=============
จอมใจอเวจี
=============
: Psycho G.
<ไปพบงานเก่าเก็บทิ้งไว้หลายปี เสียดาย...เลยเอามาปัดฝุ่นเรียบเรียงใหม่
เวอร์ชันเก่าที่ผ่านมาถือว่าโมฆะ^^.....>
บทที่ 1 แรกพบ
หุบเขาอเวจีหม่นมัวเลือนรางฟากฟ้าไร้เดือนดาว พื้นดินปนหินขรุขระแตกระแหงประดับต้นไม้ตายซากไหม้ดำเกรียมหงิกงอสลับโขดหินใหญ่น้อยเรียงรายไปจรดแนวเขาสูงทะมึน กลุ่มควันเปลวไฟปะทุพุ่งออกมาจากผิวพื้นใกล้ไกลหลายจุดส่งประกายสว่างวูบวาบเป็นระยะ ทำให้มองเห็นเศษซากชิ้นส่วนของบรรดาภูตนรกอเวจีอัปลักษณ์กระจัดกระจายเกลื่อนกราดไปทั่วหุบเขามรณะ กลิ่นคาวเลือดฉุนเฉียวอบอวลบ่งบอกถึงการต่อสู้ดุเดือดรุนแรงเพิ่งผ่านพ้นไป
บุรุษหนุ่มในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำเก็บดาบอาบเลือดเข้าฝัก หน้ากากโลหะสีขาวปิดใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกม่านผมสีดำยาวประบ่า ปีศาจนรกนอกรีตตัวหลุดท้ายถูกตัดหัวแยกร่างเรียบร้อย ภารกิจตามล่าสังหารฝูงปีศาจเสร็จสิ้นสมบูรณ์
พวกโลกมืดเรียกเขาว่าไนท์......ปีศาจมือสังหารฝีมือดีกับงานไล่ล่าพวกปีศาจที่หลบหนีออกจากโลกมืด ไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าแท้จริงของเขาเพราะสวมหน้ากากโลหะสีขาวตลอดเวลาเมื่อออกปฏิบัติการ
แต่หลังการจบสิ้นภารกิจล่าสุดปีศาจหนุ่มยังไม่ยอมออกจากพื้นที่มรณะ มีกระแสจิตบางอย่างรบกวนกำลังจิตใจของเขาแผ่ลงมาจากท้องฟ้า ความรู้สึกบางเบาแต่เหนียวแน่นชนิดไม่เคยสัมผัสมาก่อนสะกดร่างสูงยืนให้ยืนนิ่งเหมือนกำลังรอคอยอย่างไม่ตั้งใจ
ท้องฟ้าของโลกมืดพลันมีประกายเจิดจรัสสวยงามกระจายโรยรายปรายโปรยราวสายฝนแห่งดวงดาว กลางม่านระยิบพร่างพราวมีลูกแก้วใหญ่เปล่งประกายสุกใสดวงหนึ่งลอยตกลงด้านหลังเนินเขาด้านหน้าห่างออกไปไม่มากนัก มีเสียงระเบิดกังวานกระหึ่มก่อนมีไฟพะเนียงพุ่งขึ้นเป็นเกล็ดแก้วประกายดาววับวาวสว่างจ้า
นักล่าปีศาจยืนมองปรากฏการณ์ประหลาดอย่างประหลาดใจ สิ่งรบกวนความรู้สึกคล้ายตกลงมาจากฟากฟ้าและส่งออกมาจากหลังเนินเขานี่เอง ทำให้ตัดสินใจก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปยังทิศทางการตกของลูกแก้วประหลาด เหตุการณ์เมื่อครู่กระตุ้นความสนใจจนยากเกินกว่าจะสะบัดหน้าหนี
ด้านหลังของเนินเขาเคยเป็นดงไม้ใหญ่ตายซากแต่ตอนนี้พากันล้มระเนระนาดกระจัดกระจาย กลางดงไม้ปรากฏหลุมอันน่าจะเกิดจากการระเบิดเมื่อครู่ ปากหลุมกว้างประมาณสามวาความลึกประมาณสองช่วงแขน กลุ่มควันสีขาวยังคงลอยกรุ่นอ้อยอิ่งละอองดาวพราวแสงยังพร่างพรม เกล็ดแก้วประกายดาวลอยวนให้ความสว่างเรืองรองราวประทีปอเวจี แต่สิ่งปรากฏอยู่ในหลุมต่างหากทำให้นักรบแห่งอเวจีต้องชะงัก
เคยมีเรื่องราวปรัมปราเกี่ยวกับเทพธิดาร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบนลงมาโลกมนุษย์ แต่ไม่เคยมีเรื่องไหนเคยบอกเล่าถึงการตกของเทพธิดาลงมาในดินแดนนรกอเวจี ทว่าร่างที่ขดตัวนิ่งอยู่ในหลุมเบื้องหน้าไม่น่าจะเป็นอื่นไกลไปได้นอกจากเป็นเทพธิดาผู้หลุดหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์ ใบหน้าขาวนวลเนียนเป็นประกายในชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์เส้นผมดำขลับราวแพรไหมหลับพริ้มราวไม่รับรู้กับการพลัดหลงเข้ามาในดินแดนเลวร้ายน่าสะพรึงกลัว
อะไรกันชักนำนางฟ้าแสนสวยคนนี้ลงมาอยู่ในโลกมืด
