สวัสดีค่ะ
ทีแรกจะเล่าในการตอบกระทู้นึง แต่คิดว่ามาตั้งใหม่น่าจะดีกว่า
ยาวนะคะ ขี้เกียจอ่านข้ามไปได้เลย ^^
.
เราสูง 165 เซนติเมตรค่ะ ตอนนี้หนัก 70-73 กิโลกรัม
ตอนช่วงที่(ยัง)สมส่วน น้ำหนักเราอยู่ที่ 58 กิโลกรัม อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ
58 จริงๆ มีเอว ไม่มีพุง มีแต่คนงงว่าทำไมตัวหนัก
สาเหตุอาจจะเป็นเพราะ ส่วนสูงไม่ถือว่าเตี้ยมาก + สัดส่วนกล้ามเนื้อเยอะหน่อย
คือตอนนั้น รู้สึกตัวเองแรงเยอะกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่น
เอาเป็นว่าสาเหตุจริงๆเป็นเพราะอะไรไม่รู้แต่มีคนชมว่าหุ่นดีแล้วกัน ไม่ผอมค่ะ
แต่(ตอนนั้น)มีอก มีเอว (ฮา)
.
พอหลังจากนั้น เราก็ค่อยๆอ้วนขึ้น สาเหตุน่าจะเป็นกินยาตัวนึง
ผลข้างเคียงทำให้เจริญอาหาร แต่เราไม่รู้และก็ไม่มีใครเตือน
กลายเป็นว่าติดนิสัยกินเยอะ กินของแคลอรี่สูง เครียดแล้วกิน ไม่ออกกำลังกาย
จนท้ายที่สุดน้ำหนัก 101 กิโลค่ะ
แต่ที่พูดไม่ใช่แค่แป๊บๆนะคะ กินเวลาหลายปีอยู่...
.
ตอนน้ำหนัก 101 กิโลเป็นช่วงที่ชีวิตแย่มาก เพราะสุขภาพไม่ดี
เหนื่อนง่าย ปวดเข่า ขึ้นลงสะพานลอยทีนี่แบบ...
หมอก็เตือน บอกว่าคุณยังสาวอยู่เลย อายุแค่นี้ปวดเข่าขนาดนี้ ต่อไปจะลำบากกว่านี้นะ
.
เลยตัดสินใจจะลดค่ะ เรื่องสุขภาพล้วนๆเลย ส่วนเรื่องสวยงามนี่ปลงแล้ว (ฮา)
.
ตอนนั้น ไปคลินิกลดความอ้วนที่ศิริราช หมอให้ Xenical มากิน
จำไม่ได้แล้วค่ะว่าเม็ดกี่บาท จำได้ว่าแพงมาก
ผลของ Xenical คือ ระบบทางเดินอาหารไม่ดูดซึมไขมัน
แต่!! ไม่ได้ผลค่ะ T_T ซักพักนึงก็เลิกไปเพราะยามันแพงงงงง
...
อันนี้นึกถึงที่เพื่อนคนนึงบอก เค้าพูดขำๆนะคะ เนื้อความประมาณนี้
"เนี่ยนะ อีพวกที่กลัวอ้วน โอ๊ะไอ้นี่กินไม่ได้ หมูติดมัน
ของมีไขมันมาก กินไปกลัวอ้วน หารู้ไม่ ว่าที่อ้วนๆนี่
เซลล์ไขมันส่วนมากสังเคราะห์ไขมันจากขนม จากกาแฟโกโก้ชาเขียว
ที่ Daกๆ กันเข้าไปนี่แหละ แล้วที่กินกันแต่ละอย่าง
ปล่อยน้ำตาลเข้ากระแสเลือดไวกันทั้งนั้น อินซูลินก็ออกมากันใหญ่
สุดท้ายก็น้ำตาลปกติ แต่ภาวะอินซูลินในกระแสเลือดสูง
ดื้ออืนซูลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขื่อนก็พังครืน กลายเป็นเบาหวาน"
...
