารับสั่ง สีหน้าหนุ่มร่างโปร่งบางเคร่งขรึม ...ผมสวย เป็นน้ำตาลเข้มอมสีทองแดง... ความหยักศกนั่น น่าขยำเล่นเหลือเกิน...
“ผมคิดว่า การได้ทำงานกับพ่อหนุ่มน้อยวานรินทร์ ก็ไม่น่าเป็นแรงดึงดูดใจสินะ” นายพลพูดลอยๆ “ผมมีโอกาสได้พบหนุ่มน้อยนั่นเหมือนกัน เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน เป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจมากทีเดียว มีอารมณ์ขันลึกๆ นะ แม้จะมองออกว่าตอนอยู่ต่อหน้าผม เขาต้องเก็บอาการเอาไว้มาก แต่จะเป็นไรไปล่ะ เราก็คนเท่ากันทั้งนั้น”
จเรนทรส่ายหน้า “นั่นผู้ชาย ผมไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องผู้ชายด้วยกันอยู่แล้ว” เขาพูดอย่างไม่แยแส
“เมียผมก็ไม่ใช่แบบที่ผมชอบเหมือนกันนะ ตอนที่เจอกันครั้งแรก” นายพลบอก คล้ายอยากจะหัวเราะออกมา
จเรนทรลุกขึ้นยืน “ขอประทานโทษครับ... ถ้าท่านทำได้ดีที่สุดเท่านี้ ผมขอกลับดีกว่า”
“ได้โปรดเถอะผู้กอง” นายพลปกพฤกษ์เอ่ยเบาๆ แล้ววางมือลงบนท่อนแขนร้อยเอกหนุ่ม “ผมกำลังขอความเห็นใจจากคุณเป็นการส่วนตัว ช่วยผมหน่อย เรื่องนี้มีคุณคนเดียว...” นายพลเอกอาวุโสก้มหน้ามองพื้น เมื่อเงยหน้าอีกครั้ง นัยน์ตาสีจางของท่านก็แข็งกร้าวขึ้น “จำเรื่องการระเบิดรถยนต์บรรทุกทหารเต็มคันที่ยะลาได้ไหม เมื่อสี่ปีก่อนน่ะ”
จเรนทรพยักรับเงียบๆ จำได้สิ ลูกชายวัยยี่สิบเอ็ดปีของนายพลปกพฤกษ์อยู่ในกลุ่มพลทหารที่ถูกระเบิดตายหมู่ในครั้งนั้นด้วย ระเบิดที่ลอบวางโดยผู้ก่อการร้ายที่เรียกตัวเองว่า คณะสหายรัฐอิสระ
“แหล่งข่าวของผมแจ้งว่า ผู้ที่ลั่นไกปืนหวังลอบปลงพระชนม์เจ้าชายนาธีครา เป็นกลุ่มเดียวกับพวกผู้ก่อการร้ายที่ลอบวางระเบิดครั้งนั้น” นายพลบอกด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย “มันคือสหายรัฐอิสระ ผมต้องการพวกมัน ด้วยความช่วยเหลือของคุณ... จะทำให้ผมได้ตัวพวกมัน แต่ถ้าคุณไม่ช่วย...” ชายชราส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
จเรนทรพยักหน้ารับ “อย่างนั้นก็ตกลงครับท่าน ผมยินดี อาสาทำงานนี้ เพื่อท่าน!”
(มีต่อ)