ยาวหน่อยนะครับ พอดีเป็นบทความตอบคำถาม สมัยเรียนมหา'ลัย กลับมาอ่านแล้วแบบ ตอนนั้น มีความคิดแบบนี้ด้วยหรอเนี่ยยย 555
ปล.มาให้อ่านเฉยๆนะครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบใช้ชีวิตอย่างสงบสุขครับ 5555 เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ติชมได้ครับผม
เริ่มกันเลยครับ
จากหัวข้อดังกล่าว ผมไม่อาจให้หัวข้อที่ชัดเจนนัก แต่ที่จะกล่าวต่อไปนี้จะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อให้เห็นได้มากยิ่งขึ้น
ผมขอย้อนกลับไปสู่สังคมยุคดึกดำบรรพ์ ที่เป็นเพียงสังคมในระดับเล็กๆ อยู่กันเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ไม่มีระบบกฎหมาย ไม่มีระบบความคุ้มครองเสรีภาพ ไม่มีอะไรที่เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นสังคมที่แน่ชัด แต่กระนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของคน หรือสัตว์ ไม่ว่ากลุ่มจะเล็กหรือใหญ่โตแค่ไหน ต้องมี “ผู้นำ” เสมอในทุกๆกลุ่ม ซึ่งผู้นำในที่นี้ในสมัยก่อนนั้น มักเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ต้องผ่านการต่อสู้ แย่งชิงโดยการรบราฆ่าฟันเสียเป็นส่วนใหญ่ จนเป็นที่ยอมรับของกลุ่มคนละแวกดังกล่าว และตั้งตนเป็นผู้กุมอำนาจของกลุ่ม
แต่แล้วการเป็นผู้นำในยุคเก่าแก่นั้นไม่ได้ทำให้ผู้อยู่ใต้อำนาจได้รับการปกครองที่ดีแต่อย่างใด รวมทั้งผู้นำก็ใช่ว่าจะเป็นผู้นำได้ตลอดไปเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่า ต้องมีผู้ท้าชิงหรือคอยหาช่วงเวลาที่ดีเพื่อโค่นผู้นำเพื่อที่จะเป็นผู้นำแทน หรือการถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงจากผู้นำ จึงทำให้เรามองเห็นถึงระบบการปกครองแบบมีผู้นำนั้นดูไม่ค่อยจะดีนักแต่สมัยโบราณแล้ว
แม้การปกครองโดยมีผู้นำนั้นดูจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังคงมีต่อมาเรื่อยๆจนสมัยที่เริ่มมีความเป็นสังคมอย่างชัดเจน อย่างสมัยยุคหินเป็นต้นมา จนกระทั่งยุคกรีก-โรมัน ที่เริ่มมีการตรากฎหมายขึ้นใช้อย่างชัดเจน (หากไม่นับรวมยุคอียิปต์โบราณที่ไม่มีหลักฐานอย่างชัดแจ้ง) เช่นกฎหมาย 12 โต๊ะ ซึ่งทำให้การปกครองโดยมีผู้นำเริ่มมีกฎเกณฑ์หรือมาตรการเพิ่มขึ้นสำหรับผู้อยู่ใต้อำนาจ ให้อยู่ในกฎระเบียบที่ตั้งขึ้น หากมีการฝ่าฝืนอย่างใด ต้องถูกลงโทษอย่างนั้น ตามที่กำหนดไว้โดยไม่มีข้อแม้ หรือข้อถกเถียงใดๆ
เมื่อกาลเวลาค่อยๆผ่านไป การพัฒนานั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนสังคมกว้างใหญ่นั้นก็สามารถควบคุมได้โดยคนๆเดียว หรือเพียง กฎหมายเพียงไม่กี่ฉบับก็เปลี่ยนโลกทั้งใบได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตัวอย่างก็มีมากมายให้ได้ประจักษ์ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อ
เพราะอะไรประเทศๆหนึ่ง มีคนหนึ่งคนที่เป็นชนชั้นสูงหรือเป็นราชาของประเทศนั้น พูดอะไร สั่งให้ทำอะไร ประเทศนั้นก็จะเป็นไปตามที่ราชาคนนั้นพูดหรือสั่งให้ทำ หรือทำไมโลกทั้งใบที่มีประเทศเป็นร้อยๆประเทศต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไม่กี่ฉบับ เช่นของ UN หรือองค์การต่างๆของโลก
คนหนึ่งคนมีอำนาจอะไร แตกต่างจากเราตรงไหน แล้วกฎหมายสำคัญอย่างไร ทำไมเราต้องเคารพมัน เป็นคำถามที่อาจเกิดขึ้นในสังคมผู้อยู่ใต้อำนาจผู้นำหรือผู้ปกครอง
