ก็สมกับความอ่อนหัด เทียบได้กับความรู้ของคนยื่นฟ้องปีนั้น
ปี 53 คนตั้งประเด็นวางรูปคดีโดยยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งขอให้สั่งว่าการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในขณะนั้นเป็นไปโดยมิชอบ ขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอน อ้างเหตุละเมิดและกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้เปิดสถานีโทรทัศน์ แต่กลับไม่บรรยายฟ้องและคำขอท้ายฟ้องเพื่อให้คุ้มครองการชุมนุม และไม่อ้างเหตุชุมนุมที่มีพฤติการณ์ร้ายแรงของรัฐบาล
ปี 57 คนตั้งประเด็นวางรูปคดีโดยรู้ดีว่า ศาลจะไม่วินิจฉัยถึงอำนาจบริหาร จึงนำเรื่องการละเมิดและคุ้มครองการชุมนุมมาในบรรยายฟ้องและคำขอท้ายฟ้องอันเป็นการตั้งประเด็นตามม.254 วิแพ่งเรื่องการคุ้มครองชั่วคราว และม.273,276 สั่งห้ามกระทำการ อันเป็นการบังคับคดีโดยสภาพเปิดช่องไว้
อีกทั้งยังตั้งประเด็นของการชุมนุมถึงเหตุชุมนุมไว้สามประการ ว่า
1. ฝ่ายรัฐบาลได้มีการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เห็นว่าจำเลยที่ 1 น่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน
2. การเสนอแก้กฎหมายเกี่ยวกับที่มาของส.ว.ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญ
3. การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เกี่ยวกับการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68
อันแสดงให้ศาลเห็นถึงความชอบธรรมของการชุมนุมโดยสงบ
นี่แหล่ะคือความต่างชั้นของ "กึ๋น" ของหางอึ่งกับนักกฎหมายของจริง ศาลวินิจฉัยตรงกันทั้งสองคดีว่า พรฎ.ยกเลิกไม่ได้เพราะเป็นอำนาจบริหาร แต่คำขอท้ายฟ้องห้ามกระทำการตามเหตุละเมิดต่างหากที่ต่าง เพราะที่ฟ้องในปี 53 ไม่มีคำขอและเหตุชุมนุมนี้ ถึงมีอยู่แต่ก็เป็นติ่งเรื่องการปิดสัญญาณช่องเสื้อแดงอันไม่ใช่การกระทำร้ายแรงที่จะส่งผลต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
เชื่อว่า คนในห้องราชดำเนินนี้และผู้ที่กล่าวร้ายศาลคงไม่มีใครเคยศึกษาคำพิพากษามาก่อน และไม่เคยสนใจด้วย สักแต่ก้มหน้ามุดหัวอยู่ใต้ผู้นำโสมม ยอมสยบต่อเงินและความมั่งคั่ง ก้มหัวรับใช้อำนาจโสโครก ไม่มีวิจารณญาณ ไม่มีการศึกษา ไร้เหตุผล ไม่นำพาตรรกศาสตร์ ไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรี เห็นคุณค่าของเงินและความสบายส่วนตนมากกว่าชาติและส่วนรวม ขอเพียงตนรอดชาติจะเป็นอย่างไรก็ช่าง กล่าวร้ายเหตุผลตามธรรม ยกย่องถ้าตนได้ประโยชน์
แบ่งพรรคพวกตามความเชื่อ ไม่เคารพผู้ใหญ่ จาบจ้วงเบื้องสูง
นี่คือผลของการปกครองที่ทักษิณวางรากฐานมากว่า 10 ปี ได้สร้างชนชั้นสาวกความต่ำอย่างมากมาย ทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วหย่อมหญ้า และสถานการณ์ไม่มีทางคลี่คลายไปในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งปีนี้ ดังนั้น กปปส.ไม่มีทางล้างระบบปกครองคนไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ไปได้ตามที่กลุ่มคิด ต้องค่อยๆ แก้ไขไปทีละช่วงเวลา ปลูกฝังนิยมธรรมในชนรุ่นหลัง อย่าสร้างความเดือดร้อนของคนมากไปนัก เดินบุกต้องค่อยรุก รุกแล้วมองกลุ่มอย่างภาพรวมไม่ใช่วงแคบ
ซึ่งแม้กปปส.หรือชนเสื้อแดงจะกระทำการเช่นใด ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเหตุทุจริตที่รัฐบาลและสาวกสร้างไว้ได้
ขอเพียงอย่าตำหนิศาล ศาลอาจไม่สามารถทำให้ทุกคนถูกใจในคำพิพากษาได้ อาจทำพลาดในสายตาคนนอกได้ แต่ศาลได้พยายามสร้างความเป็นธรรมตามสภาพจิตที่แน่วแน่ต่อความถูกต้องแล้ว ไม่เคยย่นย่อท้อต่ออำนาจมืดที่คอยเข้าคุกคามด้วยอคติทั้ง 4 ไม่เคยโกงชาติกินเมือง และปฏิญาณตนต่อชาติจะดำรงสิ่งนี้ไปแม้ชีพวาย
