สวัสดีครับ ผมชื่อ “น่าน” นะครับ ปัจจุบันอายุ 19 ปี อาศัยอยู่ที่ ขอนแก่นครับ ผมเล่นเวทมา 2 ปีกว่าแล้ว วันนี้ผมอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ของผมให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
รูปที่ 1 ตอนนี้เป็นภาพตอนที่ผมพึ่งหัดเล่นเวทใหม่ๆ ได้ประมาณ 1 เดือน เศษๆ (กลาง เดือน มิถุนายน 2013 เล่นเวทใหม่ๆ)
เท้าความก่อนนะครับ เมื่อก่อน ผมคิดอยากจะลดความอ้วนมานานแล้ว ผมลองหลายวิธี มี วิ่ง , ต่อยกระสอบทราย , และ ปั่นจักรยาน ลองมาหมด แต่ผมก็เลิกทำมันไปหมดทุกอย่าง (เพราะไขมันไม่ยอมลงซักทีครับ)
จนครั้งหนึ่ง ผมได้ไปต่อใบขับขี่ แล้วมันต้องใช้ใบรับรองแพทย์ พ่อผมก็เลยพาผมไปหาหมอที่โรงพยาบาล ปรากฏว่า “ผมเป็นความดันสูงครับ” ผมตกใจ และรู้สึกแย่มากๆ พี่ผมมันยังซ้ำเติมอีกว่า “ถ้าอายุแค่นี้เป็นความดันสูง โตขึ้นเป็นเบาหวานแน่ๆ” ผมไม่รู้มันพูดหยอกๆ หรือพูดจริง แต่มันทำให้ผมเครียดอยู่มากเหมือนกันนะ ผมก็เลยหาวิธีออกกำลังกายอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมใช้ “เวทเทรนนิ่ง” เป็นตัวตอบโจทย์
ตอนที่ผมเริ่มเล่นเวทไม่มีใครเห็นด้วยกับผม ก็แหงสิครับ เพราะทำอะไรก็เลิกๆไปซะหมดนี่ คนรอบข้างผมบอกว่า “ไม่มีทางทำได้หรอก” เพื่อนผมบางคนที่สนิทกันมากๆ มันยังบอกว่า "ทำได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์หรอก" (นี่ขนาดเพื่อนสนิทนะเนี่ย) คนในครอบครัวผมก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เดี๋ยวก็เลิก” พร้อมกับเสียงแม่ที่หัวเราะเยาะผม (โคตรโกรธ) แต่ที่เจ็บปวดที่สุดคือ ตอนที่ผมขอเงินพ่อไปซื้ออกไก่ พ่อผมตะคอกใส่ผม ว่า ” ก็แค่เห่อไประยะหนึ่งเท่านั้นแหละ” (ไม่ให้กำลังใจผมซักคนเลยซักนิด) แต่เอาเหอะ ผมเข้าใจ เพราะผมไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง
ผมเล่นเวทโดยที่ไม่ได้มีความรู้ติดตัวเลย แต่ผมอยู่กับดัมเบล และ บาร์เบลมาตั้งแต่เกิด เพราะพ่อผมชอบ (บ้านผมมี ม้านอน , บาร์เบลปูนที่หนักโคตร และดัมเบลปูนที่โคตรจะหนัก 1 ลูก เท่านั้น) และผมก็ได้เห็นพ่อผมเล่นมาโดยตลอด แต่ว่า พ่อผมไม่ได้มีความรู้ด้านนี้ซักเท่าไหร่ แกก็ฝึกตามที่แกเห็นๆมานั่นแหละครับ “แต่ก็แปลกนะ ผมอยู่กับมันมาโดยตลอด แต่ไม่มีทางรู้ว่า วันนึง ผมต้องได้มาชอบมันจริงจัง”
สิ่งที่ดึงให้ผมมาเริ่มเล่นเวทเทรนนิ่ง เริ่มจาก ผมให้ความสนใจกับกล้ามเนื้อหน้าอกเป็นส่วนแรก (และผู้ชายหลายๆคนก็คิดแบบผมนี่แหละ) ท่าฝึกของมันมีอยู่ 2 ท่า ก็คือ Dumbbell Fly กับ Barbell Bench press มันทำให้ผมสงสัยว่า ในเมื่อ มันเป็นท่าบริหารหน้าอกเหมือนกัน แล้วมันได้ผลลัพธ์ต่างกันตรงไหนวะ??

