สาปแสงจันทร์ ตอนที่ 3

กระทู้คำถาม
บทที่ 3

เสียงเพลงหมอลำดังแว่วออกมาจากเรือนครัวหลังเล็กที่ปลูกแยกออกจากตัวตึกใหญ่ ร่างเล็กแกร็นขยับตามจังหวะดนตรี
ถึงกระนั้นมือไม้ก็ยังสาระวนกับเครื่องครัวที่กำลังปรุง เสียงลมหวีดหวิวมาตามช่องไม้ระแนง ความแรงพัดพาข้าวของภายในจนปลิดปลิว
ร่วงหล่น

“ลมอะไรวุ้ย! อยู่ๆก็พัดเข้ามา!”

คนพูดวางมือจากงานที่ทำก้มลงเก็บฝาหม้อ ถุงใส่ผักที่ร่วงลงจากโต๊ะ เงาทะมึนของใครคนหนึ่งไหววูบตรงช่องประตูทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ลำแสงสีมัวส่องกระทบใบหน้าที่นิ่งสงบดั่งรูปปั้น ดวงตาแข็งกระด้างราวไร้ชีวิต

“ตกใจหมด! มาไม่เคยให้สุ้มให้เสียงกันเลย” ต้อยติ่งต่อว่า

“อาจารย์ภูวราชฝากขนมมาให้คุณย่า…และคุณมอส”

น้ำเสียงเนิบช้าเสมือนท่องจำ จากนั้นตระกร้าใบเล็กก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า

“ขนมอะไร?”

คนรับยังอดถามต่อมิได้

“อันซอร์ม”

คำตอบยังสั้นกระชับเช่นเคย ร่างเล็กตรงหันหลังกลับไปก่อนจะลับหายในพุ่มไม้ข้างหน้า
“ยังกับผีดิบ!”

“ใครกันต้อยติ่ง?”   

หญิงชราร่างผอมเดินเข้ามาในห้องครัวช้าๆ

“แม่อุบลคนรับใช้บ้านอาจารย์ค่ะคุณย่า เอาขนมอะไรไม่รู้มาให้บอกว่าอาจารย์ฝากมา”

เจ้าตัวหยิบขนมขึ้นมาดู ลักษณะคล้ายข้ามต้มมัดไส้กล้วยของไทย

“ขนมพื้นบ้านคนเสียมเรียบมั้ง อาจารย์เขาเป็นคนแถวนั้น เดี๋ยวคุณมอสกลับมาก็จัดขึ้นโต๊ะให้เลยก็ได้ อาจารย์เขามีน้ำใจกับเรา
…เราก็ควรมีน้ำใจตอบเขามั้งนะ”

ผู้อาวุโสของบ้านมีสีหน้าตริตรองชั่วครู่ อาหารเย็นเพิ่งจะเตรียมหากจะเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างก็น่าจะพอรับแขกเพิ่มได้   

“ต้อยติ่งบอกแม่ทองใบทำไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มอีกอย่างหนึ่งเถอะ ฉันอยากเชิญอาจารย์มาทานข้าวเย็นที่บ้าน”

ต้อยติ่งเร่งมือปรุงอาหารเย็นจบครบทุกเมนู จากนั้นจึงเดินไปยังเรือนเล็กเพื่อเชิญแขกของหญิงชรา กลิ่นกำยานโรยรินมากับสายลมเอื่อยอ่อน
ครั้นแล้วร่างสูงก็เคลื่อนออกมาจากพุ่มไม้ โดยปราศจากสุ้มเสียงใดๆ

“อุ๊ย!”