แสงกระพริบวับแวมจากประกายละอองดาวจำนวนมากกระจายเวียนวนสว่างไสว บางส่วนลอยเข้ามาใกล้ ปีศาจหนุ่มยกมือขึ้นมาสัมผัสอย่างไม่ตั้งใจให้หิ่งห้อยละอองดาวลอยวนตามนิ้วมือราวตกอยู่ในห้วงภวังค์เร้นลับ จนต้องยืนนิ่งเป็นรูปปั้น รู้ด้วยสัญชาตญาณทันทีว่าความรู้สึกเร้นลับรบกวนจิตใจต้องมาจากร่างหญิงสาวผู้กำลังนอนอยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นอน แม้ว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ตาม แต่รู้สึกถึงความผูกพันพิเศษพิสดารอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าเป็นเหล่าปีศาจนอกรีตยังพอถาโถมเข้าฟาดฟันให้พินาศย่อยยับโดยไม่ต้องติดใจอะไรมากมาย แต่หญิงสาวลึกลับผู้มากับลูกแก้วประกายดาวทำให้เกิดรู้สึกสับสนอับจนปัญญาไปในทันที สิ่งเดียวพอจะเดาได้คือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่นำหญิงสาวบนฟากฟ้าส่งลงมาถึงพื้นอเวจี สิ่งนั้นต้องแตกสลายหายไปหมดสิ้นแล้วหลังจากทำภารกิจส่งตัวลงมาจากเบื้องบนอย่างเรียบร้อย
ขณะยืนจ้องมองอย่างสับสนทำอะไรไม่ถูก ร่างของหญิงสาวแห่งดวงดาวเริ่มขยับไหวเหมือนกำลังได้สติ ดวงตาหรี่เรียวเคียวจันทร์เปิดกว้างขึ้นทีละน้อย นัยน์ตาดำขลับกระพริบถี่เร็วมีประกายวับวาวพราวพรายอยู่ภายในเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตาโพลงจ้องมองมาอย่างตื่นตระหนกพร้อมเสียงกรีดร้องลั่นสนั่น เมื่อเห็นใครบางคนกำลังยืนนิ่งจ้องมองอยู่เบื้องหน้าออกไปไม่ไกลนัก ผวาลุกนั่งถอยไปชนขอบหลุมด้านหลังทำให้ถอยต่อไปไม่ได้อีกต่อไป
อีดใจต่อมาเหมือนพอตั้งสติได้มือขวาของหญิงสาวสอดเข้าไปในแขนเสื้อยาวข้างซ้าย ดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา ด้วยสีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตกใจสับสนหวาดกลัว
“ถอยออกไปนะ เจ้าปีศาจ อย่าเข้ามาใกล้”
เสียงหวานใสกังวานน่าฟังแม้จะอยู่ในอารมณ์อันยากต่อการควบคุม พลางยื่นมีดสั้นออกไปข้างหน้าด้วยท่าทางป้องกันตัวสุดชีวิต ด้วยมือสั่นระริก ภาพของบุรุษชุดดำผมยาวสวมหน้ากากสีขาวเย็นชาไร้จิตใจ ยืนทะมึนท่ามกลางเกล็ดแก้วประกายดาวพราวแสงตัดฉากหลังเป็นความหม่นมัวน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย
เปลวไฟปะทุครืนขึ้นมาจากรอยแยกของพื้นดินด้านข้างจนสว่างจ้าไปชั่วครู่ ทำให้ต่างฝ่ายสามารถสังเกตรูปร่างหน้าตาท่าทางกันและกันได้ชัดเจนมากขึ้นอีก แต่ยังปักหลักนิ่งอยู่ในตำแหน่งของตนเอง ไม่มีใครเคลื่อนไหวราวกับกำลังหยั่งเชิงกันและกัน
หลังจากจ้องหน้ากันหลายอึดใจนักล่าปีศาจเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นก่อนด้วยเสียงเย็นชาว่า
“เจ้าเป็นใคร”
หญิงสาวผู้มาจากฟากฟ้าไกลเขม้นมองหน้ากากของคนถามอย่างหวาดระแวง ไม่ตอบคำถามในทันที ค่อยขยับตัวลุกขึ้นยืนทีละน้อยด้วยท่าทางระมัดระวังตัวสุดขีด ปลายมีดชี้ไปข้างหน้าตลอดเวลา ก่อนย้อนถามเสียงสั่นๆว่า
“แล้วเจ้าเป็นใคร”
บุรุษอเวจีนิ่งเงียบไปราวกับไม่พอใจต่อการย้อนถาม ส่ายหน้าไปมาเหมือนรำคาญใจก่อนหมุนตัวหันหลังทำท่าจะเดินหนีจากไป ลักษณะอาการแบบนั้นทำให้ความรู้สึกที่ว่ากำลังโดนคุกคามมุ่งร้ายลดวูบหายไปในความรู้สึกของหญิงสาวจากฟากฟ้าหลายส่วนทันที เพราะอย่างน้อยคนหันหลังเดินหนีก็หมายถึงการไม่เข้ามาทำร้าย
“เดี๋ยวก่อน...”