Bench press

Dumbbell fly
วันรุ่งขึ้นผมขอตังค์พ่อไปซื้อดัมเบลมา 1 คู่ 5 กิโลกรัม เพื่อเล่น 2 ท่านี้ ผมพิมพ์ชื่อท่าฝึกลง Youtube ผมก็ไปเจอคลิปคนสอนเยอะแยะ ทุกคลิปบอกวิธีฝึกอย่างถูกต้อง และวิธีโฟกัสต่างๆ ผมก็เริ่มลงมือทำตามคลิปวีดีโอ
รูปที่ 2 หลังจากที่เล่นไปได้ซักพักก็เริ่มเห็นความแตกต่าง (ปลายเดือน มกราคม 2014)
โดยผมใช้ตารางฝึกเบื้องต้น นั่นก็คือ
วันที่ 1 หน้าอก – หลังแขน
วันที่ 3 ใหล่ – หลัง
วันที่ 5 ขา – น่อง – หน้าแขน
หลังจากที่ผมเริ่มเห็นผลลัพธ์ตัวเอง ผมก็เริ่มจริงจังกับทุกอย่างมากขึ้น โดยการที่เริ่มมีตารางฝึก มีโปรแกรมอาหาร โดยผมแบ่งการกินออกเป็นย่อยๆ 5 คาบ เหมือนที่นักเพาะกายทำ ซึ่งผมจะเน้นไปที่โปรตีนเป็นหลัก กีฬาชนิดนี้มันไม่ใช่แค่การยกน้ำหนักขึ้นลง แต่มันต้องควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีประโยชน์อีกด้วย (มันจึงทำให้น้ำหนักของผมลดลง ผอมลง และ หุ่นดีขึ้น ซึ่งต่างจากกีฬาชิดอื่น ที่ออกกำลังกายให้รู้สึกเหนื่อย แต่คนส่วนมาก มักจะไม่ทำควบคู่กับการกิน เลยทำให้น้ำหนักลงยาก)
ผมเริ่มเปลี่ยน คาร์โบไฮเดตรที่กินประจำ จากข้าวขาว เป็น ข้าวกล้อง , ขนมปังโฮลวีท หรืออะไรก็ได้ ที่เป็นคาร์โบไฮเดตรเชิงซ้อน (แต่ก็ยังกินในปริมาณที่จำกัด) ส่วนไขมัน ก็เริ่มปรับเปลี่ยน จากน้ำมันหมู เป็นน้ำมันมะกอกแทน
ส่วนการฝึกผมก็ยังศึกษาประวัติของนักเพาะกายหลายคน ว่า เขาฝึกอย่างไร , ใช้เทคนิคอะไรฝึก กินอย่างไร และฝึกท่าอะไรบ้าง ที่สำคัญมากๆ นักเพาะกายเหล่านี้จะมีความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาร่างกายที่ไม่เหมือนกัน มันยิ่งจูงใจให้ผมเข้าไปอ่าน และชอบกีฬาชนิดนี้มากขึ้น ผมศึกษาหลายอย่างจากในเว็บต่างๆ และลองทำตามเทคนิคของนักเพาะกายหลายๆคนดูเรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่า “สนุกดีว่ะ” มันท้าทายตัวเอง
ไอดอลของผมคนแรก คือ “The Rock” ผมมองภาพของเขาแล้วมันทำให้ผมมีกำลังใจ ผมชอบแขนที่ใส่เสื้อแล้วมันรัดตึงแบบเขา , ผมชอบไหล่ที่มันดูกว้างและสง่างามของเขา ผมจึงทุ่มสุดๆในการเล่นกล้าม เพื่อผลักดันตัวเอง
แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังหนีไม่พ้นคำที่คนรอบข้างผมพูดว่า “ไหนกล้าม นี่เล่นกล้ามยังไง ยังไม่เห็นมีเลย” (ในความคิดผมคือ ผมเอาเท้าก่ายหน้าผากพวกนั้นแล้วครับ