(ต่อ)
เลิกกินยาลดความอ้วนแต่ไม่ไหวละ ต้องลดเพราะปวดเข่ามาก
คุมอาหารใช้วิธีลดข้าวค่ะ คือกินเหมือนเดิม แต่กินข้าวน้อยลงสองสามช้อน
แล้วก็ตอนเย็นกินโยเกิร์ตหนึ่งถ้วยกับแอปเปิ้ล
แล้วก็ออกกำลังกาย ทำได้อย่างเดียวคือว่ายน้ำเพราะปวดเข่า
แถมว่ายเป็นแต่ท่ากบอีกแน่ะ (ท่ากบว่ายแล้วสร้างภาระให้เข่าเหมือนกันค่ะ)
แม่มานั่งเป็นเพื่อนข้างสระ แล้วก็หัวเราะ บอกว่า
"ดูจากตรงนี้เหมือนอึ่งอ่างเลยลูก!!"
T T (โหดร้ายยย)
..
จากตอนนั้นก็ลดเหลือประมาณ 91-92 กิโลค่ะ ตอนนั้นรับปริญญาพอดี
สุขภาพดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ปวดเข่าไม่เหนื่อยแล้ว
.
หลังจากนั้น ก็ทำอะไรอยู่ที่กรุงเทพอีกประมาณปีนึงแล้วกลับไปทำงานที่บ้านต่างจังหวัดค่ะ
..
กลับบ้านแล้วน้ำหนักลด ลด ลด จนเหลือประมาณซัก 80 กว่าๆ
เราออกจากงานประจำ มาทำเป็นของตัวเองที่บ้าน น้ำหนักก็ยิ่งลเ ลด ลเ
จนเหลือซัก 70 กิโลได้ค่ะ
.
ก็มานั่งทบทวน เอ๊ะ.... มันลดได้ไงนะ.ก็ไม่ได้คุมอาหาร ออกกำลังกายอะไรเป็นพิเศษ..
น้ำหนักลดเพราะวิถีชีวิตเปลี่ยนค่ะ
ตอนอยู่กรุงเทพ กินข้าวนอกบ้าน ข้าวตามสั่งก็มีแต่อะไรผัดๆมันๆทั้งนั้น
มีขนมมีกาแฟ เครื่องดื่มหวานๆ ชาเขียวนี่แหละตัวดีเลย
พามาทำงานต่างจังหวัด เราลดการกินของพวกนั้นลงตามสภาพ
คือมันไม่มีขายล่อใจเยอะแยะเหมือนกรุงเทพ (ไม่ใช่ว่าไม่มีนะแต่น้อยกว่า)
ได้ทำงานบ้านมากขึ้น เพราะเริ่มเลี้ยงแมว -*-
ตอนอยู่กรุงเทพก็ดูแลแค่ห้องพักตัวเองห้องเดียว อยู่บ้านมีทั้งบ้านนะคะ
แถมถ้าใครเลี้ยงแมว ที่ปล่อยให้เดินในบ้านด้วยนอกบ้านด้วย
จะรักษาบ้านให้สะอาดเอี่ยม ต้องทำความสะอาดบ่อยกว่าปกติ
แถมเราไม่ชอบใช้ไม้ถูพื้นด้วย ถูมือ สะอาดกว่า ที่บ้านซักมือไม่ได้ใช้เครื่อง
แล้วก็ดูแลเสื้อผ้าคนที่บ้านด้วย
ทำงานในตัวเมืองก็จริง แต่ตัวเมืองจึ๋งเดียวค่ะ เหมือนว่าจะเล็กกว่าศิริราชเล็กกว่าจุฬาฯอีก
เลยมักจะเดินเอา เพราะรู้สึกว่ามันใกล้ๆ
.
อีตอน ออกจากงานประจำมาทำของตัวเองที่บ้านนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย
น้ำหนักลดไวมากกกกก
เพราะอาหารทุกมื้อ คือทำเอง แล้วเราชอบกินอะไรง่ายๆ
อย่างพวกน้ำพริกผักต้ม ปลาทอดตัวเล็กซักตัว
ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินนะ แต่น้ำพริกผักต้มที่บ้าน กินกับครอบครัวมันอร่อยจริงๆ
อร่อยกว่ากินอะไรๆ ที่เป็นอาหารในห้างในกรุงเทพเยอะเลย
.
การกินเปลี่ยน วิถีชีวิตเปลี่ยน (ได้เดินมากขึ้น ออกกำลังกายด้วยงานบ้านมากขึ้น)
น้ำหนักลดเองค่ะ ซักประมาณสองปีได้มั้ง ลดเหลือ 70 กิโลกรัม
.
