เจ้าชายในฝัน บทที่ 2
เมื่อวานรินทร์เดินเข้ามาในห้องประชุมของโรงแรมที่ประทับ เขาก็รู้ว่าการประชุมครั้งนี้จะต้องยืดเยื้อยาวนานแน่นอน
ท่านสว.สมเกียรตินั่งอยู่ปลายโต๊ะด้านใกล้ ถอดเสื้อนอกออกแล้ว เนกไทก็ถูกรูดลงมาหลวมๆ แขนเสื้อม้วนขึ้นไปถึงศอก คนนั่งอยู่ติดกันคือท่าน นพปฎล สุขุมการ เอกอัครราชทูตไทยประจำบูรนาดารูส และ... รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทูตและอื่นๆ อีกหลายคนที่เขาไม่รู้จัก
มีชายในสูทสีดำยืนอยู่ที่หน้าประตูและข้างหน้าต่างเพื่อคอยเฝ้าระวังภัย เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่ถูกส่งมาจากกองปราบปรามของรัฐบาลไทย เพื่อคุ้มครองเจ้าชาย ทว่า... ทำไมคนเหล่านี้ถึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะปกติการอารักขา เป็นเรื่องของฝ่ายบูรนาดารูสจะต้องจัดการ
หรือว่าเจ้าชายยังตกอยู่ในอันตราย... แสดงว่าไอ้มือปืนนั่น รอดไปได้?
องค์รัชทายาทแห่งบูรนาดารูสประทับนั่งอยู่หัวโต๊ะด้านไกล แวดล้อมด้วยราชองครักษ์และที่ปรึกษานับสิบ มีแก้วเครื่องดื่มเย็นเฉียบ จัดวางอยู่หน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงลากพระดัชนีวาดลวดลายต่างๆ เล่น บนไอน้ำที่จับอยู่ข้างแก้ว
เมื่อวานรินทร์ก้าวเข้ามาในห้อง เจ้าชายทรงลุกขึ้นยืน ทำให้คนอื่นๆ พากันลุกตาม ไม่มีใครรู้ การให้เกียรติอย่างเป็นการเป็นงานเช่นนี้ ทรงกลั่นออกมาจากพระหทัย หรือเพียงแค่ความเคยชิน
“ใครช่วยหาเก้าอี้มาให้คุณวานรินทร์หน่อยสิ” เจ้าชายรับสั่งเสียงเข้ม แต่ก็ยังแปร่งๆ “เร็วเข้าสิ”
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วเลื่อนมันให้แก่เขา
“ขอบคุณครับ” คนเพิ่งเข้ามาใหม่ ยิ้มให้หนุ่มน้อยผู้นั้น
“นั่งลงสิ...” เจ้าชายสั่งอีก ด้วยใบหน้าเฉยชาราวแผ่นศิลา องค์เองก็ทรุดองค์ลงนั่งตามเดิม “ฉันมีความคิดอย่างหนึ่ง แต่คงทำไม่ได้ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือ”
วานรินทร์จ้องหน้าเจ้าชายนิ่ง... หลังจากเหตุการณ์ที่สนามบิน ที่เขากระแทกพระองค์จนล้มกลิ้งไปด้วยกันนั่นแล้ว เจ้าชายก็ถูกพาไปพ้นจากบริเวณที่เกิดเหตุทันที จากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินหรือได้เห็นพระองค์อีกเลย จนกระทั่งบัดนี้... แต่... ดูเหมือนเจ้าชายไม่คิดจะเสียเวลา กล่าวคำขอบใจเขาเลยสักนิด ที่ช่วยรักษาชีวิตพระองค์เอาไว้ได้
และตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า ทรงไม่คิดจะทำอย่างนั้นเลยจริงๆ ก็แต่ก็นั่นละ เขากำลังทำงานนี่นะ ดังนั้นก็เท่ากับว่า เป็นคนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้นเอง พระองค์ต้องคาดหวังให้เขาคอยป้องกันให้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นเลย ที่ต้องกล่าวขอบอกขอบใจกัน
แต่... วานรินทร์ย้ำกับตัวเอง เขาไม่ใช่คนรับใช้ อันที่จริงเขาอาจนับเป็นพระญาติได้ด้วยซ้ำ หลังจากเมื่อปีที่แล้ว พระขนิษฐาของเจ้าชาย ทรงสมรสกับวิชญาณ พี่ชายของเขา แต่กระนั้น เจ้าชายนาธีคราก็ยืนยันให้เขา เรียกพระองค์ว่า ‘ใต้ฝ่าพระบาท’ เหมือนเดิม