รูปที่ 3 เวลาผ่านไป ร่างกายผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ (กลางเดือน เมษายน 2014 ปี)
น้ำหนักตัวผมลงไป 6 กิโลกรัม จาก 74 เหลือ 68 (คุณพระ!! แล้วไงอ่ะ?) ผมไม่ได้ดีใจมากเท่าไหร่ เพราะถึงตอนนี้ ผมไม่ได้คิดเรื่องของการลดความอ้วน และเรื่องน้ำหนักตัวเองแล้ว แต่ผมใส่ใจกับการพัฒนารูปร่างของตัวเองมากกว่า จนพ่อผมเห็นว่า ผมชอบมันจริงๆเข้าแล้ว พ่อเลยยอมให้เงินผมไปซื้อ ดัมเบล และบาร์เบลใหม่ มาไว้บ้าน และคอยเก็บเงินซื้อน้ำหนักมาใส่เรื่อยๆ และยอมซื้อ “เวย์โปรตีน” กระปุกแรกให้กับผม ผมดีใจมาก ที่ได้ “เวย์โปรตีน” เพราะเป็นสิ่งที่ผมอยากจะลองกินมันมาตลอด ตั้งแต่เริ่มเล่น แต่ไม่กล้าที่จะขอ
หลายคนถามว่า "จะเล่นกล้ามไปทำไม?" ..ผมตอบไปว่า.. “เพราะชอบครับ” มันไม่ดีนักหรอก ที่จะเอาร่างกายตัวเองไปทำให้มันเจ็บปวด ตื่นมาเจ็บๆ ทั่วร่างกาย แต่ถ้ามันแลกกับ ร่างกายที่บึกบึน แข็งแรง สุขภาพดี มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่นี่ ผมจึงทำมันต่อ และมีหลายครั้งที่ผมคิดอยากจะเลิก (เพราะก็ไม่รู้ว่าจะทำต่อไปทำไมเหมือนกัน) แต่ผมเลิกทำมันไม่ได้ ในเมื่อได้ลงมือทำมันแล้ว เมื่อไหร่ที่ผมจะเลิก ผมให้คำถามกับตัวเองเสมอว่า “ถ้าจะเลิก แล้ว ทำไมถึงเริ่ม” คำพูดนี้เป็นคำพูดของนักกล้ามหลายๆคน มันใช้ได้กับตัวผมด้วย และประโยคนี้มันเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมเล่นกล้ามต่อไป
แต่ผมยืนเลยเลยว่า การที่ผมเล่นเวทเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมไม่ได้ทำเพราะคำดูถูกของใครหลายๆคน “แต่ผมทำเพราะผมรักมันต่างหากล่ะ”
รูปที่ 4 ตอนนี้ผ่านไปนานเหมือนกันนะ ถ้านับจากรูปที่แล้ว (ต้นเดือน พฤศจิกายน 2015)
มีเพจๆหนึ่ง เขาให้ร่วมกิจกรรม แล้วเขามีรางวัลแจก แค่ให้ลงรูปตอนตัวเอง เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง และ รูปปัจจุบัน พร้อมกับบอกระยะเวลาว่า ใช้เวลานานเท่าไหร่ ให้โพสลงในคอมเมนต์เพจเขา ผมก็เอารูปแรกตอนที่เริ่มใหม่ๆ กับรูปนี้ แล้วรอประกาศรับรางวัล กลายเป็นว่า “ผมได้รางวัลนั้นซะงั้น” ดีใจโคตรๆเลยครับ!!!