ดีใจมาก ลดลงจากตอนพีคจัดตั้ง 30 กิโล! ( > _ < )!
.
สบายขึ้นบ้างค่ะ ไม่ปวดเข่า ไม่เหนื่อยง่ายแล้ว เนื้อตัวเบาลง เคลื่อนไหวร่างกายง่ายขึ้น
.
แล้วเราตัดสินใจมาอยู่เรียนต่อที่กรุงเทพ
T T .... น้ำหนักค่อยๆขึ้นค่ะ จาก 70 มาเป็น 73-74 กิโล
เป็นเพราะว่ากลับไปกินอะไรๆแบบเดิม ขนม กาแฟ อาหารตามสั่งมันๆ
.
เรื่องยังไม่จบ
พอตอนหลังนี่ เราย้ายที่พักมาอยู่ใกล้คณะ เลยได้ออกกำลังกายมากขึ้น
ตอนอยู่ไกล ขึ้นรถเมล์มาคณะ แต่พอมาอยู่ใกล้ ใช้วิธีเดินเอา
ก็ถ้าเดินทอดน่องเรื่อยๆใช้เวลา 20 นาที ต่อเที่ยว น่าจะไกลประมาณกิโลนึงได้มั้ง
ตอนขาไปเราขึ้นรถเมล์ แต่ขากลับเดิน เพราะรถเมล์ที่จะผ่านในขากลับ
มีแค่สายเดียว แล้วนานน้านนนนน จะผ่านมาซักคัน
ขี้เกียจรอเลยเดินกลับค่ะ (แต่ขามา มาได้หลายสายอยู่ เลยขึ้นรถเมล์มา)
.
พอมาท้ายสุด ซักประมาณเดือนสองเดือนมานี่ เราดำริอยากจะประหยัดเก็บเงินบ้าง
ก็เลยเลิกซื้อของกินอร่อยปากหลายๆอย่าง ขาไปคณะก็เดินเอา
เพราะที่จริงมันใกล้ๆ จะเดินก็ได้สบายๆ ที่ขึ้นรถเมล์ก็ขี้เกียจเอง
.
พอรู้ตัวอีกที ชุดเราหลวมค่ะ ทีแรกก็นึกว่ารู้สึกไปเองว่าเสื้อในมันหลวมๆ
ไม่ได้ใส่เดรสมาสัปดาห์กว่า พอใส่อีกที รุ่มร่ามมาก คือมันหลวมไปหมด
น้ำหนัก 73 เท่าเดิม แต่ตัวเราเล็กลง แล้วก็เล็กลงเรื่อยๆด้วย!

เศร้าอีตรงพอมวลเนื้อเยื่อไขมันหายมันก็ไปทุกส่วนรวมทั้งหน้าอกด้วย
ทีแรกเราตกใจ น้ำหนักลดไม่มีสาเหตุนึกว่าป่วยอะไรรึเปล่า
พอมาทบทวนดีๆ ก็แค่งดขนม ไม่กินช็อกโกแลต หรือเค้กครีมๆ พวกเครื่องดื่มชงๆก็กินน้อยลง
.
ตอนนี้ก็ลำบากหน่อยค่ะ พอตัวเล็กลง ชุดก็รุ่มร่าม หลวม โหว่ๆโป๊ง่าย
แต่ยังไม่อยากซื้อใหม่เพราะมันทำท่าจะตัวเล็กลงไปอีก
.
จาก 101 เหลือ 70 กิโล ใช้เวลาหลายปี
ตอนจาก 101 เหลือ 90 ใช้ความพยายามนิดนึง แต่ค่อนข้างน้อย
คือก็แค่ว่ายน้ำ ลดข้าวสองช้อน ตอนเย็นเป็นโยเกิร์ตกับแอปเปิ้ล
ไม่ได้ตั้งตารางออกกำลังเคร่งครัด ไม่ได้คุมอาหารเข้ม ไม่คำนวณแคลอรี่
จาก 90 เหลือ 70 ก็แค่วิถีชีวิตเปลี่ยน ออกกำลังกาย (ทำงานบ้าน) มากขึ้า
อาหารกินแบบบ้านๆ
จาก 70 ไป 73 เพราะเปลี่ยนไปกินของหวานกับเครื่องดื่มชงมากขึ้น
จาก 73 ไป 73 น้ำหนักเท่าเดิม แต่ตัวเล็กลง ก็แค่ไม่กินช็อกโกแลต ลดกาแฟ
แล้วก็เดินเพิ่มไม่ถึงกิโลต่อวัน (ถ้าเดินประจำ จะรู้สึกว่ามันใกล้มาก)
.