ผมเองเคยสงสัยในคำถามใหญ่ๆที่มักได้คำตอบเดิมๆอย่างเช่น กฎหมายเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร ซึ่งผมไม่อาจเห็นด้วยเลยกับคำตอบเหล่านั้นเพราะผมเห็นว่ากฎหมายนั้น แม้จะถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นธรรมมากแค่ไหน ก็ไม่อาจถูกใช้อย่างเป็นธรรมได้ หากผู้ใช้ไม่มีความเป็นธรรม แล้วใครเป็นผู้สร้างกฎหมาย แล้วใครเป็นผู้ใช้
ก็คงไม่พ้นชนชั้นนำ ผู้นำของสังคมไงครับที่เป็นคนสร้างกฎหมายขึ้นมาด้วยเหตุผลต่างๆนานา ที่ผู้อยู่ใต้อำนาจไม่อาจรับรู้ข้อเท็จจริงที่แท้จริงแห่งการสร้างกฎหมายนั้นขึ้น เพราะเหตุที่พวกเขาไม่อาจสร้างกฎหมายได้อย่างผู้นำ และไม่มีอำนาจมากพอที่จะทำได้ แล้วผู้ใช้ก็คงไม่พ้นกลุ่มที่ร่วมสร้างกฎหมายนั้นขึ้น เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากกฎหมาย ทั้งสิ้น อีกทั้งยังรู้ถึงกฎหมาย เข้าถึงกฎหมายได้มากกว่าใครๆ
อาจจริงที่ปัจจุบัน ผู้อยู่ใต้อำนาจการปกครองสามารถเข้าถึงกฎหมายได้บ้าง อย่างนักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเล่าเรียนผ่านการอ่านจาก
ตำราด้วยตนเอง แต่สุดท้ายแล้วเรามีอำนาจมากพอที่จะให้กฎหมายที่เราเรียนรู้ไปนั้นเป็นไปตามเจตนารมณ์ของตัวเราเองได้หรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในด้านนี้ อย่างทนายความ อัยการจนผู้พิพากษาที่จะเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่เรา แม้ใครจะมีความรู้มากแค่ไหน จะเก่งล้นฟ้ามาจากไหนก็อยู่ใต้อำนาจคนเหล่านี้ทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าการมีสังคม จากการพัฒนามาเรื่อยจนปัจจุบัน ทำให้เกิดขึ้นซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “ชนชั้น” แม้ใครหลายคนไม่อาจเห็นด้วย แต่จากสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสังคมปัจจุบันนั้นเป็นสังคมชนชั้นโดยทั้งสิ้น สังคมถูกขีดเส้นแบ่งมากขึ้น การเข้าถึงโอกาสในด้านต่างๆของคนในสังคมก็ถูกจำกัดมากขึ้น
ตัวอย่างเช่นการเข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาล คนมีบัตรประกันสังคมหรือสุขภาพ กับคนที่ไม่มี ก็มากพอที่จะทำให้เห็นถึงความแตกต่างของการเข้ารับการรักษา เพราะอะไรถึงต้องมี “เอกสิทธิ์” เพราะอะไรต้องมี “สิทธิพิเศษ” ทำไมสังคมต้องมีการจัดให้มีสิ่งเหล่านี้ เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือ หรือเพื่ออะไร
ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมปัจจุบันที่อยู่ในภาวการณ์เปลี่ยนแปลงตามยุคที่เรียกว่า “โลกาภิวัตน์” สังคมทุนนิยมเสรีที่แทบจะครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก ที่สั่งสอนให้คนในสังคม มองทุกสิ่งให้เป็นตัวเงิน ให้เป็นทุน เพื่อเงิน เพื่อความก้าวหน้า เพื่อการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจ แต่จริงๆแล้ว เพื่ออะไร เพื่อตัวเองสักครั้งหรือไม่ หรือระบบต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงระบบที่อำนวยผู้มีอำนาจในด้านนี้เท่านั้น เราเป็นเพียงบันไดให้ชนชั้นนำเหยียบเราขึ้นไปหรือเปล่า
กฎหมายในสังคมปัจจุบันนั้นจะถูกแก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมอยู่นับครั้งไม่ถ้วน เพราะเหตุใด กฎหมายที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมหรืออย่างไร หรือไม่ดีพอหรือเปล่า เพราะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วจนกฎหมายไม่อาจตามคุ้มครองได้ทัน หรือเพราะพวกเขาต้องการสร้างกฎหมายมาคุ้มครองพวกเขาเองจากการกระทำในทางสังคมที่ไม่เคยมีการคุ้มครอง หรือเพื่ออะไร เหตุผลต่างๆนานาที่อ้างประกอบการร่างกฎหมายเหล่านี้ จริงเท็จเพียงใด
