หมู่บ้านโป่งแง้งในความคิดของฉัน (คิดดีๆก่อนไป มันอาจจะไม่ง่ายเหมือนในคลิปที่รีวิวและค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด)

การจะเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านนั้นมีแค่สองทางคือล่องแพตามแม่น้ำไปกลับเดินข้ามภูเขาไป
ซึ่งพวกเราเลือกเดินข้ามภูเขาไประยะทางคนนำทางบอกประมาณสี่กิโลคือขึ้นเขาสองโลลงเขาอีกสองโลแต่ในโทรศัพท์นั้นจับได้ประมาณหกกิโลกว่า
จุด Start เป็นป่าไม้แห้งแห้งเดินผ่านดงกล้วยไปโดยตลอดทางที่เดินเข้าไปนั้นเป็นความชันของภูเขาประมาณ 45 องศาเรียกว่าเข่าแทบจะติดอก
เดินผ่านสวนชาวบ้านมั้งเดินไปเรื่อยเรื่อยมีแต่ทางขึ้นขึ้นขึ้นแล้วก็ขึ้นไม่มีจุดไหนสบายเลย พอขึ้นไปสักพักประมาณ 15 นาทีจะมีแนวสันเขายาวยาวแห้งแล้งให้เดินผ่านไป ตรงนี้จะมีพวกอุปกรณ์ทำการเกษตรและยาฆ่าหญ้าของชาวบ้านวางอยู่
จากนั้นก็เดินขึ้นไปเรื่อยเรื่อย ผ่านเข้าไปในป่าไปเรื่อยเรื่อย บอกเลยว่าแค่จุดสตาร์ทยิ่งเดินก็ยิ่งท้อ ผ่านไปเรื่อยเรื่อยประมาณ 1:30ชั่วโมง พวกเราต้องเดินไปหยุดไปจุดนี้ทั้งน้ำทั้งขนมที่มีพกออกมาใช้เรื่อยเรื่อย อากาศทั้งแห้งและเหนื่อย แต่สำหรับคนที่ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ก็อาจจะสบายแต่สำหรับใครที่ร่างกายไม่แข็งแรงกระดูกไม่ดีแนะนำว่าอย่าพาตัวเองมาลำบากเหมือนพวกเราเลย เดินไปสักพัก จะมีไม้กั้นทางอยู่คล้ายๆทางปิดแล้วพวกเราก็เดินข้ามจุดนี้ไปพี่คนนำบอกว่าเค้าเอาไว้กั้นควาย ซึ่งจุดตรงนี้หมายถึงว่าจะเดินขึ้นไปอีกนิดนิดหน่อยแล้วก็จะเดินลงยาวยาวยาวแบบหัวเข่าใหม่ใกล้ฉัน ในระหว่างเดินป่าอะไรที่ไม่เคยได้ยินก็จะได้ยินเช่นน้องคนที่เดินไปด้วยกันบอกว่าเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ยังไม่เคยลำบากเท่านี้มาก่อนเลย
การเดินเข้าไปในป่าไม่มีแม้แต่ลมไม่มีเสียงนกไม่มีอะไรเลยเงียบมากเหมือนเดินเข้าไปในป่าดงดิบทั้งทั้งที่ปกติตามวิสัยของป่าน่าจะมีอะไรให้ดูหรือได้ยินบ้าง เงียบจนคิดว่าอาจจะมีเรื่องได้ไปเล่าในเดอะ Ghost
เดินไปสักพักก็มีชาวเขาในหมู่บ้านเดินตามหลังมาเรื่อยเรื่อยมีต้นเกี๊ยะให้ดูนิดหน่อย มีต้นสนให้ดูบ้างประปราย พอถึงจุดสิ้นสุดความสูงก็กลายเป็นทางลงเขายาวยาวในทางลงนั้นมีต้นไม้ล้มบ้างมีพื้นที่เล็กๆให้เดินซึ่งอันตรายมากถ้าเกิดว่าลื่นหรือล้มคุณสามารถลงไปอยู่ด้านล่าง อาจจะต้องรอกู้ภัยมาถึงซึ่งน่าจะนานมาก