แต่ตอนนี้ เพิ่งเริ่มตั้งใจจะออกกำลังกายค่ะ ด้วยวิธีแกว่งแขน
คืออยู่ในบริเวณหอพักก็แกว่งแขนได้ ไม่อยากไปวิ่ง เหม็นควันรถ+ตัวเรายังหนักค่ะ กลัวกระทบเข่า
ไม่ใช่เพื่อสวยงาม แต่อยากลด BMI
คุณหมอเคยทักว่าอยู่ในเกณฑ์โรคอ้วนนะ ถ้าคุณไม่ลด พออายุมากกว่านี้หน่อยไตพังทุกคน
.
ขอให้กำลังใจทุกๆคนที่ตั้งใจลดความอ้วนนะคะ
สำหรับคนที่ไม่อยากเข้มงวดกับตัวเองมาก ก็ลองสำรวจวิธีการใช้ชีวิตของตัวเอง
พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย แล้วลองเปลี่ยนดู
ของเราเปลี่ยนนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้มุ่งมั่น ไม่เข้มงวด
ยังลดได้ 30 กิโลเลย! เพิ่มมาเป็น 73 ก็จริง แต่เสื้อผ้าตอนน้ำหนัก 70
ใส่แล้วหลวมโพรกเลยค่ะ ==""
.
มีคนถามว่า "แล้วถ้าเธอหันมาตั้งใจลดจริงจังล่ะ? จะไม่ผอมกว่านี้รึ?"
.
นั่นสิคะ พอใช้สุขภาพเป็นแรงจูงใจ อยากแก่อย่างมีคุณภาพ
ก็คุ้มค่าจะลองนะ
.
จบแล้วค่ะ
แชร์ประสบการณ์ น้ำหนักลด 30 กิโล จากเดิม 101 กิโลกรัม
ทีแรกจะเล่าในการตอบกระทู้นึง แต่คิดว่ามาตั้งใหม่น่าจะดีกว่า
ยาวนะคะ ขี้เกียจอ่านข้ามไปได้เลย ^^
.
เราสูง 165 เซนติเมตรค่ะ ตอนนี้หนัก 70-73 กิโลกรัม
ตอนช่วงที่(ยัง)สมส่วน น้ำหนักเราอยู่ที่ 58 กิโลกรัม อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ
58 จริงๆ มีเอว ไม่มีพุง มีแต่คนงงว่าทำไมตัวหนัก
สาเหตุอาจจะเป็นเพราะ ส่วนสูงไม่ถือว่าเตี้ยมาก + สัดส่วนกล้ามเนื้อเยอะหน่อย
คือตอนนั้น รู้สึกตัวเองแรงเยอะกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่น
เอาเป็นว่าสาเหตุจริงๆเป็นเพราะอะไรไม่รู้แต่มีคนชมว่าหุ่นดีแล้วกัน ไม่ผอมค่ะ
แต่(ตอนนั้น)มีอก มีเอว (ฮา)
.
พอหลังจากนั้น เราก็ค่อยๆอ้วนขึ้น สาเหตุน่าจะเป็นกินยาตัวนึง
ผลข้างเคียงทำให้เจริญอาหาร แต่เราไม่รู้และก็ไม่มีใครเตือน
กลายเป็นว่าติดนิสัยกินเยอะ กินของแคลอรี่สูง เครียดแล้วกิน ไม่ออกกำลังกาย
จนท้ายที่สุดน้ำหนัก 101 กิโลค่ะ
แต่ที่พูดไม่ใช่แค่แป๊บๆนะคะ กินเวลาหลายปีอยู่...
.
ตอนน้ำหนัก 101 กิโลเป็นช่วงที่ชีวิตแย่มาก เพราะสุขภาพไม่ดี
เหนื่อนง่าย ปวดเข่า ขึ้นลงสะพานลอยทีนี่แบบ...