กระบวนการตรวจสอบการตรากฎหมายก็คนในกลุ่มเดียวกันใช่หรือไม่ มีการตระเตรียม เข้าข้าง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันหรือไม่ ทำไมกลุ่มคนชาวบ้านไม่ได้เข้าไปนั่งในสภา ทำไมมีแต่หน้าเดิมๆ สกุลเดิมๆ ที่เข้าไปทำงานในด้านการปกครองละ แล้วก็สร้างกฎหมายขึ้นมา ทำให้สังคมที่มีผลกระทบจากกฎหมายเหล่านั้น ถูกมองข้ามถูกละเลย เสียงส่วนมากหายไปเหลือเพียงเสียงส่วนน้อย การเยียวยาสมกับความเสียหายมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างในมาบตาพุดเป็นอย่างไร
สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ระบบความคิดของคนในสังคมนั้นเปลี่ยนแปลงตามไปจริงหรือไม่ หากจริง จะเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลหรือไม่ แล้วบุคคลที่ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งของผู้นำ เขามีความคิดอย่างไร จะแตกต่างจากเราหรือไม่
หรือสังคมที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ระบบความคิดของคนเปลี่ยนไปแต่ไปทำให้กฎหมายต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะสังคม ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย คนในสังคมผู้ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายจึงต้องปรับตัวเองให้เข้ากับกฎหมายที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา จริงหรือไม่ หรือพวกเขาจะเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆเหล่านั้นที่พวกเขาไม่เห็นด้วยแล้วเสี่ยงต่อการถูกลงโทษเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือไม่
หรือที่แท้จริงแล้วสังคมหรือคนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่เป็นกลุ่มคนในสังคมที่อยู่ในระดับชนชั้นนำเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วทำการบิดเบือน เปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เข้าข่ายประโยชน์เพื่อตัวเอง จึงทำให้ระบบกฎหมายสั่นคลอนเปลี่ยนไป ผู้ได้รับผลกระทบก็คงไม่พ้นสังคมต่างๆที่ตกอยู่ในอำนาจของกฎหมายที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือเปล่า
กฎหมายนั้น แท้ที่จริงแล้วเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกๆเรื่องในสังคม แม้กระทั่งเรื่องของศาสนา แล้วประเด็นเรื่องการสร้างกฎหมายมาควบคุมด้านต่างๆ ก็อย่างที่กล่าวไปว่าเป็นกลุ่มๆหนึ่งในชนชั้นนำทั้งนั้นที่สร้างมันขึ้นมา โดยจะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น เราไม่อาจเข้าถึงได้ และคงไม่มีวันที่จะทราบข้อเท็จจริงได้หากไม่ได้เข้าไปทำงานในจุดนั้นจริงๆ โดยปกติของมนุษย์อยู่แล้วที่จะมีความเห็นแก่ตัว และทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และมักจะไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่ตนไม่มีความสัมพันธ์ร่วมด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเข้าใจถึงโครงสร้างการทำงานในสถาบันต่างๆในสังคมที่อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์
หากพูดถึงระบบอุปถัมภ์แล้ว หลายคนจะต้องทำใจอยู่พอสมควร เพราะในหลายๆประเทศนั้นก็มีระบบนี้อยู่เหมือนกัน และแน่นอน ว่าการก้าวหน้าในการทำงานล้วนแล้วมีผลจากระบบนี้ทั้งสิ้น สุดท้ายแล้ว มาตรการ กฎเกณฑ์ต่างๆที่มีนั้น ใช้ไม่ได้หรือ คำตอบคืออาจใช้ได้บ้างแต่สำหรับผู้ที่มีเส้นสาย มีสกุลใหญ่เป็นที่รู้จักกันในวงการทางสายนั้น ก็มักจะได้รับการข้ามขั้นตอนบางขั้นตอนไป หรือหากไม่มีการใช้ระบบอุปถัมภ์ ก็มักจะเข้าสู่เรื่องของ “เงินใต้โต๊ะ” เสียมากกว่า