รูปที่ 5 ตอนนี้คือปัจจุบันของผม (1 มีนาคม 2559)
จะเชื่อมั้ยครับ ทุกคนที่เคยพูดกับผมว่า “เดี๋ยวก็เลิก ไม่มีทางทำได้หรอก” (เสียงนั้นมันก้องอยู่ในหูผมตลอดเวลา) ทุกวันนี้ คนเหล่านั้น มาให้ผมเทรนการออกกำลังกายให้ และ มาถามเรื่องการลดน้ำหนักกับผม
“ใครจะพูดอะไร อย่าไป แคร์ เพราะคนเหล่านั้น เขามองไม่เห็นความสำเร็จของเรา มีแต่เราเท่านั้น ที่มองเห็นมัน”
ตอนนี้ผมมีเพจเกี่ยวกับ การออกกำลังกายครับ ผมทำเป็นบทความ ติดตามผมได้ที่
https://www.facebook.com/hunpeaforu/?ref=hl
อาจจะมีขี้โม้ไปบ้าง ผมก็ขออภัยด้วยนะครับ ^_^ และในสุดท้ายนี้ ผมขอให้ทุกคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำตามที่ตัวเองฝันไว้ให้ได้ ลงมือสิ !!! อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง!!! อ่านบทความของผมเสร็จแล้วก็รีบไปใส่ชุดกีฬาเลย เร็วๆๆๆๆ!!! และอย่าลืมคำนี้ครับ “ก่อนจะเลิก ทำไมถึงเริ่ม” แล้วลงมือทำมันซะ!!
....จัดไป!!!....
แชร์ประสบการณ์จากคนเคยอ้วน พร้อมกับ การเปลี่ยนแปลงตัวเอง
รูปที่ 1 ตอนนี้เป็นภาพตอนที่ผมพึ่งหัดเล่นเวทใหม่ๆ ได้ประมาณ 1 เดือน เศษๆ (กลาง เดือน มิถุนายน 2013 เล่นเวทใหม่ๆ)
เท้าความก่อนนะครับ เมื่อก่อน ผมคิดอยากจะลดความอ้วนมานานแล้ว ผมลองหลายวิธี มี วิ่ง , ต่อยกระสอบทราย , และ ปั่นจักรยาน ลองมาหมด แต่ผมก็เลิกทำมันไปหมดทุกอย่าง (เพราะไขมันไม่ยอมลงซักทีครับ)
จนครั้งหนึ่ง ผมได้ไปต่อใบขับขี่ แล้วมันต้องใช้ใบรับรองแพทย์ พ่อผมก็เลยพาผมไปหาหมอที่โรงพยาบาล ปรากฏว่า “ผมเป็นความดันสูงครับ” ผมตกใจ และรู้สึกแย่มากๆ พี่ผมมันยังซ้ำเติมอีกว่า “ถ้าอายุแค่นี้เป็นความดันสูง โตขึ้นเป็นเบาหวานแน่ๆ” ผมไม่รู้มันพูดหยอกๆ หรือพูดจริง แต่มันทำให้ผมเครียดอยู่มากเหมือนกันนะ ผมก็เลยหาวิธีออกกำลังกายอีกครั้ง
ครั้งนี้ผมใช้ “เวทเทรนนิ่ง” เป็นตัวตอบโจทย์
