สำหรับดีลควบรวมเน็ตบ้านระหว่าง AIS หรือ Advanced Wireless Network (AWN) และ Triple T Broadband (3BB)
ที่ได้รับการอนุมัติจาก กสทช. เจอแรงต้านจากประชาชนผู้ใช้บริการ ลุกขึ้นยื่นฟ้องศาลปกครอง
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่เพียงคัดค้านทางธุรการ แต่มีการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการใช้อำนาจขององค์กรกำกับดูแล
และ อนาคตของการแข่งขันในตลาดอินเทอร์เน็ตบ้าน "คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" ประเด็นที่ผู้ฟ้องร้อง คือ การกล่าวว่ามติของ กสทช.
เป็น "คำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" ซึ่งเป็นจุดบอดทางเทคนิคที่สำคัญที่สุด
ขาดหลักเกณฑ์ที่จำเป็น: กสทช. อนุมัติการควบรวมโดยอ้างอิง "ประกาศปี 2549 ว่าด้วยมาตรการป้องกันการผูกขาดฯ" แต่ผู้ฟ้องชี้ว่าองค์กรกลับ ละเลยที่จะออกหลักเกณฑ์และวิธีการในการพิจารณาการขออนุญาตควบรวม ตามที่ประกาศฉบับดังกล่าวบังคับไว้ การกระทำนี้จึงถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจโดยไม่มีฐานทางกฎหมายที่รองรับ
กระบวนการรีบเร่งและขาดความเชี่ยวชาญ: การอนุมัติถูกทำในการประชุมนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งผู้ฟ้อง ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการดำเนินการที่ ขาดความรอบคอบอย่างยิ่ง และ น่ากังวลไปกว่านั้น คือ ไม่มีกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและด้านคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมอยู่ในการตัดสินใจสำคัญที่มีผลต่อประชาชนทั่วประเทศ
ผลกระทบ: ความเสี่ยงจาก "ภัยผูกขาด" : การควบรวมนี้จะทำให้ AIS (AWN) กลายเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านรายใหญ่ที่สุดในทันที
การฟ้องร้องครั้งนี้จึงเป็นการส่งเสียงเตือนถึงผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคและระบบตลาด
ตลาดจะเปลี่ยนไปสู่ ภาวะครอบงำตลาด การแข่งขันจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กรายอื่น ๆ ยากที่จะแข่งขันได้อย่างเสรี ต่อราคาและคุณภาพ เมื่อการแข่งขันลดลง ย่อมส่งผลให้ ค่าบริการมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง
การฟ้องร้องยังได้กล่าวถึงความไม่โปร่งใสในการแต่งตั้งที่ปรึกษา ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ภาคเอกชนอย่างไม่เป็นธรรม
คดีนี้เป็นการตัดสินใจของศาล ถือตัวชี้ขาดที่กำหนดอนาคตของตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านไทย ผลการตัดสินของศาลปกครองจะส่งผลสำคัญในสองด้าน
หากศาลสั่ง "เพิกถอนมติ" จะเป็นการส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวว่าองค์กรกำกับดูแลต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดีลควบรวมอาจต้องชะงัก หรือถูกยกเลิก ซึ่งจะช่วย รักษาโครงสร้างการแข่งขัน และสร้างบรรทัดฐานในการปกป้องสิทธิผู้บริโภคในตลาดโทรคมนาคม
หากศาล "ยกฟ้อง": มติ กสทช. จะได้รับการรับรอง และ การควบรวมจะเดินหน้าต่อได้อย่างสมบูรณ์
ตลาดจะเข้าสู่ภาวะกึ่งผูกขาดอย่างแท้จริง ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคต้อง พึ่งพามาตรการกำกับดูแลหลังการควบรวม ของ กสทช. ในการควบคุมราคาและคุณภาพบริการอย่างเต็มที่
การฟ้องร้องครั้งนี้ คือ บทพิสูจน์อำนาจของผู้บริโภคในการทวงคืนความสมดุลในตลาดเน็ตบ้านและเป็นบทเรียนสำคัญให้แก่องค์กรกำกับดูแลถึงความจำเป็นในการดำเนินการด้วยความโปร่งใสและชอบด้วยกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก :
https://mgronline.com/politics/detail/9680000096279
https://www.bangkokbiznews.com/news/1202316
เมื่อผู้บริโภคท้าชน กสทช. ฟ้องล้มดีลควบรวม 3BB-AWN ชี้จุดบอดทางกฎหมายและภัยการผูกขาด
ที่ได้รับการอนุมัติจาก กสทช. เจอแรงต้านจากประชาชนผู้ใช้บริการ ลุกขึ้นยื่นฟ้องศาลปกครอง
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ใช่เพียงคัดค้านทางธุรการ แต่มีการตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการใช้อำนาจขององค์กรกำกับดูแล
และ อนาคตของการแข่งขันในตลาดอินเทอร์เน็ตบ้าน "คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" ประเด็นที่ผู้ฟ้องร้อง คือ การกล่าวว่ามติของ กสทช.