ทำไมต้องอุปถัมภ์ ทำไมต้องใต้โต๊ะ หลายคนสงสัย แต่คนสงสัยก็คงไม่ใช่กลุ่มที่มีอำนาจในสังคม แต่เป็นกลุ่มที่ไม่มีอำนาจใดๆทางสังคมเลยต่างหาก จริงหรือไม่ ผู้ที่มักจะตั้งคำถามให้กับสังคม มักจะเป็นผู้ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆจากกฎหมาย หรือจากสังคมเสียเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเผาตัวเองจริงหรือไม่ พอถูกตั้งคำถามมากเข้า กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ก็จะออกมาคัดค้านคำถามเหล่านี้ก่อให้เกิดการแบ่งแยกคนในสังคมนั้นขึ้นเป็นสองกลุ่ม ดังจะเห็นได้จากปัญหาการชุมนุมแดงเหลืองที่ผ่านมาในไทย เป็นต้น
มองลึกเข้าไปอีกนิดจะมองเห็นกลุ่มคนในสังคมอีกกลุ่มที่แทบจะกลายเป็น “Invisible social” หรือ กลุ่มสังคมที่เป็นเหมือนอากาศ มองไม่เห็นตัวตน ไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องจากพวกเขาเลย อย่างชนกลุ่มน้อย ชนเขาต่างๆที่เรียกร้องหาความเป็นธรรมจากความไม่เป็นธรรมของกฎหมาย พวกเขาไม่มีอำนาจต่อรองใดๆกับผู้มีอำนาจในสังคม ต่างๆจากคนในสังคมที่พอมีอำนาจอยู่บ้างที่สามรถเรียกร้องจากหน่วยงานอื่นๆ หรือสื่อมวลชนที่จะช่วยเพิ่มเสียงเรียกร้องความเป็นธรรมให้มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสังคมโลก ทำให้หลายๆสิ่งเปลี่ยนแปลงตามไปตามกาลเวลา ทุกๆสิ่งถูกแทรกแซงด้วยน้ำมือมนุษย์ถูกควบคุมโดยมนุษย์ และสุดท้ายก็ถูกทำลายทิ้งโดยมนุษย์ ระบบการใช้ เงิน ใช้เครดิตในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย จากเดิมที่ ใช้ของแลกของ แต่ปัจจุบันที่ต้องใช้ เงิน ยิ่งทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงจากการเน้นสร้างไมตรี จากการแลกของ เป็น การเน้นสร้างกำไรจากการขาย การเกษตร เปลี่ยนแปลงไปเป็นอุตสาหกรรม ผลผลิตถูกละเลยประสิทธิภาพ แต่ถูกเน้นปริมาณจำนวน โดยทุกๆอย่างถูกควบคุมโดยอำนาจของ “เงิน”
ผลประโยชน์ คืออะไร ทำไมคนในสังคมจะอยู่ได้ต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อใดที่เกิดการขัดผลประโยชน์ต่อกันคือจุดสิ้นสุดแห่งความสัมพันธ์ทางสังคมทันทีจริงหรือไม่ ทำไมระบบโครงสร้างของสังคม ในสถาบันต่างๆ เริ่มผันตัวเองให้กลายเป็นสถาบันเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะสังคมเปลี่ยนไปหรือกฎหมายบังคับให้เปลี่ยนกันแน่ หรือเพราะผู้นำในสถาบันสังคมนั้นเปลี่ยนไปเองด้วยเหตุผลบางอย่าง
หลายสังคมจำใจต้องเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมเพื่อการอยู่รอด หลายสังคมเปลี่ยนแปลงสังคมของตัวเองเพื่อความอยู่รอดด้วยแรงผลักดันของคนในสังคมนั้นเอง หลายสังคม ยอมดื้อต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะอะไร หลายคนอาจตั้งคำถามว่า ทำไมสังคมสมัยนี้ถึงได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก หรือ ทำไมสังคมเหล่านี้ไม่พัฒนาเลยสักนิด หากการพัฒนาของสังคมมีประโยชน์ต่อคนในสังคมอย่างแท้จริง และถ้าหากการบังคับใช้กฎหมายนั้นมีประสิทธิภาพ และเมื่อผู้นำของสังคม มีความรับผิดชอบ และละอายต่อความชั่ว ทำไมบางสังคมถึงยังเข้าไม่ถึงการพัฒนาเสียที แล้วทำไมบางสังคมถึงได้พัฒนาอย่างรวดเร็วนัก
สรุปแล้วการเปลี่ยนแปลง หรือการพัฒนาของสังคม หรือของกฎหมาย นั้นมีผลกระทบต่อคนในสังคมทั้งสิ้น เสมอไปหรือไม่ แล้วแต่ประเด็นหรือเปล่า
**มีต่อนะครับ
กฎหมายกับการพัฒนาสังคม หรือเป็นเพียงเครื่องมือของคนชั้นนำ ?