หมอก็เตือน บอกว่าคุณยังสาวอยู่เลย อายุแค่นี้ปวดเข่าขนาดนี้ ต่อไปจะลำบากกว่านี้นะ
.
เลยตัดสินใจจะลดค่ะ เรื่องสุขภาพล้วนๆเลย ส่วนเรื่องสวยงามนี่ปลงแล้ว (ฮา)
.
ตอนนั้น ไปคลินิกลดความอ้วนที่ศิริราช หมอให้ Xenical มากิน
จำไม่ได้แล้วค่ะว่าเม็ดกี่บาท จำได้ว่าแพงมาก
ผลของ Xenical คือ ระบบทางเดินอาหารไม่ดูดซึมไขมัน
แต่!! ไม่ได้ผลค่ะ T_T ซักพักนึงก็เลิกไปเพราะยามันแพงงงงง
...
อันนี้นึกถึงที่เพื่อนคนนึงบอก เค้าพูดขำๆนะคะ เนื้อความประมาณนี้
"เนี่ยนะ อีพวกที่กลัวอ้วน โอ๊ะไอ้นี่กินไม่ได้ หมูติดมัน
ของมีไขมันมาก กินไปกลัวอ้วน หารู้ไม่ ว่าที่อ้วนๆนี่
เซลล์ไขมันส่วนมากสังเคราะห์ไขมันจากขนม จากกาแฟโกโก้ชาเขียว
ที่ Daกๆ กันเข้าไปนี่แหละ แล้วที่กินกันแต่ละอย่าง
ปล่อยน้ำตาลเข้ากระแสเลือดไวกันทั้งนั้น อินซูลินก็ออกมากันใหญ่
สุดท้ายก็น้ำตาลปกติ แต่ภาวะอินซูลินในกระแสเลือดสูง
ดื้ออืนซูลิน กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขื่อนก็พังครืน กลายเป็นเบาหวาน"
...
(ต่อ)
เลิกกินยาลดความอ้วนแต่ไม่ไหวละ ต้องลดเพราะปวดเข่ามาก
คุมอาหารใช้วิธีลดข้าวค่ะ คือกินเหมือนเดิม แต่กินข้าวน้อยลงสองสามช้อน
แล้วก็ตอนเย็นกินโยเกิร์ตหนึ่งถ้วยกับแอปเปิ้ล
แล้วก็ออกกำลังกาย ทำได้อย่างเดียวคือว่ายน้ำเพราะปวดเข่า
แถมว่ายเป็นแต่ท่ากบอีกแน่ะ (ท่ากบว่ายแล้วสร้างภาระให้เข่าเหมือนกันค่ะ)
แม่มานั่งเป็นเพื่อนข้างสระ แล้วก็หัวเราะ บอกว่า
"ดูจากตรงนี้เหมือนอึ่งอ่างเลยลูก!!"
T T (โหดร้ายยย)
..
จากตอนนั้นก็ลดเหลือประมาณ 91-92 กิโลค่ะ ตอนนั้นรับปริญญาพอดี
สุขภาพดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ปวดเข่าไม่เหนื่อยแล้ว
.
หลังจากนั้น ก็ทำอะไรอยู่ที่กรุงเทพอีกประมาณปีนึงแล้วกลับไปทำงานที่บ้านต่างจังหวัดค่ะ
..
กลับบ้านแล้วน้ำหนักลด ลด ลด จนเหลือประมาณซัก 80 กว่าๆ
เราออกจากงานประจำ มาทำเป็นของตัวเองที่บ้าน น้ำหนักก็ยิ่งลเ ลด ลเ
จนเหลือซัก 70 กิโลได้ค่ะ
.
ก็มานั่งทบทวน เอ๊ะ.... มันลดได้ไงนะ.ก็ไม่ได้คุมอาหาร ออกกำลังกายอะไรเป็นพิเศษ..