วานรินทร์นั่งลงแล้วดึงเก้าอี้ให้ชิดโต๊ะ พร้อมกับที่ทุกคนทยอยนั่งลงกับที่
“ฉันจะใช้ตัวแทน” เจ้าชายประกาศเสียงเด็ดขาด “เป็นคนไทย... เป็นความคิดของฉันเองที่จะให้เขาปลอมตัวเป็นฉัน จนจบสิ้นการเยือนในครั้งนี้ เพื่อ... ให้ตัวฉันแน่ใจว่าจะปลอดภัยไปจนจบภารกิจ”
วานรินทร์โน้มตัวไปข้างหน้านิดๆ อย่างลืมตัว “ใต้ฝ่าพระบาททรงหมายถึงอะไร?” เขาถามอย่างฉงน “โปรดอภัยในความสับสนของกระหม่อม แต่ใต้ฝ่าพระบาทยังไม่ปลอดภัยหรือพระเจ้าค่ะ” ที่ปรึกษาด้านการแสดงออกหันไปมองคนอื่น และหยุดลงที่ท่านสว.สมเกียรติ ประธานฝ่ายจัดการต้อนรับ “เรายังจับมือปืนไม่ได้หรือครับท่าน”
ท่านวุฒิสมาชิกมีท่าครุ่นคิดอยู่อีกอึดใหญ่ ก่อนตอบว่า “ผมเกรงว่าจะยังจับไม่ได้และ... กองปราบปรามก็เชื่อว่า ผู้ก่อการร้ายจะยังไม่ละความพยายาม ในการลอบปลงพระชนม์ ในระหว่างสองสามสัปดาห์ของการเสด็จเยือนครั้งนี้”
“ผู้ก่อการร้าย...” วานรินทร์ทวนคำ เบนสายตาจากสว.ไปทางท่านทูต ทางนั้นหลบสายตา เขาจึงกลับมามองที่เจ้าชายนาธีคราอีกครั้ง
“กองปราบรู้ตัวคนยิงแล้ว” วุฒิสมาชิกสมเกียรติเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เป็นมือสังหารที่มีชื่อเสียงในกลุ่มผู้ก่อการร้าย แถวคาบสมุทรอาหรับนั่นละ”
วานรินทร์ส่ายหน้า “แล้วทำไมพวกผู้ก่อการร้ายในอาหรับ ต้องการปลงพระชนม์เจ้าชายรัชทายาทจากบรูนาดารูสล่ะครับ”
ท่านทูตถอดแว่นตา ขยี้สองตาอย่างเหนื่อยล้า “มันเป็นไปได้ว่า เพื่อตอบโต้ที่บูรนาดารูสมาเสริมสัมพันธไมตรีกับไทย แทนที่จะไปทางนั้น”
“กองปราบแจ้งกับเราว่า พวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ไม่มีวันรามือง่ายๆ” สว.สมเกียรติเอ่ยแทรก “แม้ว่าจะมีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดแค่ไหน แต่ทางนั้นเชื่อว่าพวกมันต้องลงมืออีกหน ซึ่ง... เรากำลังหาทางออกสำหรับเรื่องนี้”
วานรินทร์หัวเราะ เขาห้ามเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ในเมื่อทางออกง่ายๆ ก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว “ก็... แค่ยกเลิกการเสด็จเยือน แค่นั้นเองนะครับ”
“เราทำอย่างนั้นไม่ได้” สว.สมเกียรติลากเสียง
วานรินทร์หันไปทางเจ้าชายนาธีคราอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ไม่ทรงรับสั่งอะไรนานๆ ในท่ามกลางวงประชุมที่กำลังถกเถียง แต่สีพระพักตร์ยังบอกชัดว่าไม่พอพระทัย กับเรื่องที่กำลังคุยกัน
“เราจะได้ผลประโยชน์มากมายจากการเสด็จเยือนครั้งนี้” สว.สมเกียรติอธิบาย “คุณก็รู้เท่ากับผม ว่าบรูนาดารูสต้องการร่วมทุนกับเรา เพื่อขุดน้ำมันปริมาณมหาศาลขึ้นมา” วุฒิสมาชิกร่างหนา เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เคาะปลายนิ้วกับโต๊ะไม้ “ตลาดน้ำมันโลกมันผันผวน ถ้าทางนี้ขุดขึ้นมาอีก ราคาน้ำมันอาจยิ่งตกต่ำ ทางโน้นเลยอาจไม่พอใจ...
