The All Write Project 2 : รัตติกาลอุบัติ : หนึ่งคืนกับเตียงสีขาว

กระทู้สนทนา


(เรื่องสั้นชุด : รัตติกาลอุบัติ)


หนึ่งคืนกับเตียงสีขาว



           เรื่องบางเรื่อง... ฉันไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับฉัน หรือเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน
           เรื่องบางเรื่อง... เราจะได้ยินกันมาแสนนาน ว่า เมื่อมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ และก็ต้องมีตาย สังขารของมนุษย์แม้ตายไปก็เอาอะไรไม่ได้ ศาสนาพุทธมีคำสอนไว้เช่นนั้น
           
           บางเรื่อง... คุณกลับนึกย้อนกลับไป ว่าทำไม? ทำไมฉันไม่ทำแบบนี้? ฉันเสียดายจริงๆ ฉันอยากย้อนเวลา...
           บางเรื่อง... จะมีสักกี่คนที่มีโอกาส? โอกาสได้แก้ตัว โอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำ?
           
           ฉันนั่งจ้องภาพท้องนาสีเขียวอ่อนสุดสายตา ภาพสวยดั่งต้องมนตร์ ภูเขาสีเขียวเข้มซึ่งอยู่ไกลลิบตระหง่านรอบราวกับเป็นกำแพงสูงใหญ่รอบท้องทุ่งขนาบสองทิศ คือทิศตะวันออกและตะวันตก วันนี้นภาเริ่มเปลี่ยนสี ไล่สีจากสีฟ้าทางฝั่งภูเขาตะวันออกจนเกือบเป็นสีส้มทางภูเขาฝั่งตะวันตก ราวกับโดมทรงกลมกว้าง หันทางไหนก็เป็นมีเพียงท้องฟ้าสีสวย

             พระอาทิตย์อัสดง ลงลับยังขอบภูเขาซึ่งอยู่อีกฝั่ง ไม่มีเมฆมาบดบังความงดงามของท้องฟ้า ยิ่งรับกับสีเขียวของท้องนาและภูเขา ยิ่งสวยขึ้นมากนัก แรงลมอ่อนพัดยอดข้าวปลิวไสวเป็นคลื่น ฉันยอดอกรับสายลมอย่างมีความสุข อากาศเองก็เริ่มเย็นขึ้นเล็กน้อย
           
           “เจ้าหนู!!”

           โธ่... หมดกัน พ่อนะพ่อ เรียกฉันตอนอารมณ์อยากวาดภาพกำลังมา

           อารมณ์ศิลปินของฉันกำลังปะทุขึ้น เพราะภาพสวยๆ หมด... จ้ะ หมดกัน หมดกัน...  ไม่อยากจะบ่นหรอกนะ พ่อชอบขัดอารมณ์สุนทรีของฉันเสียจริง ฉันแวะมาหาพ่อที่ท้องทุ่งนา อันเป็นที่ทำงานของพ่อ ที่จริง... แม่ให้ฉันมาตามพ่อกลับบ้าน ด้วยวันนี้ต้องไปงานเลี้ยงแต่งงานของเพื่อนแม่

           ช่วงนี้แม่บอกว่า พ่อทำงานหนักมากจนไม่ได้นอน ยิ่งต้องตื่นแต่เช้ามืด ก่อนฉันตื่นอีก เพื่อไปตัดหญ้าให้บรรดาลูกชายของพ่อ เอ่อ... ฉันหมายถึงพวกวัวหน่ะ

           ตอนนี้พ่อรักพวกลูกวัวนั้นมาก วันนี้พ่อแวะมาดูนา พ่องานเยอะ และเป็นชายที่อยู่ไม่ค่อยนิ่งนะ เขาชอบหาอะไรมาทำตลอด แต่ประโยคที่พ่อชอบบอกเสมอคือ ‘ก็ทำไว้ให้เจ้าหนูนั่นแหละ’

           ปลูกข้าว... บอกว่า เจ้าหนูจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อข้าว
           เลี้ยงวัว... บอกว่า เจ้าหนูจะได้มีเพื่อนเล่น
           ปลูกไม้สัก... บอกว่า อีกยี่สิบปี เจ้าหนูจะได้เอาไปปลูกบ้าน
           ซื้อที่ดิน... บอกว่า เจ้าหนูจะได้มีที่ดินไว้ทำประโยชน์ในอนาคต
           ทำงาน... บอกว่า จะได้มีเงินให้เจ้าหนูเรียนหนังสือ ต่อไปจะได้สบาย ไม่ลำบาก

           ฉันซึ้งใจนะ... แต่บางทีก็พักบ้างก็ได้เปล่า ฉันรู้เสมอว่า พ่อกับแม่ทำเพื่อฉันมากมาย ฉันถึงพยายามตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เท่าที่เด็กโง่ๆ อย่างฉันจะทำได้...

