สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
การเลิกจ้างมิใช่ว่านายจ้างยอมจ่ายเงินชดเชยตามกฎหมายและเงินบอกกล่าวล่วงหน้าก็จบๆกันไปนะครับ
การเลิกจ้างนั้น นายจ้างและผู้บริหารจะต้องทราบหลักกฎหมายในหลายมาตรา หลายฉบับ
1) พรบ.คุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะในมาตรา 17 , 118 , 119
2) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในหมวดของเรื่องการจ้างแรงงาน
3) หากบริษัทนั้นๆมีสหภาพแรงงาน ก็จำเป็นจะต้องรู้เรื่องพรบ.แรงงานสัมพันธ์
4) พรบ.จัดตั้งศาลฯ ในเรื่องของเขตอำนาจศาล การเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม
ดังนั้น การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างแล้วจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้าง และเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น เป็นเพียงการปฎิบัติตามพรบ.คุ้มครองแรงงานในมาตรา 17 และ 118 เพียงเท่านั้น แต่หาได้หลุดความรับผิดในทางแพ่งไม่ครับ การที่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างฟ้องเรียกค่าเสียหายจาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนั้น เป็นการใช้สิทธิทางประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่องของความเสียหาย ประกอบกับพรบ.จัดตั้งศาลแรงงาน ด้วยเรื่องของการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ประกอบกับเหตุผลในการเลิกจ้าง
ดังนั้น ต่อกระบวนการดังกล่าว รวมทั้งกรณีที่ท่านเจ้าของกระทู้ประสบอยู่นั้น สาระสำคัญของการตัดสินอยู่ที่ "เหตุผลในการเลิกจ้าง" ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ หากเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างเมีเหตุผล ก็ถือเป็นการเลิกจ้างอันเป็นธรรม ลูกจ้างได้เงินเท่าเดิมที่รับไปจากเงินชดเชย แต่หากเหตุผลแห่งการเลิกจ้างนั้น ไม่สมเหตุสมผล ก็ถือเป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม ลูกจ้างได้รับความเสียหาย ก็จะได้รับเงินเพิ่ม
ตัวอย่างดังกล่าวข้างต้น มีกรณีคำตัดสินศาลฎีกาออกมาหลายกรณีเช่น
- คำตัดสินศาลฎีกา หมายเลข 10217/2551 นายจ้างเลิกจ้างพนักงานประจำ แล้วจ้างพนักงานรับเหมาช่วงแทน ถึงแม้จ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎหมาย แต่ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการเลิกจ้าง เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้จ่ายค่าเสียหายแก่ลูกจ้างอีกต่อหนึ่ง
- คำตัดสินศาลฎีกา หมายเลข 8765-8766/2550 นายจ้างประาบภาวะเศรษฐกิจซบเซา แต่ยังไม่ถึงขั้นขาดทุน แม้เลิกจ้างลูกจ้างและจ่ายเงินชดเชยให้ตาม มาตรา 118 แล้ว แต่ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการเลิกจ้าง เป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม ให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้ลูกจ้าง