“คือ... ถ้าจะพูดกันตรงๆ โพลล่าสุดก่อนเสด็จเยือน ความอยากช่วยเหลือบรูนาดารูสของทางฝั่งเรา แทบเป็นศูนย์... คือแทบไม่มีใครสนใจว่า บรูนาดารูสอยู่ตรงไหนของประเทศในภูมิภาคนี้ และคนที่รู้จักประเทศนี้ ก็ไม่อยากให้เราเอาเงินภาษีที่เขาจ่ายให้รัฐ ไปถลุงในความเสี่ยงไกลบ้านเกิดขนาดนั้น”
วานรินทร์พยักหน้า เขารู้เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึงดี เพราะมันเป็นเรื่องที่เจ้าหญิงวรายาทรงเป็นห่วงที่สุดก็ว่าได้
“นอกจากนี้” วุฒิสมาชิกล่าวต่อ “เราจะได้ใช้โอกาสนี้ รวบกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ และถ้าพวกมันเป็นกลุ่มที่เราจับตาไว้ตั้งแต่แรก ถ้าได้ตัว... เรื่องสามจังหวัดชายแดนใต้เราก็จะจัดการง่ายขึ้น”
“แต่... ถ้าหากเราแน่ใจว่า จะมีการพยายามลอบปลงพระชนม์อีกหน...” วานรินทร์หันไปทางเจ้าชายที่ยังประทับนิ่งอยู่หัวโต๊ะ “ใต้ฝ่าพระบาทจะทรงเอาองค์เองไปเสี่ยงได้ยังไงกันพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายนาธีครายกขาขึ้นไขว่ห้าง “ฉันไม่คิดจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม อันที่จริงฉันจะอยู่ที่นี่ ในกรุงเทพนี่แหละ แต่จะเก็บตัวในเซฟเฮ้าส์ จนกว่าอันตรายจะผ่านพ้นไป แต่... หมายกำหนดการเยือนจะยังคงต้องดำเนินต่อไป โดย... คนที่หน้าตาท่าทางเหมือนกับฉัน”
ตอนนี้เองที่ถ้อยรับสั่งตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามา ฟังดูเข้าท่า เพราะขยายความแล้วว่าทรงมีตัวแทน บางคนที่เหมือนพระองค์ ยังบอกด้วยซ้ำว่า คนคนนั้นเป็นคนไทย
“แล้ว... ผู้ชายคนนี้” สว.สมเกียรติทูลถาม “ชื่ออะไรหรือพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายยักไหล่เบาๆ ช้าๆ อย่างสง่างามเลยทีเดียว “ฉันจะไปจำได้ยังไงกัน... จ่าเลนๆ อะไรก็ไม่รู้ เขาเป็นทหารไทย นาวิกหรือรบพิเศษอะไรสักอย่าง”
“จ่าเลน... อะไรก็ไม่รู้...” สมเกียรติทวนคำ ลอบสบสายตากับเจ้าหน้าที่ทูตทางด้านซ้ายมืออย่างหงุดหงิด “จ่า... มีสักหมื่นคนละมั้ง แล้ว... คนอะไรจะชื่อเลนๆ โคลนๆ”
เอกอัครราชทูตที่นั่งอยู่ด้านขวามือของสว.สมเกียรติชะโงกหน้าเข้าใกล้เจ้าชาย “ใต้ฝ่าพระบาท...” เขาทูลถามอย่างใจเย็น “ทรงพบชายคนนี้เมื่อไร พระเจ้าข้า”
“เป็นหนึ่งในทหารที่เคยได้รับคำสั่ง ให้ไปช่วยพาฉันออกจากที่กบดานตอนถูกพวกแบ่งแยกดินแดนของคุณจับตัวไปไงล่ะ” เจ้าชายนาธีคราตอบเสียงเยือกเย็น
“งั้นก็พวกรบพิเศษ จากค่ายเอราวัณ” ท่านทูตกระซิบกับสว.สมเกียรติ จดจำภารกิจครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี “เราน่าจะตามหาตัวเขาได้ ถ้าผมจำไม่ผิด มีหน่วยทหารเจ็ดนายเพียงหน่วยเดียว ที่เข้าปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือในครั้งนั้น”