           พ่อชอบบอกว่า ‘ตั้งใจเรียนไป เรื่องอื่นไม่ต้องคิดเรื่องอื่น พยายามเรียนสูงเข้าไว้ อนาคตจะไม่ลำบาก พ่อจะได้ไม่อายเขา อุตส่าห์ส่งไปเรียน ฮ่าฮ่า’

           พ่อชอบพูดแล้วก็หัวเราะ เข้ากับเสียงของแม่ที่จะพูดคล้ายๆ กัน

           ฉันเองพยายามตั้งใจเรียนให้มากที่สุด... เกรดเฉลี่ยก็พอให้พ่อแม่คุยได้อยู่... พ่อแม่ชอบจริงเลย ไปคุยเรื่องเกรดลูกกับคนอื่น ฉันบอกหลายรอบแล้ว ว่า ‘อย่าคุยเรื่องเกรดลูกกับใคร หนูอายนะ’

           ระหว่างที่ฉันกำลังคิดเรื่อยเปื่อย ฉันสังเกตริมฝีปากของพ่อเป็นสีม่วงคล่ำ ผิดปกติมาก... พ่อไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน พ่อเดินวน รอบรถกระบะ คล้ายกับว่า เขาไม่รู้จะทำอะไรเป็นอย่างต่อไป สับสนอะไรบางอย่าง?

           ฉันตรงเข้าไปหาพ่อ จับแขนพ่อไว้ “พ่อเป็นอะไร หาอะไรอ่ะ”

           “... อือ รถ อื้อ...” พ่อหยุดคิด สะบัดมือของฉันออก แล้วเดินวนรอบรถอีกครั้ง “รถ... บ้าน...”

           “พ่อเป็นอะไรคะ ไม่พูดล่ะ” ฉันจับแขนพ่อไว้อีกครั้ง สงสัยมากว่าพ่อเป็นอะไรกันแน่  ฉันจับพ่อไว้เพื่อไม่ให้พ่อร้อนรนมากกว่านี้ พ่อดูทุรนทุราย เหมือนกันว่าไปไหนไม่ถูก คิดประโยคง่ายๆ ไม่ได้เลย เขาชี้ไปที่นั่งคนขับ ก่อนจะไปนั่งที่เบาะข้างๆ ฉันจึงวิ่งไปขึ้นรถ เพื่อขับรถกลับบ้านก่อน

           ฉันขับรถไม่คล่องนัก โดยเฉพาะทางขรุขระบนถนนลูกรังแบบนี้ เพราะความเป็นห่วงพ่อ จึงทำให้ขี่กลับมาบ้านอย่างสวัสดิภาพ ไม่ไปตกหลุมบ่อที่ไหนเสียก่อน

           “แม่!! ออกมาดูพ่อหน่อย พ่อเป็นอะไรไม่รู้ค่ะ” ฉันตะโกน

           หลังจากนั้นวิ่งขึ้นไปบนบ้านชั้นสองอย่างรีบเร่ง แม่ทำหน้าเหว่อเพราะกำลังทำอาหารอยู่ ฉันรีบปิดเตาแก็ส แล้วดึงแขนแม่เพื่อให้ไปดูพ่อ ซึ่งมีอาการผิดปกติ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก

           แม่เห็นพ่อ ประโยคแรกที่แม่พูดคือ “ปากเบี้ยวหรือเปล่า ยิ้มซิ ยิ้ม...”

           พ่อมีอาการหน้าเบี้ยวเล็กหน่อย ยิ้มแล้วหน้าฝั่งขวามีอาการคล้ายยกยิ้มไม่ขึ้น ปากสีม่วงเข้ม เดินไปเดินมาคล้ายกับสับสน

            แม่บอกให้ฉันรีบดันหลังพ่อไปขึ้นรถ  วิ่งไปขับรถเอง เธอบ่นไปตลอดทางเรื่องพ่อทำงานหนัก ไม่นอน แถมดื่มเบียร์อีก ไม่ดูแลตัวเอง ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาทำไง

            แม่บ่นไป แต่ฉันรู้ว่าแม่เป็นกังวลเรื่องพ่อเช่นกัน เธอทำบ่นเพื่อให้หายเครียด

            ในที่สุด... พวกเราก็มาถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัด พ่อถูกพาไปยังห้องฉุกเฉิน ส่วนฉันกับแม่นั่งรออยู่ที่หน้าห้อง เป็นเวลาค่ำที่ยังมีหลายคนนั่งรอแบบฉันอยู่... ในระหว่างนั้น เกิดอุบัติเหตุรถยนตร์ชนกัน ได้มีการส่งตัวคนเจ็บมาที่โรงพยาบาลกันอลม่าน ฉันเพียงมองตามไปเท่านั้น จิตใจยังเป็นห่วงชายวัยกลางคน ที่เข้าไปห้องฉุกเฉินเป็นเวลากว่าสามสิบนาทีแล้ว


+++มีต่อค่ะ+++
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่