คราวนี้เธอกล้าพอจะเป็นคนร้องเรียกด้วยเสียงอันดัง หลังจากขบคิดอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกร้อนรนและไม่แน่ใจกับสถานการณ์ของตนเอง คนเดินหนีอย่างน้อยสามารถสื่อสารกันรู้เรื่องคงพอทำให้รู้อะไรมากขึ้นได้บ้าง ปีศาจหนุ่มหันมามองพลางทำท่าเหมือนไม่สนใจแล้วหันหลังกลับอีกครั้ง
“เดี๋ยว...เจ้าจะไปไหน”
ร่างสูงหยุดชะงักอย่างไม่ตั้งใจ แม้ว่ากำลังเดินห่างออกมาแต่กระแสรบกวนจิตใจยังรุนแรงชัดเจนไม่จางหาย เป็นความรู้สึกเร้นลับไม่เคยสัมผัสรับรู้มาก่อน
“ข้าไม่มีธุระอะไรกับเจ้า ไม่รู้จักด้วยซ้ำ”
หันหลังตอบเสียงหนักๆ เหมือนไม่อยากพูดคุย แต่ผู้มาเยือนจากฟากฟ้าดูเหมือนไม่มีทางเลือกเสียแล้วเพราะคำถามมากมายวิ่งอยู่ในความคิดเต็มไปหมด
“ข้าเพียงอยากถามอะไรนิดหน่อยเท่านั้น”
เสียงหวานใสร้องเรียกอีกแต่คู่กรณีเริ่มก้าวเดินหนีทำท่าอยากหนีไปให้พ้นโดยเร็วที่สุด ประกายดาววาววับเข้มจัดฉายจากนัยน์ตาคู่สวยทันทีและเกิดอาการลืมตัวแบบคนใจร้อนเนื่องจากมองหาก้อนหินสักก้อนก็ไม่ทันการเลยกึ่งปากึ่งโยนมีดสั้นออกจากมือแบบไม่รู้ตัว กะว่าให้ลอยไปกระแทกศีรษะของคนเดินหนีพอรู้สึกตัวเท่านั้น ลอยมีดหลุดมือออกไปแล้วพลันใจหายวาบยกมือปิดปากปิดด้วยความตกใจเพราะความจริงไม่ได้ตั้งใจทำร้าย เพียงเป็นไปด้วยอารมณ์ร้อนของคนเจ้าอารมณ์ยามโดนขัดใจเท่านั้น
มือสังหารแห่งยมโลกผู้จัดเจนกับการรบมาอย่างโชกโชนหมุนตัวกลับมือขวายกขึ้นคว้าจับด้ามมีดที่ลอยเข้ามาได้อย่างแม่นยำง่ายดาย ก่อนหันหน้าไปทางเจ้าของมีดผู้อยู่ในอาการตกใจกับผลงานของตัวเอง ท่าทางหวาดผวาของอีกฝ่ายทำให้ความขุ่นเคืองของปีศาจหนุ่มลดวูบลงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ และก็รู้เช่นกันว่าคู่กรณีคนงามอารมณ์ร้ายกาจเอาเรื่องเลยทีเดียว
“เจ้าทำอะไร..”
เจ้าถิ่นเอ่ยปากสั้นๆอีกครั้ง ไม่ตำหนิว่ากล่าวแต่ก้มหน้าสำรวจมีดสั้นในมือไปมาก่อนโยนมีดขึ้นไปในอากาศ เหมือนกะจะให้หล่นใส่เจ้าของผู้ไม่รู้ว่าควรจะยื่นมือออกไปรับหรือหลบหลีกดี สุดท้ายตัดสินใจกระโดดหลบออกไปด้านข้าง มีดหล่นลงพื้นเฉียดข้อเท้าไปเพียงนิดเดียว
“คิดจะฆ่ากันหรือไง....”
คราวนี้น้ำเสียงหวานใสเปลี่ยนเป็นโกรธจัดต่อการหวุดหวิดหวาดเสียวกับคมมีด ประกายดาวในดวงตาระริกไหวอย่างคนเจ้าอารมณ์
“แล้วเจ้าล่ะ อยู่ดีๆก็โยนมีดใส่ข้าแบบไม่มีเหตุผล”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเจ้านะ...แค่โยนใส่เท่านั้น ไม่ได้ขว้างสุดแรงกะให้ตายสักหน่อย เจ้าเดินหนีข้าทำไม...” หญิงสาวยังคงสาเหตุผลมาค้านด้วยอาการขุ่นมัวแม้สายตายังออกแววหวาดหวั่นอยู่ก็ตาม
“ทำไมจะเดินหนีไม่ได้”
“ไม่มีใครเดินหนีข้าแบบนี้”
"ก็ข้านี่ไง...”