“รบพิเศษ...” วานรินทร์ทวนคำ พลางขยับนั่งตัวตรง แล้วโน้มกายมาข้างหน้าเหมือนคนอื่นๆ บ้าง “รบพิเศษคืออะไรครับ”
“ส่วนหนึ่งของมือดีที่สุดของเรา เป็นชุดปฏิบัติการพิเศษ ที่ถูกฝึกฝนเป็นพิเศษจากค่ายเอราวัณ ลพบุรี” วุฒิสมาชิกสมเกียรติตอบ “พวกเขาเป็นกองกำลังปฏิบัติการพิเศษที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กองกำลังที่ดีที่สุดในโลก สามารถลงมือทำงานที่ไหนก็ได้... ในทะเล กลางอากาศ หรือแม้แต่บนภาคพื้นดิน ก็นั่นละ ถึงเรียกว่าพวกรบพิเศษ สมกับสโลแกนของพวกนั้น... พลังเงียบ เฉียบขาด และ... การแสดงตัวเป็นเจ้าชาย เพื่อป้องกันตัวเองจากการลอบทำร้าย ต้องเป็นงานที่ง่ายมากสำหรับพวกเขา”
“แต่... ไอ้เจ้านั่น... เป็นคนกักขฬะต่ำชั้นสุดจะทน” เจ้าชายรับสั่งอย่างดูแคลน แล้วก็ทรงทำท่าเหมือนอยากจะปัดฝอยฝุ่นเล็กๆ ที่บังเอิญละล่องลอยผ่านสายพระเนตร ก่อนจ้องตรงๆ กลับมาที่วานรินทร์ “นั่นคือเหตุผล ที่คุณต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณจะต้องสอนนายจ่าเลนคนนี้ ให้ดูเสมือนและวางท่าทางได้แบบเจ้าชายที่มีตระกูล โดยเราจะเลื่อนหมายกำหนดการออกไปสัก...” ทรงขมวดขนง เมื่อหันไปมองวุฒิสมาชิกสมเกียรติ “...สักหนึ่งสัปดาห์ ใช่ไหมสมเกียรติ”
“สองหรือสามวันเป็นอย่างมากที่สุดแล้วพระเจ้าข้า” คนตอบทำหน้ายุ่ง “เราจะออกแถลงการณ์ว่า ฝ่าบาทประชวรด้วยไข้หวัด จะดึงความสนใจของนักข่าวไปที่แถลงการณ์เรื่องพระพลานามัย คือถ้าเราปล่อยให้เวลาผ่านไปเงียบๆ พวกนักข่าวจะเลิกตามข่าว เราทำอย่างนั้นไม่ได้ พระองค์จะต้องอยู่ในข่าวตลอดเวลาที่เสด็จเยือนครั้งนี้”
สองหรือสามวัน... แค่สองหรือสามวันที่จะแปลงโฉมทหารหน่วยรบพิเศษที่หยาบกระด้างคนหนึ่ง... ใครนะ... จ่าเลน จากรบพิเศษค่ายเอราวัณ ซึ่งจริงๆ แล้วหมายถึงอะไรก็ไม่รู้... ให้กลายเป็นราชนิกูล นี่มันเรื่องตลกชัดๆ ตกลงว่าใครกำลังล้อเล่นกันแน่เนี่ย... วานรินทร์เผลอเหลือบตามองบน และระบายลมหายใจยืดยาวขณะกำลังคิดดังนั้น
(มีต่อ)
นิยาย : เจ้าชายในฝัน : บทที่ 2
ขอบคุณหนึ่งโหวตนิรนามด้วยนะคะ
เจ้าชายในฝัน บทที่ผ่านมา
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เมื่อวานรินทร์เดินเข้ามาในห้องประชุมของโรงแรมที่ประทับ เขาก็รู้ว่าการประชุมครั้งนี้จะต้องยืดเยื้อยาวนานแน่นอน
ท่านสว.สมเกียรตินั่งอยู่ปลายโต๊ะด้านใกล้ ถอดเสื้อนอกออกแล้ว เนกไทก็ถูกรูดลงมาหลวมๆ แขนเสื้อม้วนขึ้นไปถึงศอก คนนั่งอยู่ติดกันคือท่าน นพปฎล สุขุมการ เอกอัครราชทูตไทยประจำบูรนาดารูส และ... รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทูตและอื่นๆ อีกหลายคนที่เขาไม่รู้จัก