ตอนที่ผมเริ่มเล่นเวทไม่มีใครเห็นด้วยกับผม ก็แหงสิครับ เพราะทำอะไรก็เลิกๆไปซะหมดนี่ คนรอบข้างผมบอกว่า “ไม่มีทางทำได้หรอก” เพื่อนผมบางคนที่สนิทกันมากๆ มันยังบอกว่า "ทำได้ไม่เกิน 2 อาทิตย์หรอก" (นี่ขนาดเพื่อนสนิทนะเนี่ย) คนในครอบครัวผมก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เดี๋ยวก็เลิก” พร้อมกับเสียงแม่ที่หัวเราะเยาะผม (โคตรโกรธ) แต่ที่เจ็บปวดที่สุดคือ ตอนที่ผมขอเงินพ่อไปซื้ออกไก่ พ่อผมตะคอกใส่ผม ว่า ” ก็แค่เห่อไประยะหนึ่งเท่านั้นแหละ” (ไม่ให้กำลังใจผมซักคนเลยซักนิด) แต่เอาเหอะ ผมเข้าใจ เพราะผมไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันซักอย่าง
ผมเล่นเวทโดยที่ไม่ได้มีความรู้ติดตัวเลย แต่ผมอยู่กับดัมเบล และ บาร์เบลมาตั้งแต่เกิด เพราะพ่อผมชอบ (บ้านผมมี ม้านอน , บาร์เบลปูนที่หนักโคตร และดัมเบลปูนที่โคตรจะหนัก 1 ลูก เท่านั้น) และผมก็ได้เห็นพ่อผมเล่นมาโดยตลอด แต่ว่า พ่อผมไม่ได้มีความรู้ด้านนี้ซักเท่าไหร่ แกก็ฝึกตามที่แกเห็นๆมานั่นแหละครับ “แต่ก็แปลกนะ ผมอยู่กับมันมาโดยตลอด แต่ไม่มีทางรู้ว่า วันนึง ผมต้องได้มาชอบมันจริงจัง”
สิ่งที่ดึงให้ผมมาเริ่มเล่นเวทเทรนนิ่ง เริ่มจาก ผมให้ความสนใจกับกล้ามเนื้อหน้าอกเป็นส่วนแรก (และผู้ชายหลายๆคนก็คิดแบบผมนี่แหละ) ท่าฝึกของมันมีอยู่ 2 ท่า ก็คือ Dumbbell Fly กับ Barbell Bench press มันทำให้ผมสงสัยว่า ในเมื่อ มันเป็นท่าบริหารหน้าอกเหมือนกัน แล้วมันได้ผลลัพธ์ต่างกันตรงไหนวะ??
Bench press
Dumbbell fly
วันรุ่งขึ้นผมขอตังค์พ่อไปซื้อดัมเบลมา 1 คู่ 5 กิโลกรัม เพื่อเล่น 2 ท่านี้ ผมพิมพ์ชื่อท่าฝึกลง Youtube ผมก็ไปเจอคลิปคนสอนเยอะแยะ ทุกคลิปบอกวิธีฝึกอย่างถูกต้อง และวิธีโฟกัสต่างๆ ผมก็เริ่มลงมือทำตามคลิปวีดีโอ
รูปที่ 2 หลังจากที่เล่นไปได้ซักพักก็เริ่มเห็นความแตกต่าง (ปลายเดือน มกราคม 2014)
โดยผมใช้ตารางฝึกเบื้องต้น นั่นก็คือ
วันที่ 1 หน้าอก – หลังแขน
วันที่ 3 ใหล่ – หลัง
วันที่ 5 ขา – น่อง – หน้าแขน
หลังจากที่ผมเริ่มเห็นผลลัพธ์ตัวเอง ผมก็เริ่มจริงจังกับทุกอย่างมากขึ้น โดยการที่เริ่มมีตารางฝึก มีโปรแกรมอาหาร โดยผมแบ่งการกินออกเป็นย่อยๆ 5 คาบ เหมือนที่นักเพาะกายทำ ซึ่งผมจะเน้นไปที่โปรตีนเป็นหลัก กีฬาชนิดนี้มันไม่ใช่แค่การยกน้ำหนักขึ้นลง แต่มันต้องควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีประโยชน์อีกด้วย (มันจึงทำให้น้ำหนักของผมลดลง ผอมลง และ หุ่นดีขึ้น ซึ่งต่างจากกีฬาชิดอื่น ที่ออกกำลังกายให้รู้สึกเหนื่อย แต่คนส่วนมาก มักจะไม่ทำควบคู่กับการกิน เลยทำให้น้ำหนักลงยาก)