ปล.มาให้อ่านเฉยๆนะครับ โดยส่วนตัวแล้วชอบใช้ชีวิตอย่างสงบสุขครับ 5555 เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ติชมได้ครับผม
เริ่มกันเลยครับ
จากหัวข้อดังกล่าว ผมไม่อาจให้หัวข้อที่ชัดเจนนัก แต่ที่จะกล่าวต่อไปนี้จะทำให้ท่านผู้อ่านเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อให้เห็นได้มากยิ่งขึ้น
ผมขอย้อนกลับไปสู่สังคมยุคดึกดำบรรพ์ ที่เป็นเพียงสังคมในระดับเล็กๆ อยู่กันเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ ไม่มีระบบกฎหมาย ไม่มีระบบความคุ้มครองเสรีภาพ ไม่มีอะไรที่เป็นการบ่งบอกถึงความเป็นสังคมที่แน่ชัด แต่กระนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของคน หรือสัตว์ ไม่ว่ากลุ่มจะเล็กหรือใหญ่โตแค่ไหน ต้องมี “ผู้นำ” เสมอในทุกๆกลุ่ม ซึ่งผู้นำในที่นี้ในสมัยก่อนนั้น มักเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ที่ต้องผ่านการต่อสู้ แย่งชิงโดยการรบราฆ่าฟันเสียเป็นส่วนใหญ่ จนเป็นที่ยอมรับของกลุ่มคนละแวกดังกล่าว และตั้งตนเป็นผู้กุมอำนาจของกลุ่ม
แต่แล้วการเป็นผู้นำในยุคเก่าแก่นั้นไม่ได้ทำให้ผู้อยู่ใต้อำนาจได้รับการปกครองที่ดีแต่อย่างใด รวมทั้งผู้นำก็ใช่ว่าจะเป็นผู้นำได้ตลอดไปเช่นกัน ดังจะเห็นได้ว่า ต้องมีผู้ท้าชิงหรือคอยหาช่วงเวลาที่ดีเพื่อโค่นผู้นำเพื่อที่จะเป็นผู้นำแทน หรือการถูกกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรงจากผู้นำ จึงทำให้เรามองเห็นถึงระบบการปกครองแบบมีผู้นำนั้นดูไม่ค่อยจะดีนักแต่สมัยโบราณแล้ว
แม้การปกครองโดยมีผู้นำนั้นดูจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็ยังคงมีต่อมาเรื่อยๆจนสมัยที่เริ่มมีความเป็นสังคมอย่างชัดเจน อย่างสมัยยุคหินเป็นต้นมา จนกระทั่งยุคกรีก-โรมัน ที่เริ่มมีการตรากฎหมายขึ้นใช้อย่างชัดเจน (หากไม่นับรวมยุคอียิปต์โบราณที่ไม่มีหลักฐานอย่างชัดแจ้ง) เช่นกฎหมาย 12 โต๊ะ ซึ่งทำให้การปกครองโดยมีผู้นำเริ่มมีกฎเกณฑ์หรือมาตรการเพิ่มขึ้นสำหรับผู้อยู่ใต้อำนาจ ให้อยู่ในกฎระเบียบที่ตั้งขึ้น หากมีการฝ่าฝืนอย่างใด ต้องถูกลงโทษอย่างนั้น ตามที่กำหนดไว้โดยไม่มีข้อแม้ หรือข้อถกเถียงใดๆ
เมื่อกาลเวลาค่อยๆผ่านไป การพัฒนานั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนสังคมกว้างใหญ่นั้นก็สามารถควบคุมได้โดยคนๆเดียว หรือเพียง กฎหมายเพียงไม่กี่ฉบับก็เปลี่ยนโลกทั้งใบได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตัวอย่างก็มีมากมายให้ได้ประจักษ์ถึงความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อ
เพราะอะไรประเทศๆหนึ่ง มีคนหนึ่งคนที่เป็นชนชั้นสูงหรือเป็นราชาของประเทศนั้น พูดอะไร สั่งให้ทำอะไร ประเทศนั้นก็จะเป็นไปตามที่ราชาคนนั้นพูดหรือสั่งให้ทำ หรือทำไมโลกทั้งใบที่มีประเทศเป็นร้อยๆประเทศต้องอยู่ภายใต้กฎหมายไม่กี่ฉบับ เช่นของ UN หรือองค์การต่างๆของโลก
คนหนึ่งคนมีอำนาจอะไร แตกต่างจากเราตรงไหน แล้วกฎหมายสำคัญอย่างไร ทำไมเราต้องเคารพมัน เป็นคำถามที่อาจเกิดขึ้นในสังคมผู้อยู่ใต้อำนาจผู้นำหรือผู้ปกครอง
ผมเองเคยสงสัยในคำถามใหญ่ๆที่มักได้คำตอบเดิมๆอย่างเช่น กฎหมายเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร ซึ่งผมไม่อาจเห็นด้วยเลยกับคำตอบเหล่านั้นเพราะผมเห็นว่ากฎหมายนั้น แม้จะถูกสร้างขึ้นมาให้เป็นธรรมมากแค่ไหน ก็ไม่อาจถูกใช้อย่างเป็นธรรมได้ หากผู้ใช้ไม่มีความเป็นธรรม แล้วใครเป็นผู้สร้างกฎหมาย แล้วใครเป็นผู้ใช้