มีชายในสูทสีดำยืนอยู่ที่หน้าประตูและข้างหน้าต่างเพื่อคอยเฝ้าระวังภัย เป็นตำรวจนอกเครื่องแบบ ที่ถูกส่งมาจากกองปราบปรามของรัฐบาลไทย เพื่อคุ้มครองเจ้าชาย ทว่า... ทำไมคนเหล่านี้ถึงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะปกติการอารักขา เป็นเรื่องของฝ่ายบูรนาดารูสจะต้องจัดการ
หรือว่าเจ้าชายยังตกอยู่ในอันตราย... แสดงว่าไอ้มือปืนนั่น รอดไปได้?
องค์รัชทายาทแห่งบูรนาดารูสประทับนั่งอยู่หัวโต๊ะด้านไกล แวดล้อมด้วยราชองครักษ์และที่ปรึกษานับสิบ มีแก้วเครื่องดื่มเย็นเฉียบ จัดวางอยู่หน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงลากพระดัชนีวาดลวดลายต่างๆ เล่น บนไอน้ำที่จับอยู่ข้างแก้ว
เมื่อวานรินทร์ก้าวเข้ามาในห้อง เจ้าชายทรงลุกขึ้นยืน ทำให้คนอื่นๆ พากันลุกตาม ไม่มีใครรู้ การให้เกียรติอย่างเป็นการเป็นงานเช่นนี้ ทรงกลั่นออกมาจากพระหทัย หรือเพียงแค่ความเคยชิน
“ใครช่วยหาเก้าอี้มาให้คุณวานรินทร์หน่อยสิ” เจ้าชายรับสั่งเสียงเข้ม แต่ก็ยังแปร่งๆ “เร็วเข้าสิ”
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ แล้วเลื่อนมันให้แก่เขา
“ขอบคุณครับ” คนเพิ่งเข้ามาใหม่ ยิ้มให้หนุ่มน้อยผู้นั้น
“นั่งลงสิ...” เจ้าชายสั่งอีก ด้วยใบหน้าเฉยชาราวแผ่นศิลา องค์เองก็ทรุดองค์ลงนั่งตามเดิม “ฉันมีความคิดอย่างหนึ่ง แต่คงทำไม่ได้ถ้าคุณไม่ให้ความร่วมมือ”
วานรินทร์จ้องหน้าเจ้าชายนิ่ง... หลังจากเหตุการณ์ที่สนามบิน ที่เขากระแทกพระองค์จนล้มกลิ้งไปด้วยกันนั่นแล้ว เจ้าชายก็ถูกพาไปพ้นจากบริเวณที่เกิดเหตุทันที จากนั้นเขาก็ไม่ได้ยินหรือได้เห็นพระองค์อีกเลย จนกระทั่งบัดนี้... แต่... ดูเหมือนเจ้าชายไม่คิดจะเสียเวลา กล่าวคำขอบใจเขาเลยสักนิด ที่ช่วยรักษาชีวิตพระองค์เอาไว้ได้
และตอนนี้ เห็นได้ชัดว่า ทรงไม่คิดจะทำอย่างนั้นเลยจริงๆ ก็แต่ก็นั่นละ เขากำลังทำงานนี่นะ ดังนั้นก็เท่ากับว่า เป็นคนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้นเอง พระองค์ต้องคาดหวังให้เขาคอยป้องกันให้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นเลย ที่ต้องกล่าวขอบอกขอบใจกัน
แต่... วานรินทร์ย้ำกับตัวเอง เขาไม่ใช่คนรับใช้ อันที่จริงเขาอาจนับเป็นพระญาติได้ด้วยซ้ำ หลังจากเมื่อปีที่แล้ว พระขนิษฐาของเจ้าชาย ทรงสมรสกับวิชญาณ พี่ชายของเขา แต่กระนั้น เจ้าชายนาธีคราก็ยืนยันให้เขา เรียกพระองค์ว่า ‘ใต้ฝ่าพระบาท’ เหมือนเดิม
วานรินทร์นั่งลงแล้วดึงเก้าอี้ให้ชิดโต๊ะ พร้อมกับที่ทุกคนทยอยนั่งลงกับที่