ผมเริ่มเปลี่ยน คาร์โบไฮเดตรที่กินประจำ จากข้าวขาว เป็น ข้าวกล้อง , ขนมปังโฮลวีท หรืออะไรก็ได้ ที่เป็นคาร์โบไฮเดตรเชิงซ้อน (แต่ก็ยังกินในปริมาณที่จำกัด) ส่วนไขมัน ก็เริ่มปรับเปลี่ยน จากน้ำมันหมู เป็นน้ำมันมะกอกแทน
ส่วนการฝึกผมก็ยังศึกษาประวัติของนักเพาะกายหลายคน ว่า เขาฝึกอย่างไร , ใช้เทคนิคอะไรฝึก กินอย่างไร และฝึกท่าอะไรบ้าง ที่สำคัญมากๆ นักเพาะกายเหล่านี้จะมีความคิดเกี่ยวกับการพัฒนาร่างกายที่ไม่เหมือนกัน มันยิ่งจูงใจให้ผมเข้าไปอ่าน และชอบกีฬาชนิดนี้มากขึ้น ผมศึกษาหลายอย่างจากในเว็บต่างๆ และลองทำตามเทคนิคของนักเพาะกายหลายๆคนดูเรื่อยๆ จนผมรู้สึกว่า “สนุกดีว่ะ” มันท้าทายตัวเอง
ไอดอลของผมคนแรก คือ “The Rock” ผมมองภาพของเขาแล้วมันทำให้ผมมีกำลังใจ ผมชอบแขนที่ใส่เสื้อแล้วมันรัดตึงแบบเขา , ผมชอบไหล่ที่มันดูกว้างและสง่างามของเขา ผมจึงทุ่มสุดๆในการเล่นกล้าม เพื่อผลักดันตัวเอง
แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังหนีไม่พ้นคำที่คนรอบข้างผมพูดว่า “ไหนกล้าม นี่เล่นกล้ามยังไง ยังไม่เห็นมีเลย” (ในความคิดผมคือ ผมเอาเท้าก่ายหน้าผากพวกนั้นแล้วครับ
รูปที่ 3 เวลาผ่านไป ร่างกายผมก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ (กลางเดือน เมษายน 2014 ปี)
น้ำหนักตัวผมลงไป 6 กิโลกรัม จาก 74 เหลือ 68 (คุณพระ!! แล้วไงอ่ะ?) ผมไม่ได้ดีใจมากเท่าไหร่ เพราะถึงตอนนี้ ผมไม่ได้คิดเรื่องของการลดความอ้วน และเรื่องน้ำหนักตัวเองแล้ว แต่ผมใส่ใจกับการพัฒนารูปร่างของตัวเองมากกว่า จนพ่อผมเห็นว่า ผมชอบมันจริงๆเข้าแล้ว พ่อเลยยอมให้เงินผมไปซื้อ ดัมเบล และบาร์เบลใหม่ มาไว้บ้าน และคอยเก็บเงินซื้อน้ำหนักมาใส่เรื่อยๆ และยอมซื้อ “เวย์โปรตีน” กระปุกแรกให้กับผม ผมดีใจมาก ที่ได้ “เวย์โปรตีน” เพราะเป็นสิ่งที่ผมอยากจะลองกินมันมาตลอด ตั้งแต่เริ่มเล่น แต่ไม่กล้าที่จะขอ