หลายๆท่านอ่านแล้วอาจจะมีความคิดว่า อ่าว...ทำไมล่ะ ทำไมนายจ้างไม่อยากจ้างพนักงาน ก็จ่ายเงินชดเชยหรือเงินบอกกล่าวล่วงหน้า ก็จบๆกันไปมิใช่หรือก็ต้องตอบว่า กรณีการเลิกจ้างนั้น กฎหมายให้ความคุ้มครองลูกจ้างในเรื่องการถูกกลั่นแกล้งด้วย มิเช่นนั้น นายจ้างซึ่งเป็นฝ่ายทุน มีเงินทุน นึกจะไม่ชอบหน้าใคร หรือไม่อยากได้ใคร ก็เพียงจ่ายเงินและเลิกจ้างเขาไปก็ได้ ซึ่งถือว่าไม่มีความเป็นธรรมในการเลิกจ้าง ดังนั้นแล้ว การเลิกจ้าง ต้องพิจารณาหลักใหญ่ใจความ 3 ประการคือ
1) การบอกกล่าวล่วงหน้า
2) การจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้าง
3) เหตุแห่งการเลิกจ้าง
หากทั้งสามประการนี้มีเหตุมีผล และบริหารจัดการตามจริง การเลิกจ้างก็จะไม่มีปัญหาครับ
สำหรับกรณีท่านเจ้าของกระทู้ หากคิดว่าการถูกเลิกจ้างนั้นเป็นการถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่เป็นธรรม ขอให้ท่านเข้าพบกับนิติกรแรงงานที่ศาลแรงงานเขตที่ท่านทำงานอยู่ครับ เพื่อให้นิติกรแรงงานประสานงานในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้ครับ
การเลิกจ้างนั้น นายจ้างและผู้บริหารจะต้องทราบหลักกฎหมายในหลายมาตรา หลายฉบับ
1) พรบ.คุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะในมาตรา 17 , 118 , 119
2) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในหมวดของเรื่องการจ้างแรงงาน
3) หากบริษัทนั้นๆมีสหภาพแรงงาน ก็จำเป็นจะต้องรู้เรื่องพรบ.แรงงานสัมพันธ์
4) พรบ.จัดตั้งศาลฯ ในเรื่องของเขตอำนาจศาล การเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม
ดังนั้น การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างแล้วจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้าง และเงินสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น เป็นเพียงการปฎิบัติตามพรบ.คุ้มครองแรงงานในมาตรา 17 และ 118 เพียงเท่านั้น แต่หาได้หลุดความรับผิดในทางแพ่งไม่ครับ การที่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างฟ้องเรียกค่าเสียหายจาการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมนั้น เป็นการใช้สิทธิทางประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยเรื่องของความเสียหาย ประกอบกับพรบ.จัดตั้งศาลแรงงาน ด้วยเรื่องของการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ประกอบกับเหตุผลในการเลิกจ้าง
ดังนั้น ต่อกระบวนการดังกล่าว รวมทั้งกรณีที่ท่านเจ้าของกระทู้ประสบอยู่นั้น สาระสำคัญของการตัดสินอยู่ที่ "เหตุผลในการเลิกจ้าง" ว่าสมเหตุสมผลหรือไม่ หากเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างเมีเหตุผล ก็ถือเป็นการเลิกจ้างอันเป็นธรรม ลูกจ้างได้เงินเท่าเดิมที่รับไปจากเงินชดเชย แต่หากเหตุผลแห่งการเลิกจ้างนั้น ไม่สมเหตุสมผล ก็ถือเป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม ลูกจ้างได้รับความเสียหาย ก็จะได้รับเงินเพิ่ม
ตัวอย่างดังกล่าวข้างต้น มีกรณีคำตัดสินศาลฎีกาออกมาหลายกรณีเช่น