“ฉันจะใช้ตัวแทน” เจ้าชายประกาศเสียงเด็ดขาด “เป็นคนไทย... เป็นความคิดของฉันเองที่จะให้เขาปลอมตัวเป็นฉัน จนจบสิ้นการเยือนในครั้งนี้ เพื่อ... ให้ตัวฉันแน่ใจว่าจะปลอดภัยไปจนจบภารกิจ”
วานรินทร์โน้มตัวไปข้างหน้านิดๆ อย่างลืมตัว “ใต้ฝ่าพระบาททรงหมายถึงอะไร?” เขาถามอย่างฉงน “โปรดอภัยในความสับสนของกระหม่อม แต่ใต้ฝ่าพระบาทยังไม่ปลอดภัยหรือพระเจ้าค่ะ” ที่ปรึกษาด้านการแสดงออกหันไปมองคนอื่น และหยุดลงที่ท่านสว.สมเกียรติ ประธานฝ่ายจัดการต้อนรับ “เรายังจับมือปืนไม่ได้หรือครับท่าน”
ท่านวุฒิสมาชิกมีท่าครุ่นคิดอยู่อีกอึดใหญ่ ก่อนตอบว่า “ผมเกรงว่าจะยังจับไม่ได้และ... กองปราบปรามก็เชื่อว่า ผู้ก่อการร้ายจะยังไม่ละความพยายาม ในการลอบปลงพระชนม์ ในระหว่างสองสามสัปดาห์ของการเสด็จเยือนครั้งนี้”
“ผู้ก่อการร้าย...” วานรินทร์ทวนคำ เบนสายตาจากสว.ไปทางท่านทูต ทางนั้นหลบสายตา เขาจึงกลับมามองที่เจ้าชายนาธีคราอีกครั้ง
“กองปราบรู้ตัวคนยิงแล้ว” วุฒิสมาชิกสมเกียรติเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เป็นมือสังหารที่มีชื่อเสียงในกลุ่มผู้ก่อการร้าย แถวคาบสมุทรอาหรับนั่นละ”
วานรินทร์ส่ายหน้า “แล้วทำไมพวกผู้ก่อการร้ายในอาหรับ ต้องการปลงพระชนม์เจ้าชายรัชทายาทจากบรูนาดารูสล่ะครับ”
ท่านทูตถอดแว่นตา ขยี้สองตาอย่างเหนื่อยล้า “มันเป็นไปได้ว่า เพื่อตอบโต้ที่บูรนาดารูสมาเสริมสัมพันธไมตรีกับไทย แทนที่จะไปทางนั้น”
“กองปราบแจ้งกับเราว่า พวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ไม่มีวันรามือง่ายๆ” สว.สมเกียรติเอ่ยแทรก “แม้ว่าจะมีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดแค่ไหน แต่ทางนั้นเชื่อว่าพวกมันต้องลงมืออีกหน ซึ่ง... เรากำลังหาทางออกสำหรับเรื่องนี้”
วานรินทร์หัวเราะ เขาห้ามเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ไม่ได้จริงๆ ในเมื่อทางออกง่ายๆ ก็เห็นๆ กันอยู่แล้ว “ก็... แค่ยกเลิกการเสด็จเยือน แค่นั้นเองนะครับ”
“เราทำอย่างนั้นไม่ได้” สว.สมเกียรติลากเสียง
วานรินทร์หันไปทางเจ้าชายนาธีคราอีกครั้ง เป็นครั้งแรกที่ไม่ทรงรับสั่งอะไรนานๆ ในท่ามกลางวงประชุมที่กำลังถกเถียง แต่สีพระพักตร์ยังบอกชัดว่าไม่พอพระทัย กับเรื่องที่กำลังคุยกัน
“เราจะได้ผลประโยชน์มากมายจากการเสด็จเยือนครั้งนี้” สว.สมเกียรติอธิบาย “คุณก็รู้เท่ากับผม ว่าบรูนาดารูสต้องการร่วมทุนกับเรา เพื่อขุดน้ำมันปริมาณมหาศาลขึ้นมา” วุฒิสมาชิกร่างหนา เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เคาะปลายนิ้วกับโต๊ะไม้ “ตลาดน้ำมันโลกมันผันผวน ถ้าทางนี้ขุดขึ้นมาอีก ราคาน้ำมันอาจยิ่งตกต่ำ ทางโน้นเลยอาจไม่พอใจ...