หลายคนถามว่า "จะเล่นกล้ามไปทำไม?" ..ผมตอบไปว่า.. “เพราะชอบครับ” มันไม่ดีนักหรอก ที่จะเอาร่างกายตัวเองไปทำให้มันเจ็บปวด ตื่นมาเจ็บๆ ทั่วร่างกาย แต่ถ้ามันแลกกับ ร่างกายที่บึกบึน แข็งแรง สุขภาพดี มันก็ไม่ใช่เรื่องแย่นี่ ผมจึงทำมันต่อ และมีหลายครั้งที่ผมคิดอยากจะเลิก (เพราะก็ไม่รู้ว่าจะทำต่อไปทำไมเหมือนกัน) แต่ผมเลิกทำมันไม่ได้ ในเมื่อได้ลงมือทำมันแล้ว เมื่อไหร่ที่ผมจะเลิก ผมให้คำถามกับตัวเองเสมอว่า “ถ้าจะเลิก แล้ว ทำไมถึงเริ่ม” คำพูดนี้เป็นคำพูดของนักกล้ามหลายๆคน มันใช้ได้กับตัวผมด้วย และประโยคนี้มันเป็นแรงบัลดาลใจให้ผมเล่นกล้ามต่อไป
แต่ผมยืนเลยเลยว่า การที่ผมเล่นเวทเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง ผมไม่ได้ทำเพราะคำดูถูกของใครหลายๆคน “แต่ผมทำเพราะผมรักมันต่างหากล่ะ”
รูปที่ 4 ตอนนี้ผ่านไปนานเหมือนกันนะ ถ้านับจากรูปที่แล้ว (ต้นเดือน พฤศจิกายน 2015)
มีเพจๆหนึ่ง เขาให้ร่วมกิจกรรม แล้วเขามีรางวัลแจก แค่ให้ลงรูปตอนตัวเอง เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง และ รูปปัจจุบัน พร้อมกับบอกระยะเวลาว่า ใช้เวลานานเท่าไหร่ ให้โพสลงในคอมเมนต์เพจเขา ผมก็เอารูปแรกตอนที่เริ่มใหม่ๆ กับรูปนี้ แล้วรอประกาศรับรางวัล กลายเป็นว่า “ผมได้รางวัลนั้นซะงั้น” ดีใจโคตรๆเลยครับ!!!
รูปที่ 5 ตอนนี้คือปัจจุบันของผม (1 มีนาคม 2559)
จะเชื่อมั้ยครับ ทุกคนที่เคยพูดกับผมว่า “เดี๋ยวก็เลิก ไม่มีทางทำได้หรอก” (เสียงนั้นมันก้องอยู่ในหูผมตลอดเวลา) ทุกวันนี้ คนเหล่านั้น มาให้ผมเทรนการออกกำลังกายให้ และ มาถามเรื่องการลดน้ำหนักกับผม
“ใครจะพูดอะไร อย่าไป แคร์ เพราะคนเหล่านั้น เขามองไม่เห็นความสำเร็จของเรา มีแต่เราเท่านั้น ที่มองเห็นมัน”
ตอนนี้ผมมีเพจเกี่ยวกับ การออกกำลังกายครับ ผมทำเป็นบทความ ติดตามผมได้ที่
https://www.facebook.com/hunpeaforu/?ref=hl
อาจจะมีขี้โม้ไปบ้าง ผมก็ขออภัยด้วยนะครับ ^_^ และในสุดท้ายนี้ ผมขอให้ทุกคนที่อยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำตามที่ตัวเองฝันไว้ให้ได้ ลงมือสิ !!! อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง!!! อ่านบทความของผมเสร็จแล้วก็รีบไปใส่ชุดกีฬาเลย เร็วๆๆๆๆ!!! และอย่าลืมคำนี้ครับ “ก่อนจะเลิก ทำไมถึงเริ่ม” แล้วลงมือทำมันซะ!!
....จัดไป!!!....