- คำตัดสินศาลฎีกา หมายเลข 10217/2551 นายจ้างเลิกจ้างพนักงานประจำ แล้วจ้างพนักงานรับเหมาช่วงแทน ถึงแม้จ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎหมาย แต่ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการเลิกจ้าง เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้จ่ายค่าเสียหายแก่ลูกจ้างอีกต่อหนึ่ง
- คำตัดสินศาลฎีกา หมายเลข 8765-8766/2550 นายจ้างประาบภาวะเศรษฐกิจซบเซา แต่ยังไม่ถึงขั้นขาดทุน แม้เลิกจ้างลูกจ้างและจ่ายเงินชดเชยให้ตาม มาตรา 118 แล้ว แต่ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการเลิกจ้าง เป็นการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม ให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายให้ลูกจ้าง
หลายๆท่านอ่านแล้วอาจจะมีความคิดว่า อ่าว...ทำไมล่ะ ทำไมนายจ้างไม่อยากจ้างพนักงาน ก็จ่ายเงินชดเชยหรือเงินบอกกล่าวล่วงหน้า ก็จบๆกันไปมิใช่หรือก็ต้องตอบว่า กรณีการเลิกจ้างนั้น กฎหมายให้ความคุ้มครองลูกจ้างในเรื่องการถูกกลั่นแกล้งด้วย มิเช่นนั้น นายจ้างซึ่งเป็นฝ่ายทุน มีเงินทุน นึกจะไม่ชอบหน้าใคร หรือไม่อยากได้ใคร ก็เพียงจ่ายเงินและเลิกจ้างเขาไปก็ได้ ซึ่งถือว่าไม่มีความเป็นธรรมในการเลิกจ้าง ดังนั้นแล้ว การเลิกจ้าง ต้องพิจารณาหลักใหญ่ใจความ 3 ประการคือ
1) การบอกกล่าวล่วงหน้า
2) การจ่ายเงินชดเชยการเลิกจ้าง
3) เหตุแห่งการเลิกจ้าง
หากทั้งสามประการนี้มีเหตุมีผล และบริหารจัดการตามจริง การเลิกจ้างก็จะไม่มีปัญหาครับ
สำหรับกรณีท่านเจ้าของกระทู้ หากคิดว่าการถูกเลิกจ้างนั้นเป็นการถูกกลั่นแกล้ง หรือไม่เป็นธรรม ขอให้ท่านเข้าพบกับนิติกรแรงงานที่ศาลแรงงานเขตที่ท่านทำงานอยู่ครับ เพื่อให้นิติกรแรงงานประสานงานในการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โดนเลิกจ้าง อยากฟ้องกลับได้ไหม
ดิชั้นเพิ่งโดนเลิกจ้างเมื่อวาน เนื่องจากขัดคำสั่งนายจ้าง เมื่อวานโมโหเลยเซ็นต์หนังสือเลิกจ้างไปให้เรื่องจบๆ แต่พอวันนี้ตั้งสติได้แล้วอ่านหนังสือเลิกจ้างอีกที รู้สึกว่าชั้นไม่น่าจะผิดนะ มันเลิกจ้างกรูได้ไงฟระ แต่ทางบริษัทฯ ก็จ่ายค่าชดเชยมา 8+1 เดือนนะ เพราะไม่บอกล่วงหน้า เรียกมาไล่ออกเลย แต่เราอยากมีงานทำมากกว่า ไม่อยากโดนไล่ออก เพราะการหางานใหม่มันยากมาก ๆ และเรามีค่าใช้จ่ายที่ต้องผ่อนอีกเยอะแยะ เงินชดเชยแค่นี้แค่ประทังไปได้ไม่กี่เดือนหรอก เพราะค่าใช้จ่ายประจำเราเยะ ต้องผ่อนของเยอะแยะ (ก็ไม่รู้ตัวมาก่อนนี่นา)
ทีนี้อยากถามผู้รู้ว่า เราสามารถฟ้องกลับให้นายจ้างกลับมาจ้างเราทำงานได้ไหมคะ?? และเราเรียกร้องอะไรได้อีกไหมคะ
เรื่องมีอยู่ว่า ดิชั้นทำหน้าที่จัดงานสัมมนาใหักับบริษัทฯ (เป็นบริษัทต่างชาติ จ้างดิฉันโดยเซ็นต์สัญญาผ่านบริษัทเอ้าท์ซอทปีต่อปีติดต่อกันมาเป็นเวลา6ปีแล้ว) ครั้งนี้จัดงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยประกาศให้ลูกค้าทราบว่าหลังงานสัมมนาจะมีกิจกรรมสันทนาการชนิดหนึ่ง ซึ่งจะต้องจ้างวิทยากรมาทำการสอน และให้ลูกค้าทำการปฏิบัติจริง เป็นเวลา 1 ชั่วโมง เป็นเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้าง