“คือ... ถ้าจะพูดกันตรงๆ โพลล่าสุดก่อนเสด็จเยือน ความอยากช่วยเหลือบรูนาดารูสของทางฝั่งเรา แทบเป็นศูนย์... คือแทบไม่มีใครสนใจว่า บรูนาดารูสอยู่ตรงไหนของประเทศในภูมิภาคนี้ และคนที่รู้จักประเทศนี้ ก็ไม่อยากให้เราเอาเงินภาษีที่เขาจ่ายให้รัฐ ไปถลุงในความเสี่ยงไกลบ้านเกิดขนาดนั้น”
วานรินทร์พยักหน้า เขารู้เรื่องที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึงดี เพราะมันเป็นเรื่องที่เจ้าหญิงวรายาทรงเป็นห่วงที่สุดก็ว่าได้
“นอกจากนี้” วุฒิสมาชิกล่าวต่อ “เราจะได้ใช้โอกาสนี้ รวบกลุ่มผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ และถ้าพวกมันเป็นกลุ่มที่เราจับตาไว้ตั้งแต่แรก ถ้าได้ตัว... เรื่องสามจังหวัดชายแดนใต้เราก็จะจัดการง่ายขึ้น”
“แต่... ถ้าหากเราแน่ใจว่า จะมีการพยายามลอบปลงพระชนม์อีกหน...” วานรินทร์หันไปทางเจ้าชายที่ยังประทับนิ่งอยู่หัวโต๊ะ “ใต้ฝ่าพระบาทจะทรงเอาองค์เองไปเสี่ยงได้ยังไงกันพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายนาธีครายกขาขึ้นไขว่ห้าง “ฉันไม่คิดจะเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม อันที่จริงฉันจะอยู่ที่นี่ ในกรุงเทพนี่แหละ แต่จะเก็บตัวในเซฟเฮ้าส์ จนกว่าอันตรายจะผ่านพ้นไป แต่... หมายกำหนดการเยือนจะยังคงต้องดำเนินต่อไป โดย... คนที่หน้าตาท่าทางเหมือนกับฉัน”
ตอนนี้เองที่ถ้อยรับสั่งตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามา ฟังดูเข้าท่า เพราะขยายความแล้วว่าทรงมีตัวแทน บางคนที่เหมือนพระองค์ ยังบอกด้วยซ้ำว่า คนคนนั้นเป็นคนไทย
“แล้ว... ผู้ชายคนนี้” สว.สมเกียรติทูลถาม “ชื่ออะไรหรือพระเจ้าค่ะ”
เจ้าชายยักไหล่เบาๆ ช้าๆ อย่างสง่างามเลยทีเดียว “ฉันจะไปจำได้ยังไงกัน... จ่าเลนๆ อะไรก็ไม่รู้ เขาเป็นทหารไทย นาวิกหรือรบพิเศษอะไรสักอย่าง”
“จ่าเลน... อะไรก็ไม่รู้...” สมเกียรติทวนคำ ลอบสบสายตากับเจ้าหน้าที่ทูตทางด้านซ้ายมืออย่างหงุดหงิด “จ่า... มีสักหมื่นคนละมั้ง แล้ว... คนอะไรจะชื่อเลนๆ โคลนๆ”
เอกอัครราชทูตที่นั่งอยู่ด้านขวามือของสว.สมเกียรติชะโงกหน้าเข้าใกล้เจ้าชาย “ใต้ฝ่าพระบาท...” เขาทูลถามอย่างใจเย็น “ทรงพบชายคนนี้เมื่อไร พระเจ้าข้า”
“เป็นหนึ่งในทหารที่เคยได้รับคำสั่ง ให้ไปช่วยพาฉันออกจากที่กบดานตอนถูกพวกแบ่งแยกดินแดนของคุณจับตัวไปไงล่ะ” เจ้าชายนาธีคราตอบเสียงเยือกเย็น