เสียงตอบเย็นชาแบบไม่ถนอมน้ำใจทำให้ความโมโหพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้สาวผู้มาเยือนสูดลมหายใจลึกพยายามระงับสติอารมณ์อย่างลำบากยากเย็น ก้มลงหยิบมีดขึ้นมาเก็บไว้ในแขนเสื้อตามเดิมและเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีดสั้นวางอยู่บนพื้น ไม่ได้เอาส่วนปลายปักลงมา หมายถึงว่าคนโยนมีดไม่มีเจตนาทำร้ายอะไร แต่ช่างเถอะเรื่องนั้น หญิงสาวคิดในใจ...อย่างน้อยได้อาวุธกลับคืนก็พออุ่นใจขึ้นบ้างแม้รู้ว่าอาวุธในมือแทบไร้ความหมายกับอีกฝ่าย หญิงสาวฉลาดพอจะรู้ว่าคนน่ากลัวราวปีศาจหน้ากากเบื้องหน้าไม่มีประโยชน์อะไรจะไปต่อกรด้วยเชิงอาวุธแน่นอน
“ข้ามีเรื่องจะถามสักนิด” น้ำเสียงปรับระดับเป็นอ่อนโยนลงแม้จะแอบกัดฟันกรอดอยู่ในใจก็ตาม
“บอกข้าหน่อยว่านี่มันที่ไหน”
“เจ้าคิดว่าเป็นที่ไหนล่ะ” คนถูกถามเป็นฝ่ายย้อนถามบ้าง
“เจ้าตอบข้าดีๆได้ไหม อย่ามาย้อนถามได้ไหม”
“ก็เจ้ายังย้อนถามข้าได้”
“เอาล่ะๆ ตกลงต่อไปนี้ข้าไม่ย้อนถามก็ได้”
หญิงสาวแห่งดวงดาวกัดฟันพูดข่มอารมณ์สุดชีวิต พยายามสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายแต่เนื่องจากมีหน้ากากสีขาวปิดกั้นมองเห็นเฉพาะช่องนัยน์ตาดำมืดไร้ความรู้สึกใดๆ จึงยากจะสังเกตเห็นสีหน้าอารมณ์ได้แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงกำลังหยั่งเชิงคาดเดาอะไรอยู่ในใจเช่นกัน
“ที่นี่คือขอบนรกอเวจี”
เสียงทุ้มห้าวตอบเรียบๆ อย่างเป็นทางการครั้งแรก แต่ทำให้คนฟังรู้สึกหนาวเหน็บและเย็นยะเยือกจับจิตขึ้นมาทันที หันไปมองรอบข้างอย่างไม่แน่ใจแล้วก็ต้องเบิกตากว้างตกตะลึงจนประสาทชาค้างตัวแข็งทื่อ
เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่ารอบด้านเต็มไปด้วยดงไม้ตายซากและพื้นดินแตกระแหง บางส่วนของพื้นดินมีเปลวไฟลุกโชนราวกับมีเชื้อเพลงอยู่ภายใน ฝูงนกการูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเกินจินตนาการโฉบบินไปมาตามแนวป่า บางตัวระเบิดเป็นไฟพะเนียงกลางอากาศก่อนแตกดับสลาย ในความสลัวเลือนรางเงามืดไกลออกไปนัยน์ตาคมวาวราวแสงไฟของสัตว์ร้ายไหววูบวาบเป็นระยะตามแนวป่า บรรยากาศวังเวงและน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ไม่ต้องอธิบายอะไรก็รู้แล้วว่าสถานการณ์เลวร้ายสุดขีดแบบนี้มันนรกชัดๆ
“ข้าตกนรกจริงหรือนี่ ข้ายังไม่ตายนี่นา”
หลังจากยืนนิ่งตัวแข็งเนิ่นนานจึงมีเสียงหวานครางแผ่วสั่นเครือสะท้อนความหวาดกลัวภายในจิตใจ ใบหน้าซีดเผือดสามารถมองเห็นได้จากแสงแห่งเกล็ดแก้วประกายดาวที่ยังคงลอยวนเวียนไปมาอยู่รอบกาย ปีศาจหนุ่มจ้องมองอย่างเงียบงันเนิ่นนานจึงเอ่ยห้วนๆ ว่า
“หมดธุระข้าแล้ว ข้าไปล่ะ”
.......
จอมใจอเวจี บทที่ 1...แรกพบ (เรียบเรียงใหม่ทั้งหมด)
จอมใจอเวจี
=============
: Psycho G.