คนอุทานใจหล่นวูบ นายบ่าวบ้านนี้บทจะไปจะมาเงียบยิ่งกว่าแมวเดินย่อง

“คุณย่าให้มาเชิญอาจารย์ไปทานข้าวเย็นที่บ้านตึกค่ะ”

“ทราบแล้ว”

เสียงทุ้มราบเรียบ ร่างสูงเดินเลยไปยังบ้านหลังใหญ่

“…อาจารย์รู้ได้ยังไงว่ะ บ้านอยู่ห่างกันตั้งเยอะ”

คนสงสัยยกมือขึ้นเกาหัวแกรก รอบบริเวณที่แต่ความเงียบสงัด ละม้ายเหมือนมีดวงตาลอบเร้นแอบมองอยู่
ก่อให้เกิดความรู้สึกยะเยือกเย็นอย่างประหลาด

“วันนี้มันเป็นอะไร อยู่ๆก็ขนลุกซู่ขึ้นอย่างงั้น”

คนพูดเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะจ้ำอ้าวกลับไปทางเดิม  


แสงไฟจากหน้าตึกหลังใหญ่ทอแสงสีนวลกระจ่างตา กลิ่นดอกราตรีจากซุ้มไม้ด้านข้างขจรขจายมากับสายลมตั้งแต่หัวค่ำ
ความเงียบสงบภายนอกทำให้คาดเดาว่า ‘คุณย่า’ คงเข้านอนแต่หัววันเช่นเคย หากเมื่อเปิดประตูเข้าไป เสียงพูดคุยเบาๆดังแว่ว
ออกมาจากห้องอาหาร มัสลินจึงก้าวตรงไปยังห้องนั้น

“อ้าว!มอสมาพอดีเลยลูก ย่าเชิญอาจารย์ภูวราชมาทานข้าวเย็นที่บ้านเรา กำลังคุยเรื่องภาพสลักในนครวัดกันอยู่”

ผู้มากวัยเอ่ยขึ้นเมื่อหญิงสาวเดินเข้ามา

“อาจารย์แกเล่าสนุกจนย่ามองเห็นภาพประสาทหินเสียทุกซอกทุกมุมทีเดียว”

หญิงชราชื่นชมไม่ขาดปาก ขณะมัสลินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใกล้

“ถ้าอย่างงั้นคุณย่ากับหนูคงต้องไปหาเวลาไปเที่ยวสักครั้งแล้วมั้งคะ”

“เชิญ…ที่นั้นยังยินดีต้อนรับคุณเสมอ แม้เวลาภายจะเปลี่ยนแต่เวลาที่นั้นยังหยุดนิ่ง”

ปลายประโยคเน้นย้ำอย่างมีเลศนัย หากคนฟังมิได้เฉลียวใจ

“นครวัดเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน แม้แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ยังสร้างเลียนแบบได้ยาก
ไม่รู้ว่าคนโบราณเขาสร้างได้ยังไงกันนะคะ หินก้อนโตๆทั้งนั้น”  

หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย เมื่อแม่สาวต้อยติ่งยกจานอาหารมาวางบนโต๊ะ

“เชิญอาจารย์ภูวราช…กับข้าวที่มีคนแก่ร่วมวงด้วยอาจจืดชืดไปสักนิด”

หญิงชราออกตัว

“ไม่เป็นไรครับ... ความจริงผมก็อายุมากไม่น้อย อาจจะแก่มากกว่าใครหลายร้อยปีทีเดียว เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกมันคงเดิมเท่านั้น”

“หือ…อาจารย์นะรึ?

ผู้สูงวัยเพ่งมอง หากดวงหน้าคมคายของบรุษผู้นั้นมีเค้าอ่อนละมุน ริมฝีปากได้รูปสวยแย้มนิดๆ ทีท่าเช่นนั้นทำให้คู่สนทนารับรู้ว่า ‘พูดเล่น’
เสียมากกว่าจะจริงจัง

“ภาพสลักที่คุณย่าพูดถึงเมื่อกี้ คือนางอัปสรหรือเปล่าคะคุณภูวราช?”