น้ำหนักลดเพราะวิถีชีวิตเปลี่ยนค่ะ
ตอนอยู่กรุงเทพ กินข้าวนอกบ้าน ข้าวตามสั่งก็มีแต่อะไรผัดๆมันๆทั้งนั้น
มีขนมมีกาแฟ เครื่องดื่มหวานๆ ชาเขียวนี่แหละตัวดีเลย
พามาทำงานต่างจังหวัด เราลดการกินของพวกนั้นลงตามสภาพ
คือมันไม่มีขายล่อใจเยอะแยะเหมือนกรุงเทพ (ไม่ใช่ว่าไม่มีนะแต่น้อยกว่า)
ได้ทำงานบ้านมากขึ้น เพราะเริ่มเลี้ยงแมว -*-
ตอนอยู่กรุงเทพก็ดูแลแค่ห้องพักตัวเองห้องเดียว อยู่บ้านมีทั้งบ้านนะคะ
แถมถ้าใครเลี้ยงแมว ที่ปล่อยให้เดินในบ้านด้วยนอกบ้านด้วย
จะรักษาบ้านให้สะอาดเอี่ยม ต้องทำความสะอาดบ่อยกว่าปกติ
แถมเราไม่ชอบใช้ไม้ถูพื้นด้วย ถูมือ สะอาดกว่า ที่บ้านซักมือไม่ได้ใช้เครื่อง
แล้วก็ดูแลเสื้อผ้าคนที่บ้านด้วย
ทำงานในตัวเมืองก็จริง แต่ตัวเมืองจึ๋งเดียวค่ะ เหมือนว่าจะเล็กกว่าศิริราชเล็กกว่าจุฬาฯอีก
เลยมักจะเดินเอา เพราะรู้สึกว่ามันใกล้ๆ
.
อีตอน ออกจากงานประจำมาทำของตัวเองที่บ้านนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย
น้ำหนักลดไวมากกกกก
เพราะอาหารทุกมื้อ คือทำเอง แล้วเราชอบกินอะไรง่ายๆ
อย่างพวกน้ำพริกผักต้ม ปลาทอดตัวเล็กซักตัว
ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินนะ แต่น้ำพริกผักต้มที่บ้าน กินกับครอบครัวมันอร่อยจริงๆ
อร่อยกว่ากินอะไรๆ ที่เป็นอาหารในห้างในกรุงเทพเยอะเลย
.
การกินเปลี่ยน วิถีชีวิตเปลี่ยน (ได้เดินมากขึ้น ออกกำลังกายด้วยงานบ้านมากขึ้น)
น้ำหนักลดเองค่ะ ซักประมาณสองปีได้มั้ง ลดเหลือ 70 กิโลกรัม
.
ดีใจมาก ลดลงจากตอนพีคจัดตั้ง 30 กิโล! ( > _ < )!
.
สบายขึ้นบ้างค่ะ ไม่ปวดเข่า ไม่เหนื่อยง่ายแล้ว เนื้อตัวเบาลง เคลื่อนไหวร่างกายง่ายขึ้น
.
แล้วเราตัดสินใจมาอยู่เรียนต่อที่กรุงเทพ
T T .... น้ำหนักค่อยๆขึ้นค่ะ จาก 70 มาเป็น 73-74 กิโล
เป็นเพราะว่ากลับไปกินอะไรๆแบบเดิม ขนม กาแฟ อาหารตามสั่งมันๆ
.
เรื่องยังไม่จบ
พอตอนหลังนี่ เราย้ายที่พักมาอยู่ใกล้คณะ เลยได้ออกกำลังกายมากขึ้น
ตอนอยู่ไกล ขึ้นรถเมล์มาคณะ แต่พอมาอยู่ใกล้ ใช้วิธีเดินเอา
ก็ถ้าเดินทอดน่องเรื่อยๆใช้เวลา 20 นาที ต่อเที่ยว น่าจะไกลประมาณกิโลนึงได้มั้ง
ตอนขาไปเราขึ้นรถเมล์ แต่ขากลับเดิน เพราะรถเมล์ที่จะผ่านในขากลับ
มีแค่สายเดียว แล้วนานน้านนนนน จะผ่านมาซักคัน
ขี้เกียจรอเลยเดินกลับค่ะ (แต่ขามา มาได้หลายสายอยู่ เลยขึ้นรถเมล์มา)
.
พอมาท้ายสุด ซักประมาณเดือนสองเดือนมานี่ เราดำริอยากจะประหยัดเก็บเงินบ้าง
ก็เลยเลิกซื้อของกินอร่อยปากหลายๆอย่าง ขาไปคณะก็เดินเอา
เพราะที่จริงมันใกล้ๆ จะเดินก็ได้สบายๆ ที่ขึ้นรถเมล์ก็ขี้เกียจเอง
.