<ไปพบงานเก่าเก็บทิ้งไว้หลายปี เสียดาย...เลยเอามาปัดฝุ่นเรียบเรียงใหม่
เวอร์ชันเก่าที่ผ่านมาถือว่าโมฆะ^^.....>
บทที่ 1 แรกพบ
หุบเขาอเวจีหม่นมัวเลือนรางฟากฟ้าไร้เดือนดาว พื้นดินปนหินขรุขระแตกระแหงประดับต้นไม้ตายซากไหม้ดำเกรียมหงิกงอสลับโขดหินใหญ่น้อยเรียงรายไปจรดแนวเขาสูงทะมึน กลุ่มควันเปลวไฟปะทุพุ่งออกมาจากผิวพื้นใกล้ไกลหลายจุดส่งประกายสว่างวูบวาบเป็นระยะ ทำให้มองเห็นเศษซากชิ้นส่วนของบรรดาภูตนรกอเวจีอัปลักษณ์กระจัดกระจายเกลื่อนกราดไปทั่วหุบเขามรณะ กลิ่นคาวเลือดฉุนเฉียวอบอวลบ่งบอกถึงการต่อสู้ดุเดือดรุนแรงเพิ่งผ่านพ้นไป
บุรุษหนุ่มในชุดเสื้อคลุมยาวสีดำเก็บดาบอาบเลือดเข้าฝัก หน้ากากโลหะสีขาวปิดใบหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกม่านผมสีดำยาวประบ่า ปีศาจนรกนอกรีตตัวหลุดท้ายถูกตัดหัวแยกร่างเรียบร้อย ภารกิจตามล่าสังหารฝูงปีศาจเสร็จสิ้นสมบูรณ์
พวกโลกมืดเรียกเขาว่าไนท์......ปีศาจมือสังหารฝีมือดีกับงานไล่ล่าพวกปีศาจที่หลบหนีออกจากโลกมืด ไม่เคยมีใครเห็นใบหน้าแท้จริงของเขาเพราะสวมหน้ากากโลหะสีขาวตลอดเวลาเมื่อออกปฏิบัติการ
แต่หลังการจบสิ้นภารกิจล่าสุดปีศาจหนุ่มยังไม่ยอมออกจากพื้นที่มรณะ มีกระแสจิตบางอย่างรบกวนกำลังจิตใจของเขาแผ่ลงมาจากท้องฟ้า ความรู้สึกบางเบาแต่เหนียวแน่นชนิดไม่เคยสัมผัสมาก่อนสะกดร่างสูงยืนให้ยืนนิ่งเหมือนกำลังรอคอยอย่างไม่ตั้งใจ
ท้องฟ้าของโลกมืดพลันมีประกายเจิดจรัสสวยงามกระจายโรยรายปรายโปรยราวสายฝนแห่งดวงดาว กลางม่านระยิบพร่างพราวมีลูกแก้วใหญ่เปล่งประกายสุกใสดวงหนึ่งลอยตกลงด้านหลังเนินเขาด้านหน้าห่างออกไปไม่มากนัก มีเสียงระเบิดกังวานกระหึ่มก่อนมีไฟพะเนียงพุ่งขึ้นเป็นเกล็ดแก้วประกายดาววับวาวสว่างจ้า
นักล่าปีศาจยืนมองปรากฏการณ์ประหลาดอย่างประหลาดใจ สิ่งรบกวนความรู้สึกคล้ายตกลงมาจากฟากฟ้าและส่งออกมาจากหลังเนินเขานี่เอง ทำให้ตัดสินใจก้าวเท้ายาวๆ ตรงไปยังทิศทางการตกของลูกแก้วประหลาด เหตุการณ์เมื่อครู่กระตุ้นความสนใจจนยากเกินกว่าจะสะบัดหน้าหนี
ด้านหลังของเนินเขาเคยเป็นดงไม้ใหญ่ตายซากแต่ตอนนี้พากันล้มระเนระนาดกระจัดกระจาย กลางดงไม้ปรากฏหลุมอันน่าจะเกิดจากการระเบิดเมื่อครู่ ปากหลุมกว้างประมาณสามวาความลึกประมาณสองช่วงแขน กลุ่มควันสีขาวยังคงลอยกรุ่นอ้อยอิ่งละอองดาวพราวแสงยังพร่างพรม เกล็ดแก้วประกายดาวลอยวนให้ความสว่างเรืองรองราวประทีปอเวจี แต่สิ่งปรากฏอยู่ในหลุมต่างหากทำให้นักรบแห่งอเวจีต้องชะงัก
เคยมีเรื่องราวปรัมปราเกี่ยวกับเทพธิดาร่วงหล่นลงมาจากเบื้องบนลงมาโลกมนุษย์ แต่ไม่เคยมีเรื่องไหนเคยบอกเล่าถึงการตกของเทพธิดาลงมาในดินแดนนรกอเวจี ทว่าร่างที่ขดตัวนิ่งอยู่ในหลุมเบื้องหน้าไม่น่าจะเป็นอื่นไกลไปได้นอกจากเป็นเทพธิดาผู้หลุดหล่นลงมาจากสรวงสวรรค์ ใบหน้าขาวนวลเนียนเป็นประกายในชุดยาวสีขาวบริสุทธิ์เส้นผมดำขลับราวแพรไหมหลับพริ้มราวไม่รับรู้กับการพลัดหลงเข้ามาในดินแดนเลวร้ายน่าสะพรึงกลัว
อะไรกันชักนำนางฟ้าแสนสวยคนนี้ลงมาอยู่ในโลกมืด