มัสลินเอ่ยถาม ความใคร่รู้บางอย่างเกี่ยวกับภาพฝันประหลาดยังตราตรึงอยู่ในหัวใจ  

“คุณมอสเข้าใจถูกต้องแล้วครับ ภาพเหล่านั้นล้วนจำลองมาจากพิธีกวนเกษียรสมุทร ตามความเชื่อในลัทธิไศวะนิกาย
ชาวเขมรนับถือเทพอัปสรเป็นเทพแห่งความดีงามที่คอยปกป้องเทวสถานแห่งนั้น แต่อาจจะมีนางอัปสรบางตนที่จำลองมาจากมนุษย์จริงๆ
...มนุษย์ที่มีหัวใจเลโล”

น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นเจือปนด้วยความขมขื่น ชิงชัง

“มนุษย์ไม่ว่ายุคไหนมักไม่ค่อยต่างกัน…กิเลสคือตัวครอบง้ำให้เห็นผิดเป็นชอบเสมอ”

หญิงชราเห็นพ้องด้วยทั้งชีวิตทุกสิ่งไม่เคยจีรัง  

“ครับ…เวรกรรมของใครผู้นั้นก็ต้องชดใช้”

มัสลินรวบช้อนเมื่ออาหารในจานพร่องไปเพียงครึ่ง จานกระเบื้องสีขาวถูกเลื่อนมาตรงหน้า

“ขนมพื้นเมืองจากเสียมเรียบ รสชาติทุกอย่างยังคงเดิม”

“เหมือนข้าวต้มมัด”

หญิงสาวพึมพำเมื่อทอดสายตามอง ครั้นปลายลิ้นสัมผัส ‘รส’ เค็ม จืด ดั่งคุ้นนานนับปี  

“ตามความเชื่อของคนโบราณ เป็นขนมของคนมีคู่ผูกมัดกันด้วยเชือกกล้วย ไม่ว่ากี่ชาติภพย่อมไม่พรากจากกัน”

ดวงตาคนพูดมีแววลึกซึ้ง ละม้ายจะรำลึกถึงบางสิ่งอันไกลโพ้น

หญิงชราพยักหน้า กับเรื่องราวที่ได้รับรู้

“ของไทยเราก็มีคล้ายกัน…อาจารย์ไม่ชอบอาหารไทยเลยรึ ข้าวไม่พร่องเลยสักนิด”

“ผมทานน้อยครับ…น้อยกว่าคนปกติมาก ”

ต้อยติ่งซึ่งคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ ก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกับผู้สูงวัยของบ้าน ‘อาจารย์หนุ่มรูปหล่อ’
ตักข้าวจรดริมฝีปากแล้วก็วางลงเสียอย่างงั้น ถ้ากินแบบนี้แถวเขาเรียกดม หรือฝีมือป้าทองใบแกด้อยคุณภาพลง
และเมื่อเจ้าตัวเก็บถ้วยจานเข้าไปในครัวเพื่อเตรียงล้าง ข้าวที่เหลือเต็มจานพูนๆนั้นแข็งกระด้างราวทิ้งร้างไว้แรมปี

“ฮ้วย! แข็งยังกับหิน!” สาวต้อยติ่งชักแปลกใจหนักเมื่อจานข้าวใบนั้นคือของ ‘อาจารย์ภูวราช’


ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้า อากาศใกล้เที่ยงวันค่อนข้างร้อนอบอ้าว กลุ่มนักท่องเที่ยวหลายคนเดินชมโบราณสถานซึ่งเป็นพระราชวังโบราณ
ร่มเงาของต้นพุทธาแผ่กิ่งก้านเรียงซ้อนกันเป็นระยะพอช่วยบังแสงแดดได้บ้าง มัสลินให้เวลากับลูกทัวร์ครึ่งชั่วโมงเพื่อถ่ายภาพ
และชื่นชมความงดงามของเมืองหลวงเก่า