เห็นว่ามีแต่ความเห็นด้านร้ายต่อคำพิพากษาศาลแพ่งของชนเสื้อแดง
ปี 53 คนตั้งประเด็นวางรูปคดีโดยยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งขอให้สั่งว่าการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในขณะนั้นเป็นไปโดยมิชอบ ขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอน อ้างเหตุละเมิดและกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อให้เปิดสถานีโทรทัศน์ แต่กลับไม่บรรยายฟ้องและคำขอท้ายฟ้องเพื่อให้คุ้มครองการชุมนุม และไม่อ้างเหตุชุมนุมที่มีพฤติการณ์ร้ายแรงของรัฐบาล
ปี 57 คนตั้งประเด็นวางรูปคดีโดยรู้ดีว่า ศาลจะไม่วินิจฉัยถึงอำนาจบริหาร จึงนำเรื่องการละเมิดและคุ้มครองการชุมนุมมาในบรรยายฟ้องและคำขอท้ายฟ้องอันเป็นการตั้งประเด็นตามม.254 วิแพ่งเรื่องการคุ้มครองชั่วคราว และม.273,276 สั่งห้ามกระทำการ อันเป็นการบังคับคดีโดยสภาพเปิดช่องไว้
อีกทั้งยังตั้งประเด็นของการชุมนุมถึงเหตุชุมนุมไว้สามประการ ว่า
1. ฝ่ายรัฐบาลได้มีการเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เห็นว่าจำเลยที่ 1 น่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน
2. การเสนอแก้กฎหมายเกี่ยวกับที่มาของส.ว.ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญ
3. การแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เกี่ยวกับการทำสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68
อันแสดงให้ศาลเห็นถึงความชอบธรรมของการชุมนุมโดยสงบ
นี่แหล่ะคือความต่างชั้นของ "กึ๋น" ของหางอึ่งกับนักกฎหมายของจริง ศาลวินิจฉัยตรงกันทั้งสองคดีว่า พรฎ.ยกเลิกไม่ได้เพราะเป็นอำนาจบริหาร แต่คำขอท้ายฟ้องห้ามกระทำการตามเหตุละเมิดต่างหากที่ต่าง เพราะที่ฟ้องในปี 53 ไม่มีคำขอและเหตุชุมนุมนี้ ถึงมีอยู่แต่ก็เป็นติ่งเรื่องการปิดสัญญาณช่องเสื้อแดงอันไม่ใช่การกระทำร้ายแรงที่จะส่งผลต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
เชื่อว่า คนในห้องราชดำเนินนี้และผู้ที่กล่าวร้ายศาลคงไม่มีใครเคยศึกษาคำพิพากษามาก่อน และไม่เคยสนใจด้วย สักแต่ก้มหน้ามุดหัวอยู่ใต้ผู้นำโสมม ยอมสยบต่อเงินและความมั่งคั่ง ก้มหัวรับใช้อำนาจโสโครก ไม่มีวิจารณญาณ ไม่มีการศึกษา ไร้เหตุผล ไม่นำพาตรรกศาสตร์ ไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรี เห็นคุณค่าของเงินและความสบายส่วนตนมากกว่าชาติและส่วนรวม ขอเพียงตนรอดชาติจะเป็นอย่างไรก็ช่าง กล่าวร้ายเหตุผลตามธรรม ยกย่องถ้าตนได้ประโยชน์
แบ่งพรรคพวกตามความเชื่อ ไม่เคารพผู้ใหญ่ จาบจ้วงเบื้องสูง
นี่คือผลของการปกครองที่ทักษิณวางรากฐานมากว่า 10 ปี ได้สร้างชนชั้นสาวกความต่ำอย่างมากมาย ทำให้เกิดความวุ่นวายไปทั่วหย่อมหญ้า และสถานการณ์ไม่มีทางคลี่คลายไปในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งปีนี้ ดังนั้น กปปส.ไม่มีทางล้างระบบปกครองคนไร้ศักดิ์ศรีเช่นนี้ไปได้ตามที่กลุ่มคิด ต้องค่อยๆ แก้ไขไปทีละช่วงเวลา ปลูกฝังนิยมธรรมในชนรุ่นหลัง อย่าสร้างความเดือดร้อนของคนมากไปนัก เดินบุกต้องค่อยรุก รุกแล้วมองกลุ่มอย่างภาพรวมไม่ใช่วงแคบ
ซึ่งแม้กปปส.หรือชนเสื้อแดงจะกระทำการเช่นใด ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเหตุทุจริตที่รัฐบาลและสาวกสร้างไว้ได้
ขอเพียงอย่าตำหนิศาล ศาลอาจไม่สามารถทำให้ทุกคนถูกใจในคำพิพากษาได้ อาจทำพลาดในสายตาคนนอกได้ แต่ศาลได้พยายามสร้างความเป็นธรรมตามสภาพจิตที่แน่วแน่ต่อความถูกต้องแล้ว ไม่เคยย่นย่อท้อต่ออำนาจมืดที่คอยเข้าคุกคามด้วยอคติทั้ง 4 ไม่เคยโกงชาติกินเมือง และปฏิญาณตนต่อชาติจะดำรงสิ่งนี้ไปแม้ชีพวาย