“งั้นก็พวกรบพิเศษ จากค่ายเอราวัณ” ท่านทูตกระซิบกับสว.สมเกียรติ จดจำภารกิจครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี “เราน่าจะตามหาตัวเขาได้ ถ้าผมจำไม่ผิด มีหน่วยทหารเจ็ดนายเพียงหน่วยเดียว ที่เข้าปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือในครั้งนั้น”
“รบพิเศษ...” วานรินทร์ทวนคำ พลางขยับนั่งตัวตรง แล้วโน้มกายมาข้างหน้าเหมือนคนอื่นๆ บ้าง “รบพิเศษคืออะไรครับ”
“ส่วนหนึ่งของมือดีที่สุดของเรา เป็นชุดปฏิบัติการพิเศษ ที่ถูกฝึกฝนเป็นพิเศษจากค่ายเอราวัณ ลพบุรี” วุฒิสมาชิกสมเกียรติตอบ “พวกเขาเป็นกองกำลังปฏิบัติการพิเศษที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กองกำลังที่ดีที่สุดในโลก สามารถลงมือทำงานที่ไหนก็ได้... ในทะเล กลางอากาศ หรือแม้แต่บนภาคพื้นดิน ก็นั่นละ ถึงเรียกว่าพวกรบพิเศษ สมกับสโลแกนของพวกนั้น... พลังเงียบ เฉียบขาด และ... การแสดงตัวเป็นเจ้าชาย เพื่อป้องกันตัวเองจากการลอบทำร้าย ต้องเป็นงานที่ง่ายมากสำหรับพวกเขา”
“แต่... ไอ้เจ้านั่น... เป็นคนกักขฬะต่ำชั้นสุดจะทน” เจ้าชายรับสั่งอย่างดูแคลน แล้วก็ทรงทำท่าเหมือนอยากจะปัดฝอยฝุ่นเล็กๆ ที่บังเอิญละล่องลอยผ่านสายพระเนตร ก่อนจ้องตรงๆ กลับมาที่วานรินทร์ “นั่นคือเหตุผล ที่คุณต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง คุณจะต้องสอนนายจ่าเลนคนนี้ ให้ดูเสมือนและวางท่าทางได้แบบเจ้าชายที่มีตระกูล โดยเราจะเลื่อนหมายกำหนดการออกไปสัก...” ทรงขมวดขนง เมื่อหันไปมองวุฒิสมาชิกสมเกียรติ “...สักหนึ่งสัปดาห์ ใช่ไหมสมเกียรติ”
“สองหรือสามวันเป็นอย่างมากที่สุดแล้วพระเจ้าข้า” คนตอบทำหน้ายุ่ง “เราจะออกแถลงการณ์ว่า ฝ่าบาทประชวรด้วยไข้หวัด จะดึงความสนใจของนักข่าวไปที่แถลงการณ์เรื่องพระพลานามัย คือถ้าเราปล่อยให้เวลาผ่านไปเงียบๆ พวกนักข่าวจะเลิกตามข่าว เราทำอย่างนั้นไม่ได้ พระองค์จะต้องอยู่ในข่าวตลอดเวลาที่เสด็จเยือนครั้งนี้”
สองหรือสามวัน... แค่สองหรือสามวันที่จะแปลงโฉมทหารหน่วยรบพิเศษที่หยาบกระด้างคนหนึ่ง... ใครนะ... จ่าเลน จากรบพิเศษค่ายเอราวัณ ซึ่งจริงๆ แล้วหมายถึงอะไรก็ไม่รู้... ให้กลายเป็นราชนิกูล นี่มันเรื่องตลกชัดๆ ตกลงว่าใครกำลังล้อเล่นกันแน่เนี่ย... วานรินทร์เผลอเหลือบตามองบน และระบายลมหายใจยืดยาวขณะกำลังคิดดังนั้น
(มีต่อ)