เมื่อคล้อยหลังลูกทัวร์หญิงสาวจึงเดินหาร่มเงาเพื่อนั่งพัก ทางเดินแคบเลาะเลียบไปตามแนวกำแพงเตี้ยๆท่ามกลางบรรยากาศ
ที่มีแต่ร่องรอยของอดีตฝั่งไว้ถ้วนทั่ว กระแสลมเย็นเยือกพัดวูบเข้ามาจนขนลุกซู่ รอบกายเงียบสงบ ไร้สรรพเสียงและผู้คนคลับคล้าย
ก้าวผ่านเข้าไปอีกมิติหนึ่ง ภาพยอดปรางค์ของพระที่นั่งสรรเพชญ์เลือนหายไปในกระไอหมอกสีขาวอ้อยอิ่ง ภาพซ้อนขึ้นมาคือเรือนไม้
ขนาดใหญ่ หลังคามุงกระเบื้องดินเผา หมู่ต้นตาลน้อยใหญ่รายรอบ มัสลินยืนเคว้งในสมองสับสนมึนงง

“เชิญ…ท่านแม่ทัพรออยู่”

เสียงสตรีหนึ่งดังขึ้นข้างกาย พร้อมกับมือเย็นเฉียบก็แตะลงบนแขนของหญิงสาว มัสลินก้าวตามราวต้องมนต์สะกด
บนชานโล่งมีทาสรับใช้สองสามคนกำลังทำงานง่วนอยู่ ลึกเข้าไปเป็นพื้นไม้ยกสูงฝาผนังโดยรอบและประดับด้วย โล่ ดาบ
และอาวุธโบราณชิ้นอื่นที่หญิงสาวไม่คุ้นตา

“ยินดีต้อนรับสู่เรือน…,มัญชุเกศี บ้านของเจ้า”

เสียงทุ้มกังวานลึกสะท้อนก้องจากมุมหนึ่งของเรือนใหญ่ ความมืดอับแสงทำให้ภาพที่เห็นเป็นเงาดำสูงใหญ่

“ไม่ใช่อยุธยาใช่ไหม?”

หญิงสาวเอ่ยถามในสมองยังหมุนคว้าง กับความแปรเปลี่ยนอย่างเฉียบพลัน

“ที่นี่คือบ้าน…เรือนอยู่เรือนตายของเราสองคน”

ร่างดำมืดเคลื่อนออกมาจากมุมอับแสง ร่างสูงตรงดูแข็งแรงด้วยมัดกล้าม ผ้าฝ้ายสีอ่อนพันทับมาด้านหน้าคล้ายโจงกระเบน
ไม่สวนเสื้อจึงเผยให้เห็นผิวเนื้อเหลืองนวล ผมมุ่นเกล้าเป็นมวยไว้บนศรีษะ ใบหน้านั้นคมคายยิ่งนัก ริมฝีปากได้รูปสวยคล้าย
จะยิ้มหยันในบางสิ่ง ดวงดำสนิทดุจนิลมีเค้าติดจะเหี้ยมโหดเสียด้วยซ้ำ

“คุณภูวราช!”  

มัสลินขานชื่อ หากเสียงที่หลุดออกมาไม่ได้ดังไม่กว่ากระซิบ เหงื่อเหนียวๆซึมตามฝ่ามือและหน้าผาก ทั้งๆที่อากาศรอบกายเย็นเยือก
“มัญชุเกศี… เจ้ารู้ไหมว่าข้ารอวันนี้มานานแค่ไหน กี่ชาติภพที่ข้าต้องรอ…รอให้เวลากรรมของข้าและเจ้าเสมอกัน!

เจ้าจะได้รู้รสความทรมานเสียที”

ถ้อยคำกล่าวหาแฝงเร้นด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง

“ฉันติดค้างอะไรคุณ…เราไม่ได้รู้จักกันมากไปกว่าผู้เช่ากับผู้ให้เช่า!”

มัสลินรู้สึกว่าความอึดอัดแน่นอกได้ระบายออกไป

“ชีวิตของเจ้าชาตินี้ยังชดใช้ให้ไม่หมด!”