แสงกระพริบวับแวมจากประกายละอองดาวจำนวนมากกระจายเวียนวนสว่างไสว บางส่วนลอยเข้ามาใกล้ ปีศาจหนุ่มยกมือขึ้นมาสัมผัสอย่างไม่ตั้งใจให้หิ่งห้อยละอองดาวลอยวนตามนิ้วมือราวตกอยู่ในห้วงภวังค์เร้นลับ จนต้องยืนนิ่งเป็นรูปปั้น รู้ด้วยสัญชาตญาณทันทีว่าความรู้สึกเร้นลับรบกวนจิตใจต้องมาจากร่างหญิงสาวผู้กำลังนอนอยู่เบื้องหน้าอย่างแน่นอน แม้ว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยก็ตาม แต่รู้สึกถึงความผูกพันพิเศษพิสดารอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าเป็นเหล่าปีศาจนอกรีตยังพอถาโถมเข้าฟาดฟันให้พินาศย่อยยับโดยไม่ต้องติดใจอะไรมากมาย แต่หญิงสาวลึกลับผู้มากับลูกแก้วประกายดาวทำให้เกิดรู้สึกสับสนอับจนปัญญาไปในทันที สิ่งเดียวพอจะเดาได้คือไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามที่นำหญิงสาวบนฟากฟ้าส่งลงมาถึงพื้นอเวจี สิ่งนั้นต้องแตกสลายหายไปหมดสิ้นแล้วหลังจากทำภารกิจส่งตัวลงมาจากเบื้องบนอย่างเรียบร้อย
ขณะยืนจ้องมองอย่างสับสนทำอะไรไม่ถูก ร่างของหญิงสาวแห่งดวงดาวเริ่มขยับไหวเหมือนกำลังได้สติ ดวงตาหรี่เรียวเคียวจันทร์เปิดกว้างขึ้นทีละน้อย นัยน์ตาดำขลับกระพริบถี่เร็วมีประกายวับวาวพราวพรายอยู่ภายในเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาอย่างน่าประหลาด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเบิกตาโพลงจ้องมองมาอย่างตื่นตระหนกพร้อมเสียงกรีดร้องลั่นสนั่น เมื่อเห็นใครบางคนกำลังยืนนิ่งจ้องมองอยู่เบื้องหน้าออกไปไม่ไกลนัก ผวาลุกนั่งถอยไปชนขอบหลุมด้านหลังทำให้ถอยต่อไปไม่ได้อีกต่อไป
อีดใจต่อมาเหมือนพอตั้งสติได้มือขวาของหญิงสาวสอดเข้าไปในแขนเสื้อยาวข้างซ้าย ดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมา ด้วยสีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตกใจสับสนหวาดกลัว
“ถอยออกไปนะ เจ้าปีศาจ อย่าเข้ามาใกล้”
เสียงหวานใสกังวานน่าฟังแม้จะอยู่ในอารมณ์อันยากต่อการควบคุม พลางยื่นมีดสั้นออกไปข้างหน้าด้วยท่าทางป้องกันตัวสุดชีวิต ด้วยมือสั่นระริก ภาพของบุรุษชุดดำผมยาวสวมหน้ากากสีขาวเย็นชาไร้จิตใจ ยืนทะมึนท่ามกลางเกล็ดแก้วประกายดาวพราวแสงตัดฉากหลังเป็นความหม่นมัวน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าอยู่ในห้วงแห่งฝันร้าย
เปลวไฟปะทุครืนขึ้นมาจากรอยแยกของพื้นดินด้านข้างจนสว่างจ้าไปชั่วครู่ ทำให้ต่างฝ่ายสามารถสังเกตรูปร่างหน้าตาท่าทางกันและกันได้ชัดเจนมากขึ้นอีก แต่ยังปักหลักนิ่งอยู่ในตำแหน่งของตนเอง ไม่มีใครเคลื่อนไหวราวกับกำลังหยั่งเชิงกันและกัน
หลังจากจ้องหน้ากันหลายอึดใจนักล่าปีศาจเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นก่อนด้วยเสียงเย็นชาว่า
“เจ้าเป็นใคร”
หญิงสาวผู้มาจากฟากฟ้าไกลเขม้นมองหน้ากากของคนถามอย่างหวาดระแวง ไม่ตอบคำถามในทันที ค่อยขยับตัวลุกขึ้นยืนทีละน้อยด้วยท่าทางระมัดระวังตัวสุดขีด ปลายมีดชี้ไปข้างหน้าตลอดเวลา ก่อนย้อนถามเสียงสั่นๆว่า
“แล้วเจ้าเป็นใคร”
บุรุษอเวจีนิ่งเงียบไปราวกับไม่พอใจต่อการย้อนถาม ส่ายหน้าไปมาเหมือนรำคาญใจก่อนหมุนตัวหันหลังทำท่าจะเดินหนีจากไป ลักษณะอาการแบบนั้นทำให้ความรู้สึกที่ว่ากำลังโดนคุกคามมุ่งร้ายลดวูบหายไปในความรู้สึกของหญิงสาวจากฟากฟ้าหลายส่วนทันที เพราะอย่างน้อยคนหันหลังเดินหนีก็หมายถึงการไม่เข้ามาทำร้าย
“เดี๋ยวก่อน...”