ก็คงไม่พ้นชนชั้นนำ ผู้นำของสังคมไงครับที่เป็นคนสร้างกฎหมายขึ้นมาด้วยเหตุผลต่างๆนานา ที่ผู้อยู่ใต้อำนาจไม่อาจรับรู้ข้อเท็จจริงที่แท้จริงแห่งการสร้างกฎหมายนั้นขึ้น เพราะเหตุที่พวกเขาไม่อาจสร้างกฎหมายได้อย่างผู้นำ และไม่มีอำนาจมากพอที่จะทำได้ แล้วผู้ใช้ก็คงไม่พ้นกลุ่มที่ร่วมสร้างกฎหมายนั้นขึ้น เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากกฎหมาย ทั้งสิ้น อีกทั้งยังรู้ถึงกฎหมาย เข้าถึงกฎหมายได้มากกว่าใครๆ
อาจจริงที่ปัจจุบัน ผู้อยู่ใต้อำนาจการปกครองสามารถเข้าถึงกฎหมายได้บ้าง อย่างนักศึกษา หรือผู้ที่สนใจเล่าเรียนผ่านการอ่านจาก
ตำราด้วยตนเอง แต่สุดท้ายแล้วเรามีอำนาจมากพอที่จะให้กฎหมายที่เราเรียนรู้ไปนั้นเป็นไปตามเจตนารมณ์ของตัวเราเองได้หรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจในด้านนี้ อย่างทนายความ อัยการจนผู้พิพากษาที่จะเป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่เรา แม้ใครจะมีความรู้มากแค่ไหน จะเก่งล้นฟ้ามาจากไหนก็อยู่ใต้อำนาจคนเหล่านี้ทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าการมีสังคม จากการพัฒนามาเรื่อยจนปัจจุบัน ทำให้เกิดขึ้นซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “ชนชั้น” แม้ใครหลายคนไม่อาจเห็นด้วย แต่จากสิ่งที่ปรากฏอยู่ในสังคมปัจจุบันนั้นเป็นสังคมชนชั้นโดยทั้งสิ้น สังคมถูกขีดเส้นแบ่งมากขึ้น การเข้าถึงโอกาสในด้านต่างๆของคนในสังคมก็ถูกจำกัดมากขึ้น
ตัวอย่างเช่นการเข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาล คนมีบัตรประกันสังคมหรือสุขภาพ กับคนที่ไม่มี ก็มากพอที่จะทำให้เห็นถึงความแตกต่างของการเข้ารับการรักษา เพราะอะไรถึงต้องมี “เอกสิทธิ์” เพราะอะไรต้องมี “สิทธิพิเศษ” ทำไมสังคมต้องมีการจัดให้มีสิ่งเหล่านี้ เพื่ออะไร เพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือ หรือเพื่ออะไร
ยิ่งไปกว่านั้น ในสังคมปัจจุบันที่อยู่ในภาวการณ์เปลี่ยนแปลงตามยุคที่เรียกว่า “โลกาภิวัตน์” สังคมทุนนิยมเสรีที่แทบจะครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก ที่สั่งสอนให้คนในสังคม มองทุกสิ่งให้เป็นตัวเงิน ให้เป็นทุน เพื่อเงิน เพื่อความก้าวหน้า เพื่อการพัฒนาสังคมเศรษฐกิจ แต่จริงๆแล้ว เพื่ออะไร เพื่อตัวเองสักครั้งหรือไม่ หรือระบบต่างๆเหล่านี้เป็นเพียงระบบที่อำนวยผู้มีอำนาจในด้านนี้เท่านั้น เราเป็นเพียงบันไดให้ชนชั้นนำเหยียบเราขึ้นไปหรือเปล่า
กฎหมายในสังคมปัจจุบันนั้นจะถูกแก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมอยู่นับครั้งไม่ถ้วน เพราะเหตุใด กฎหมายที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมหรืออย่างไร หรือไม่ดีพอหรือเปล่า เพราะการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วจนกฎหมายไม่อาจตามคุ้มครองได้ทัน หรือเพราะพวกเขาต้องการสร้างกฎหมายมาคุ้มครองพวกเขาเองจากการกระทำในทางสังคมที่ไม่เคยมีการคุ้มครอง หรือเพื่ออะไร เหตุผลต่างๆนานาที่อ้างประกอบการร่างกฎหมายเหล่านี้ จริงเท็จเพียงใด