จะต้องทำการออกใบสั่งซื้อไปยังบริษัทตัวแทน และให้บริษัทตัวแทนทำการจ่ายเงินให้วิทยากรผู้รับจ้างจัดกิจกรรมสันทนาการ ดิชั้นได้ทำการเปิดพีโอก่อนหน้าวันสัมมนาเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เนื่องจากนายซึ่งเป็นคนยุโรปเพิ่งมารับตำแหน่ง ไม่เข้าใจ จึงมีคำถามมากมาย และให้ปรับเปลี่ยนหลายครั้ง จึงทำให้การอนุมัติล่าช้า (ได้พีโอก่อนวันสัมมนา1วัน) และบริษัทตัวแทนไม่สามารถจ่ายเงินได้ทัน ดิชั้นจึงส่งอีเมล์บอกนายว่า ถ้านายแอพพรูฟช้า เอเจ้นจะจ่ายเงินไม่ทันนะ เราคงต้องไปยืมเงินใครมาจ่าย นางก็ตอบเมล์ว่าอย่าจ่ายเงินสดนะ ดิชั้นตอบโอเค และให้เอเจ้นโทไปคุยกับวิทยากร ว่าช่วยมาทำงานให้เราก่อนและค่อยจ่ายเงินทีหลัง ตามที่นายแนะนำ เอเจ้นตอบว่าวิทยากรไม่ยอม ต้องจ่ายเงินก่อน ถ้าไม่จ่ายก่อนก็ต้องจ่ายหลังจากจบงาน ดิชั้นจึงโทรไปบอกวิทยากรว่าช่วยทำงานให้เราก่อนและคุณได้เงินหลังงานเสร็จแน่นอน วิทยากรจึงมาทำกิจกรรมให้จนเสร็จลูกค้าและทีมงานพอใจมากที่ได้ของติดมือกลับบ้านไป
หลังจากวันงาน ดิชั้นได้ปรึกษานายว่า เราจะมีทางแก้ปัญหายังไง ที่จะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก (คุยกันทางโทรศัพท์ ไม่แน่ใจว่ามีอัดเสียงรึป่ะ) นายถามว่าจ่ายเงินไปหรา ดิชั้นตอบใช่ แก้ไงดี ไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วเพราะที่ผ่านมาดิชั้นพยายามเปิดพีโอล่วงหน้า1เดือนทุกครั้ง เอเจ้นก็จ่ายได้ทัน มีครั้งนี้นาย(
หลังจากวันนั้น 1 อาทิตย์ ซึ่งมีงานใหญ่โต (อีกแล้ว) ของบริษัทที่โรงแรมอีกแห่งหนึ่งในวันศุกร์ ดิชั้นกังวลกับงานนี้มาก และเหนื่อยมากๆ และมันก็ผ่านพ้นมาถึงวันจันทร์ นายเรียกดิชั้นมาคุยในห้อง ดิชั้นชะงักเล็กน้อย เพราะในห้องมีHRและบริษัทเอ้าซอทที่เป็นตัวแทนจ้างดิชั้นมาด้วย (แอบดีใจเล็กๆ คิดว่าต้องได้โปรโมทแน่นอน เพราะทำงานหนักมาก ผลงานดี คนชมเพียบ) พอฟังนายพูดผ่านโทรศัพท์ เอ๊ะ ทำไมพูดเหมือนไล่ออกวะ งง HR เห็นดิชั้นงงงงจึงถามว่า เข้าใจไหมคะ ดิชั้นตอบ มันแปลว่าอะไรคะ แล้วทำไมถึงเลิกจ้างดิชั้น เค้าตอบว่าเพราะดิชั้นขัดคำสั่งนายจ้างซึ่งเตือนแล้วว่าอย่าทำ แต่ก็ยังทำ และทำการจ่ายเงินสดโดยไม่มีพีโอ (อันนี้ไม่จริงแน่นอนพีโอออกก่อนวันงานชัวร์ มั่นใจเพราะเป็นคนส่งให้เอเจันเอง) แต่เรื่องเงินสดเรายืมเพื่อนจ่ายจริง แต่ไม่มีหลักฐานนี่ว่าเรายืมเพื่อนไปจ่าย อีนายต่างชาติเอาอีเมล์ที่ดิชั้นเขียนไปบอกนางมาเป็นหลักฐานไล่ดิชั้นออก ดิชั้นปรี๊สแตกมาก ๆ น้ำตาไหลหูอื้อ เพราะเจ็บใจ (คนทำงานเหนื่อยชิหาย
พอวันนี้มันผ่านโหมดเสียสติมาแล้ว เลยไปเก็บของต่อ และเพิ่งเอาหนังสือเลิกจ้างกลับมาอ่านจริงๆจังๆ (เมื่อวานทิ้งทุกย่างไว้ออฟิศ หมดรมณ์) เห้ย พีโอก็ได้ก่อนงานนะ มีวันที่ระบุชัดเจน จ่ายเงินสดก็ไม่มีหลักฐานนะ มีแค่อีเมลที่ดิชั้นเขียนไปบอกมัน แล้วไมกูยอมเซ็นต์วะ นึกได้ละโมโหมากๆ ที่เราไม่มีสติ และเซ็นหนังสือเลิกจ้างไป
วานผู้รู้ช่วยตอบทีว่าเราจะทำยังไงได้มั่ง กลับมาทำงานอีกได้ไหม
ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