คราวนี้เธอกล้าพอจะเป็นคนร้องเรียกด้วยเสียงอันดัง หลังจากขบคิดอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกร้อนรนและไม่แน่ใจกับสถานการณ์ของตนเอง คนเดินหนีอย่างน้อยสามารถสื่อสารกันรู้เรื่องคงพอทำให้รู้อะไรมากขึ้นได้บ้าง ปีศาจหนุ่มหันมามองพลางทำท่าเหมือนไม่สนใจแล้วหันหลังกลับอีกครั้ง
“เดี๋ยว...เจ้าจะไปไหน”
ร่างสูงหยุดชะงักอย่างไม่ตั้งใจ แม้ว่ากำลังเดินห่างออกมาแต่กระแสรบกวนจิตใจยังรุนแรงชัดเจนไม่จางหาย เป็นความรู้สึกเร้นลับไม่เคยสัมผัสรับรู้มาก่อน
“ข้าไม่มีธุระอะไรกับเจ้า ไม่รู้จักด้วยซ้ำ”
หันหลังตอบเสียงหนักๆ เหมือนไม่อยากพูดคุย แต่ผู้มาเยือนจากฟากฟ้าดูเหมือนไม่มีทางเลือกเสียแล้วเพราะคำถามมากมายวิ่งอยู่ในความคิดเต็มไปหมด
“ข้าเพียงอยากถามอะไรนิดหน่อยเท่านั้น”
เสียงหวานใสร้องเรียกอีกแต่คู่กรณีเริ่มก้าวเดินหนีทำท่าอยากหนีไปให้พ้นโดยเร็วที่สุด ประกายดาววาววับเข้มจัดฉายจากนัยน์ตาคู่สวยทันทีและเกิดอาการลืมตัวแบบคนใจร้อนเนื่องจากมองหาก้อนหินสักก้อนก็ไม่ทันการเลยกึ่งปากึ่งโยนมีดสั้นออกจากมือแบบไม่รู้ตัว กะว่าให้ลอยไปกระแทกศีรษะของคนเดินหนีพอรู้สึกตัวเท่านั้น ลอยมีดหลุดมือออกไปแล้วพลันใจหายวาบยกมือปิดปากปิดด้วยความตกใจเพราะความจริงไม่ได้ตั้งใจทำร้าย เพียงเป็นไปด้วยอารมณ์ร้อนของคนเจ้าอารมณ์ยามโดนขัดใจเท่านั้น
มือสังหารแห่งยมโลกผู้จัดเจนกับการรบมาอย่างโชกโชนหมุนตัวกลับมือขวายกขึ้นคว้าจับด้ามมีดที่ลอยเข้ามาได้อย่างแม่นยำง่ายดาย ก่อนหันหน้าไปทางเจ้าของมีดผู้อยู่ในอาการตกใจกับผลงานของตัวเอง ท่าทางหวาดผวาของอีกฝ่ายทำให้ความขุ่นเคืองของปีศาจหนุ่มลดวูบลงเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตั้งใจ และก็รู้เช่นกันว่าคู่กรณีคนงามอารมณ์ร้ายกาจเอาเรื่องเลยทีเดียว
“เจ้าทำอะไร..”
เจ้าถิ่นเอ่ยปากสั้นๆอีกครั้ง ไม่ตำหนิว่ากล่าวแต่ก้มหน้าสำรวจมีดสั้นในมือไปมาก่อนโยนมีดขึ้นไปในอากาศ เหมือนกะจะให้หล่นใส่เจ้าของผู้ไม่รู้ว่าควรจะยื่นมือออกไปรับหรือหลบหลีกดี สุดท้ายตัดสินใจกระโดดหลบออกไปด้านข้าง มีดหล่นลงพื้นเฉียดข้อเท้าไปเพียงนิดเดียว
“คิดจะฆ่ากันหรือไง....”