กระบวนการตรวจสอบการตรากฎหมายก็คนในกลุ่มเดียวกันใช่หรือไม่ มีการตระเตรียม เข้าข้าง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันหรือไม่ ทำไมกลุ่มคนชาวบ้านไม่ได้เข้าไปนั่งในสภา ทำไมมีแต่หน้าเดิมๆ สกุลเดิมๆ ที่เข้าไปทำงานในด้านการปกครองละ แล้วก็สร้างกฎหมายขึ้นมา ทำให้สังคมที่มีผลกระทบจากกฎหมายเหล่านั้น ถูกมองข้ามถูกละเลย เสียงส่วนมากหายไปเหลือเพียงเสียงส่วนน้อย การเยียวยาสมกับความเสียหายมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างในมาบตาพุดเป็นอย่างไร
สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ระบบความคิดของคนในสังคมนั้นเปลี่ยนแปลงตามไปจริงหรือไม่ หากจริง จะเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยเพียงใด มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคลหรือไม่ แล้วบุคคลที่ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งของผู้นำ เขามีความคิดอย่างไร จะแตกต่างจากเราหรือไม่
หรือสังคมที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ระบบความคิดของคนเปลี่ยนไปแต่ไปทำให้กฎหมายต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะสังคม ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย คนในสังคมผู้ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายจึงต้องปรับตัวเองให้เข้ากับกฎหมายที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา จริงหรือไม่ หรือพวกเขาจะเพิกเฉยต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆเหล่านั้นที่พวกเขาไม่เห็นด้วยแล้วเสี่ยงต่อการถูกลงโทษเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือไม่
หรือที่แท้จริงแล้วสังคมหรือคนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่เป็นกลุ่มคนในสังคมที่อยู่ในระดับชนชั้นนำเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วทำการบิดเบือน เปลี่ยนแปลงกฎหมายให้เข้าข่ายประโยชน์เพื่อตัวเอง จึงทำให้ระบบกฎหมายสั่นคลอนเปลี่ยนไป ผู้ได้รับผลกระทบก็คงไม่พ้นสังคมต่างๆที่ตกอยู่ในอำนาจของกฎหมายที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือเปล่า
กฎหมายนั้น แท้ที่จริงแล้วเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกๆเรื่องในสังคม แม้กระทั่งเรื่องของศาสนา แล้วประเด็นเรื่องการสร้างกฎหมายมาควบคุมด้านต่างๆ ก็อย่างที่กล่าวไปว่าเป็นกลุ่มๆหนึ่งในชนชั้นนำทั้งนั้นที่สร้างมันขึ้นมา โดยจะมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น เราไม่อาจเข้าถึงได้ และคงไม่มีวันที่จะทราบข้อเท็จจริงได้หากไม่ได้เข้าไปทำงานในจุดนั้นจริงๆ โดยปกติของมนุษย์อยู่แล้วที่จะมีความเห็นแก่ตัว และทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง และมักจะไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นที่ตนไม่มีความสัมพันธ์ร่วมด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเข้าใจถึงโครงสร้างการทำงานในสถาบันต่างๆในสังคมที่อยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์
หากพูดถึงระบบอุปถัมภ์แล้ว หลายคนจะต้องทำใจอยู่พอสมควร เพราะในหลายๆประเทศนั้นก็มีระบบนี้อยู่เหมือนกัน และแน่นอน ว่าการก้าวหน้าในการทำงานล้วนแล้วมีผลจากระบบนี้ทั้งสิ้น สุดท้ายแล้ว มาตรการ กฎเกณฑ์ต่างๆที่มีนั้น ใช้ไม่ได้หรือ คำตอบคืออาจใช้ได้บ้างแต่สำหรับผู้ที่มีเส้นสาย มีสกุลใหญ่เป็นที่รู้จักกันในวงการทางสายนั้น ก็มักจะได้รับการข้ามขั้นตอนบางขั้นตอนไป หรือหากไม่มีการใช้ระบบอุปถัมภ์ ก็มักจะเข้าสู่เรื่องของ “เงินใต้โต๊ะ” เสียมากกว่า