พอรู้ตัวอีกที ชุดเราหลวมค่ะ ทีแรกก็นึกว่ารู้สึกไปเองว่าเสื้อในมันหลวมๆ
ไม่ได้ใส่เดรสมาสัปดาห์กว่า พอใส่อีกที รุ่มร่ามมาก คือมันหลวมไปหมด
น้ำหนัก 73 เท่าเดิม แต่ตัวเราเล็กลง แล้วก็เล็กลงเรื่อยๆด้วย!
ทีแรกเราตกใจ น้ำหนักลดไม่มีสาเหตุนึกว่าป่วยอะไรรึเปล่า
พอมาทบทวนดีๆ ก็แค่งดขนม ไม่กินช็อกโกแลต หรือเค้กครีมๆ พวกเครื่องดื่มชงๆก็กินน้อยลง
.
ตอนนี้ก็ลำบากหน่อยค่ะ พอตัวเล็กลง ชุดก็รุ่มร่าม หลวม โหว่ๆโป๊ง่าย
แต่ยังไม่อยากซื้อใหม่เพราะมันทำท่าจะตัวเล็กลงไปอีก
.
จาก 101 เหลือ 70 กิโล ใช้เวลาหลายปี
ตอนจาก 101 เหลือ 90 ใช้ความพยายามนิดนึง แต่ค่อนข้างน้อย
คือก็แค่ว่ายน้ำ ลดข้าวสองช้อน ตอนเย็นเป็นโยเกิร์ตกับแอปเปิ้ล
ไม่ได้ตั้งตารางออกกำลังเคร่งครัด ไม่ได้คุมอาหารเข้ม ไม่คำนวณแคลอรี่
จาก 90 เหลือ 70 ก็แค่วิถีชีวิตเปลี่ยน ออกกำลังกาย (ทำงานบ้าน) มากขึ้า
อาหารกินแบบบ้านๆ
จาก 70 ไป 73 เพราะเปลี่ยนไปกินของหวานกับเครื่องดื่มชงมากขึ้น
จาก 73 ไป 73 น้ำหนักเท่าเดิม แต่ตัวเล็กลง ก็แค่ไม่กินช็อกโกแลต ลดกาแฟ
แล้วก็เดินเพิ่มไม่ถึงกิโลต่อวัน (ถ้าเดินประจำ จะรู้สึกว่ามันใกล้มาก)
.
แต่ตอนนี้ เพิ่งเริ่มตั้งใจจะออกกำลังกายค่ะ ด้วยวิธีแกว่งแขน
คืออยู่ในบริเวณหอพักก็แกว่งแขนได้ ไม่อยากไปวิ่ง เหม็นควันรถ+ตัวเรายังหนักค่ะ กลัวกระทบเข่า
ไม่ใช่เพื่อสวยงาม แต่อยากลด BMI
คุณหมอเคยทักว่าอยู่ในเกณฑ์โรคอ้วนนะ ถ้าคุณไม่ลด พออายุมากกว่านี้หน่อยไตพังทุกคน
.
ขอให้กำลังใจทุกๆคนที่ตั้งใจลดความอ้วนนะคะ
สำหรับคนที่ไม่อยากเข้มงวดกับตัวเองมาก ก็ลองสำรวจวิธีการใช้ชีวิตของตัวเอง
พฤติกรรมการกิน การออกกำลังกาย แล้วลองเปลี่ยนดู
ของเราเปลี่ยนนิดๆหน่อยๆ ไม่ได้มุ่งมั่น ไม่เข้มงวด
ยังลดได้ 30 กิโลเลย! เพิ่มมาเป็น 73 ก็จริง แต่เสื้อผ้าตอนน้ำหนัก 70
ใส่แล้วหลวมโพรกเลยค่ะ ==""
.
มีคนถามว่า "แล้วถ้าเธอหันมาตั้งใจลดจริงจังล่ะ? จะไม่ผอมกว่านี้รึ?"
.
นั่นสิคะ พอใช้สุขภาพเป็นแรงจูงใจ อยากแก่อย่างมีคุณภาพ
ก็คุ้มค่าจะลองนะ
.
จบแล้วค่ะ