คราวนี้น้ำเสียงหวานใสเปลี่ยนเป็นโกรธจัดต่อการหวุดหวิดหวาดเสียวกับคมมีด ประกายดาวในดวงตาระริกไหวอย่างคนเจ้าอารมณ์
“แล้วเจ้าล่ะ อยู่ดีๆก็โยนมีดใส่ข้าแบบไม่มีเหตุผล”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเจ้านะ...แค่โยนใส่เท่านั้น ไม่ได้ขว้างสุดแรงกะให้ตายสักหน่อย เจ้าเดินหนีข้าทำไม...” หญิงสาวยังคงสาเหตุผลมาค้านด้วยอาการขุ่นมัวแม้สายตายังออกแววหวาดหวั่นอยู่ก็ตาม
“ทำไมจะเดินหนีไม่ได้”
“ไม่มีใครเดินหนีข้าแบบนี้”
"ก็ข้านี่ไง...”
เสียงตอบเย็นชาแบบไม่ถนอมน้ำใจทำให้ความโมโหพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้สาวผู้มาเยือนสูดลมหายใจลึกพยายามระงับสติอารมณ์อย่างลำบากยากเย็น ก้มลงหยิบมีดขึ้นมาเก็บไว้ในแขนเสื้อตามเดิมและเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีดสั้นวางอยู่บนพื้น ไม่ได้เอาส่วนปลายปักลงมา หมายถึงว่าคนโยนมีดไม่มีเจตนาทำร้ายอะไร แต่ช่างเถอะเรื่องนั้น หญิงสาวคิดในใจ...อย่างน้อยได้อาวุธกลับคืนก็พออุ่นใจขึ้นบ้างแม้รู้ว่าอาวุธในมือแทบไร้ความหมายกับอีกฝ่าย หญิงสาวฉลาดพอจะรู้ว่าคนน่ากลัวราวปีศาจหน้ากากเบื้องหน้าไม่มีประโยชน์อะไรจะไปต่อกรด้วยเชิงอาวุธแน่นอน
“ข้ามีเรื่องจะถามสักนิด” น้ำเสียงปรับระดับเป็นอ่อนโยนลงแม้จะแอบกัดฟันกรอดอยู่ในใจก็ตาม
“บอกข้าหน่อยว่านี่มันที่ไหน”
“เจ้าคิดว่าเป็นที่ไหนล่ะ” คนถูกถามเป็นฝ่ายย้อนถามบ้าง
“เจ้าตอบข้าดีๆได้ไหม อย่ามาย้อนถามได้ไหม”
“ก็เจ้ายังย้อนถามข้าได้”
“เอาล่ะๆ ตกลงต่อไปนี้ข้าไม่ย้อนถามก็ได้”
หญิงสาวแห่งดวงดาวกัดฟันพูดข่มอารมณ์สุดชีวิต พยายามสังเกตท่าทางของอีกฝ่ายแต่เนื่องจากมีหน้ากากสีขาวปิดกั้นมองเห็นเฉพาะช่องนัยน์ตาดำมืดไร้ความรู้สึกใดๆ จึงยากจะสังเกตเห็นสีหน้าอารมณ์ได้แต่ก็พอจะเดาได้ว่าคงกำลังหยั่งเชิงคาดเดาอะไรอยู่ในใจเช่นกัน
“ที่นี่คือขอบนรกอเวจี”
เสียงทุ้มห้าวตอบเรียบๆ อย่างเป็นทางการครั้งแรก แต่ทำให้คนฟังรู้สึกหนาวเหน็บและเย็นยะเยือกจับจิตขึ้นมาทันที หันไปมองรอบข้างอย่างไม่แน่ใจแล้วก็ต้องเบิกตากว้างตกตะลึงจนประสาทชาค้างตัวแข็งทื่อ
เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่ารอบด้านเต็มไปด้วยดงไม้ตายซากและพื้นดินแตกระแหง บางส่วนของพื้นดินมีเปลวไฟลุกโชนราวกับมีเชื้อเพลงอยู่ภายใน ฝูงนกการูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวเกินจินตนาการโฉบบินไปมาตามแนวป่า บางตัวระเบิดเป็นไฟพะเนียงกลางอากาศก่อนแตกดับสลาย ในความสลัวเลือนรางเงามืดไกลออกไปนัยน์ตาคมวาวราวแสงไฟของสัตว์ร้ายไหววูบวาบเป็นระยะตามแนวป่า บรรยากาศวังเวงและน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต ไม่ต้องอธิบายอะไรก็รู้แล้วว่าสถานการณ์เลวร้ายสุดขีดแบบนี้มันนรกชัดๆ
“ข้าตกนรกจริงหรือนี่ ข้ายังไม่ตายนี่นา”
หลังจากยืนนิ่งตัวแข็งเนิ่นนานจึงมีเสียงหวานครางแผ่วสั่นเครือสะท้อนความหวาดกลัวภายในจิตใจ ใบหน้าซีดเผือดสามารถมองเห็นได้จากแสงแห่งเกล็ดแก้วประกายดาวที่ยังคงลอยวนเวียนไปมาอยู่รอบกาย ปีศาจหนุ่มจ้องมองอย่างเงียบงันเนิ่นนานจึงเอ่ยห้วนๆ ว่า
“หมดธุระข้าแล้ว ข้าไปล่ะ”
.......