เสียงทุ้มแผดก้องสะท้อนกลับไปกลับมา ราวผู้พูดโกรธเคืองนักหนา อีกครั้งหนึ่งที่หญิงสาวรู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมา หัวใจสั่นระริกชีพจรเต้นแรง…
เธอกำลังเผชิญกับสิ่งเหนือธรรมชาติ!

“มัสลิน…”

เสียงเรียกนุ่มนวลดังแว่วมาจากที่อันไกลแสนไกล ก่อนจะชัดเจนยิ่งขึ้น ม่านหมอกสีขาวจึงเลือนหาย ภาพทั้งหมดดับวูบลงไม่ต่าง
จากกดสวิทย์ปิดหน้าจอ
  
“เป็นอะไรครับ? คุณเหนื่อยมากหรือยังไงถึงมานั่งหลับอยู่ตรงนี้”

ภาษาญี่ปุ่นรัวเร็วของลูกทัวร์ทำให้หญิงสาวกระพริบตาถี่ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าในสมองยังสับสนมึนงง

“ขอโทษค่ะ…ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว”


รถคันเล็กที่จอดนิ่งสนิทอยู่ริมรั้วสีขาวม่อๆดูเหมือนจะจอดอยู่เช่นนั้นนานมากแล้ว คนขับยังนั่งประจำที่ หากร่างระหงเอนตัวไปข้างหน้า
คางเกยกับพวงมาลัย ดวงตาแลทอดไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย

    “ชีวิตของเจ้าชาตินี้ยังชดใช้ให้ไม่หมด!”

ระลึกชาติหรือก้าวผ่านมิติพิศวง คำถามหมุนวนอยู่ในหัวไม่ต่างจากเส้นทางอันคดเคี้ยวบนเขาวงกต
…เหตุการณ์ประหลาดเมื่อตอนเที่ยงกำลังตอกย้ำว่าชีวิตประจำวันของเธอเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากสิ่งที่มองไม่เห็น!

“เราควรไปวัดหรือไปโรงพยาบาลบ้าก่อนดี?”

มัสลินทบทวน…

เสียงเคาะกระจกด้านข้างดังขึ้นเบาๆ หญิงสาวจึงเบือนหน้าไปมอง พลางเลื่อนกระจกลง

“คู้ณ…เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ฉันเห็นคุณจอดรถอยู่อย่างงี้นานเป็นชั่วโมงแล้วนะ นี่ถ้าจะมารดน้ำมนต์ล่ะก็เข้าไปเถอะหลวงพ่อท่านอยู่พอดี”

“…ท่านช่วยคนได้จริงเหรอป้า?”

น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูไม่ค่อยแน่ใจนัก

“โอ๊ย…หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์ ใครๆก็ขึ้นหาวันก่อนมีคนโดนคุณไสยมาเห็นเขาว่าโดนเมียน้อยทำเสน่ห์มา หลวงพ่อท่านรดน้ำมนต์ให้
ดิ้นพลาดๆเหมือนปลาโดนทุบหัว เห็นเขาว่าหมอเขมรเป็นคนทำ”

มัสลินถอนหายใจแผ่วเบา เรื่องราวที่เธอกำลังประสบมันไม่ใช่ไสยศาสาตย์ หากกึ่งฝันกึ่งจริงคละเคล้าจนแยกไม่ออก
เหนือสิ่งอื่นใดเรื่องราวเหล่านั้นมีบางคราวที่เธอจดจำได้ราวเคยเกิดขึ้นจริงในชีวิตของตัวเอง

“ขอบคุณนะคะป้า”

หญิงสาวเลื่อนกระจกขึ้น พลางขยับนั่งตัวตรงสตาร์ทรถขับออกไปจากที่นั้น บางทีคำตอบที่เธอต้องการ อาจจะกับคน  ‘คนนี้’
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่