เป็น "คำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย" ซึ่งเป็นจุดบอดทางเทคนิคที่สำคัญที่สุด
ขาดหลักเกณฑ์ที่จำเป็น: กสทช. อนุมัติการควบรวมโดยอ้างอิง "ประกาศปี 2549 ว่าด้วยมาตรการป้องกันการผูกขาดฯ" แต่ผู้ฟ้องชี้ว่าองค์กรกลับ ละเลยที่จะออกหลักเกณฑ์และวิธีการในการพิจารณาการขออนุญาตควบรวม ตามที่ประกาศฉบับดังกล่าวบังคับไว้ การกระทำนี้จึงถูกมองว่าเป็นการใช้อำนาจโดยไม่มีฐานทางกฎหมายที่รองรับ
กระบวนการรีบเร่งและขาดความเชี่ยวชาญ: การอนุมัติถูกทำในการประชุมนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งผู้ฟ้อง ตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการดำเนินการที่ ขาดความรอบคอบอย่างยิ่ง และ น่ากังวลไปกว่านั้น คือ ไม่มีกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและด้านคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมอยู่ในการตัดสินใจสำคัญที่มีผลต่อประชาชนทั่วประเทศ
ผลกระทบ: ความเสี่ยงจาก "ภัยผูกขาด" : การควบรวมนี้จะทำให้ AIS (AWN) กลายเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านรายใหญ่ที่สุดในทันที
การฟ้องร้องครั้งนี้จึงเป็นการส่งเสียงเตือนถึงผลกระทบเชิงลบต่อผู้บริโภคและระบบตลาด
ตลาดจะเปลี่ยนไปสู่ ภาวะครอบงำตลาด การแข่งขันจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กรายอื่น ๆ ยากที่จะแข่งขันได้อย่างเสรี ต่อราคาและคุณภาพ เมื่อการแข่งขันลดลง ย่อมส่งผลให้ ค่าบริการมีแนวโน้มสูงขึ้น เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง
การฟ้องร้องยังได้กล่าวถึงความไม่โปร่งใสในการแต่งตั้งที่ปรึกษา ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
และเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ภาคเอกชนอย่างไม่เป็นธรรม
คดีนี้เป็นการตัดสินใจของศาล ถือตัวชี้ขาดที่กำหนดอนาคตของตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านไทย ผลการตัดสินของศาลปกครองจะส่งผลสำคัญในสองด้าน
หากศาลสั่ง "เพิกถอนมติ" จะเป็นการส่งสัญญาณที่แข็งกร้าวว่าองค์กรกำกับดูแลต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดีลควบรวมอาจต้องชะงัก หรือถูกยกเลิก ซึ่งจะช่วย รักษาโครงสร้างการแข่งขัน และสร้างบรรทัดฐานในการปกป้องสิทธิผู้บริโภคในตลาดโทรคมนาคม
หากศาล "ยกฟ้อง": มติ กสทช. จะได้รับการรับรอง และ การควบรวมจะเดินหน้าต่อได้อย่างสมบูรณ์
ตลาดจะเข้าสู่ภาวะกึ่งผูกขาดอย่างแท้จริง ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคต้อง พึ่งพามาตรการกำกับดูแลหลังการควบรวม ของ กสทช. ในการควบคุมราคาและคุณภาพบริการอย่างเต็มที่
การฟ้องร้องครั้งนี้ คือ บทพิสูจน์อำนาจของผู้บริโภคในการทวงคืนความสมดุลในตลาดเน็ตบ้านและเป็นบทเรียนสำคัญให้แก่องค์กรกำกับดูแลถึงความจำเป็นในการดำเนินการด้วยความโปร่งใสและชอบด้วยกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างแท้จริง
ขอบคุณข้อมูลจาก :
https://mgronline.com/politics/detail/9680000096279
https://www.bangkokbiznews.com/news/1202316