ทำไมต้องอุปถัมภ์ ทำไมต้องใต้โต๊ะ หลายคนสงสัย แต่คนสงสัยก็คงไม่ใช่กลุ่มที่มีอำนาจในสังคม แต่เป็นกลุ่มที่ไม่มีอำนาจใดๆทางสังคมเลยต่างหาก จริงหรือไม่ ผู้ที่มักจะตั้งคำถามให้กับสังคม มักจะเป็นผู้ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดๆจากกฎหมาย หรือจากสังคมเสียเป็นส่วนใหญ่ กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องมาเผาตัวเองจริงหรือไม่ พอถูกตั้งคำถามมากเข้า กลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์ก็จะออกมาคัดค้านคำถามเหล่านี้ก่อให้เกิดการแบ่งแยกคนในสังคมนั้นขึ้นเป็นสองกลุ่ม ดังจะเห็นได้จากปัญหาการชุมนุมแดงเหลืองที่ผ่านมาในไทย เป็นต้น
มองลึกเข้าไปอีกนิดจะมองเห็นกลุ่มคนในสังคมอีกกลุ่มที่แทบจะกลายเป็น “Invisible social” หรือ กลุ่มสังคมที่เป็นเหมือนอากาศ มองไม่เห็นตัวตน ไม่ได้ยินเสียงเรียกร้องจากพวกเขาเลย อย่างชนกลุ่มน้อย ชนเขาต่างๆที่เรียกร้องหาความเป็นธรรมจากความไม่เป็นธรรมของกฎหมาย พวกเขาไม่มีอำนาจต่อรองใดๆกับผู้มีอำนาจในสังคม ต่างๆจากคนในสังคมที่พอมีอำนาจอยู่บ้างที่สามรถเรียกร้องจากหน่วยงานอื่นๆ หรือสื่อมวลชนที่จะช่วยเพิ่มเสียงเรียกร้องความเป็นธรรมให้มากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของสังคมโลก ทำให้หลายๆสิ่งเปลี่ยนแปลงตามไปตามกาลเวลา ทุกๆสิ่งถูกแทรกแซงด้วยน้ำมือมนุษย์ถูกควบคุมโดยมนุษย์ และสุดท้ายก็ถูกทำลายทิ้งโดยมนุษย์ ระบบการใช้ เงิน ใช้เครดิตในการแลกเปลี่ยนซื้อขาย จากเดิมที่ ใช้ของแลกของ แต่ปัจจุบันที่ต้องใช้ เงิน ยิ่งทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงจากการเน้นสร้างไมตรี จากการแลกของ เป็น การเน้นสร้างกำไรจากการขาย การเกษตร เปลี่ยนแปลงไปเป็นอุตสาหกรรม ผลผลิตถูกละเลยประสิทธิภาพ แต่ถูกเน้นปริมาณจำนวน โดยทุกๆอย่างถูกควบคุมโดยอำนาจของ “เงิน”
ผลประโยชน์ คืออะไร ทำไมคนในสังคมจะอยู่ได้ต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อใดที่เกิดการขัดผลประโยชน์ต่อกันคือจุดสิ้นสุดแห่งความสัมพันธ์ทางสังคมทันทีจริงหรือไม่ ทำไมระบบโครงสร้างของสังคม ในสถาบันต่างๆ เริ่มผันตัวเองให้กลายเป็นสถาบันเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะสังคมเปลี่ยนไปหรือกฎหมายบังคับให้เปลี่ยนกันแน่ หรือเพราะผู้นำในสถาบันสังคมนั้นเปลี่ยนไปเองด้วยเหตุผลบางอย่าง
หลายสังคมจำใจต้องเปลี่ยนแปลงตามกระแสสังคมเพื่อการอยู่รอด หลายสังคมเปลี่ยนแปลงสังคมของตัวเองเพื่อความอยู่รอดด้วยแรงผลักดันของคนในสังคมนั้นเอง หลายสังคม ยอมดื้อต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพราะอะไร หลายคนอาจตั้งคำถามว่า ทำไมสังคมสมัยนี้ถึงได้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก หรือ ทำไมสังคมเหล่านี้ไม่พัฒนาเลยสักนิด หากการพัฒนาของสังคมมีประโยชน์ต่อคนในสังคมอย่างแท้จริง และถ้าหากการบังคับใช้กฎหมายนั้นมีประสิทธิภาพ และเมื่อผู้นำของสังคม มีความรับผิดชอบ และละอายต่อความชั่ว ทำไมบางสังคมถึงยังเข้าไม่ถึงการพัฒนาเสียที แล้วทำไมบางสังคมถึงได้พัฒนาอย่างรวดเร็วนัก
สรุปแล้วการเปลี่ยนแปลง หรือการพัฒนาของสังคม หรือของกฎหมาย นั้นมีผลกระทบต่อคนในสังคมทั้งสิ้น เสมอไปหรือไม่ แล้วแต่ประเด็นหรือเปล่า
**มีต่อนะครับ