พอเดินไปสักพักก็จะเห็นหลังคาหมู่บ้านประปรายประมาณซัก 10 หลัง มีหมาเป็นฝูงวิ่งมาต้อนรับ
เมื่อเดินไปถึงจุดพักตรงใกล้ๆน้ำของหมู่บ้านตรงนี้สามารถสั่งอาหารกินได้แต่ต้องรอชาวบ้านจุดไฟในเตาถ่านให้เสร็จก่อนซึ่งถ้าหิวแนะนำว่าต้องกินขนมรองท้องไปก่อน
จากนั้นก็ถึงเวลาเดินทางกลับซึ่งมีอยู่สองทางคือหนึ่งเดินกลับทางภูเขาทางเดิมกับสองล่องแพกับ มายังจุดที่จอดรถ
ซึ่งพวกเรานั้นเลือกที่จะล่องแพกลับมายังจุดที่จอดรถโดยตอนแรกทราบเพียงว่าล่องแพลำละ 1000 บาท คิดไว้ว่าคงรวมกับคนถอเรียบร้อยแล้ว
แต่ไม่ใช่เลยกลับกลายเป็นว่าเค้าให้เราจ้างคนถอดเพิ่มอีกสองคนคนละ 500 เท่ากับว่าแพรลำนึงพวกเราจะเสียเงิน 2000 บาทซึ่ง ตอนดูในคลิปรีวิวเรากลับเห็นว่าแพรรำเดิมบางครั้งก็นั่งได้ตั้งหลายคน แต่นี่พวกเราถูกแบ่งให้นั่งแพละสี่คนโอเคพวกเราบางคนอาจจะตัวใหญ่ จึงถูกแบ่งให้นั่งสองแพแพละสี่คน แต่ว่าก็มีคนตัวเล็กเล็กมาด้วย สรุปแล้ว = พวกเราจ่ายแพรวมกัน 4000 บาทระยะการเดินทางมาประมาณ ชั่วโมงนึง ซึ่งเรามองว่ามันแพงเกินไปสำหรับค่าแพ ซึ่งเค้าอ้างว่าแพนี้จะต้องมัดใหม่ทุกครั้งในการรับลูกค้าแต่สิ่งที่เห็นคือเมื่อมาถึงจุดส่งพวกชาวบ้านกับเผาแพรทิ้ง ซึ่งตรงนี้เราไม่โอเคอย่างมากกับการที่คุณเผาแพทิ้งหรือว่าคุณคิดว่าคุณได้เงินแพละ 2000 บาทกับเผาทิ้งได้สบายสบาย เราไม่เชื่อว่าแพรไม้ไผ่ที่พวกคุณใช้นั้นจะซื้อมาจากด้านล่างทั้งหมดเราเชื่อว่าต้องมีบ้างที่ตัดออกจากป่าไม้เอามาทำ เพราะในระหว่างเดินทางบนภูเขาเราก็เห็นว่าต้นไม้ถูกตัดออกไปบ้าง จริงๆอยากให้มีหน่วยงานเข้าไปตรวจสอบบ้างเพราะว่าค่าเดินทางนั้นแพงมากเหมือนกับเป็นการบีบบังคับคือถ้าคุณเดินกลับไปบนภูเขาไม่ไหวคุณก็ต้องนั่งแพออกไป เป็น ความรู้สึกที่เหมือนผูกมัดมือชกแต่สำหรับใครที่ไปแล้วมีความสุขเราก็ยินดีด้วย
แต่สำหรับเราเราว่ามันเสียความรู้สึกมาก หมู่บ้านอาจจะสวยเงียบสงบ แต่การกระทำแบบนี้มันไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ และต้องขออภัยด้วยที่พวกเราอาจจะศึกษาข้อมูลค่าใช้จ่ายไม่ครบถ้วนแต่นี่คือความรู้สึกของการเดินทางไปหมู่บ้านนี้ทั้งเสียใจและรู้สึกแย่ไปในพร้อมพร้อมกัน
ปล. ความคิดของฉันล้วนล้วน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่