บทที่ 3
เสียงเพลงหมอลำดังแว่วออกมาจากเรือนครัวหลังเล็กที่ปลูกแยกออกจากตัวตึกใหญ่ ร่างเล็กแกร็นขยับตามจังหวะดนตรี
ถึงกระนั้นมือไม้ก็ยังสาระวนกับเครื่องครัวที่กำลังปรุง เสียงลมหวีดหวิวมาตามช่องไม้ระแนง ความแรงพัดพาข้าวของภายในจนปลิดปลิว
ร่วงหล่น
“ลมอะไรวุ้ย! อยู่ๆก็พัดเข้ามา!”
คนพูดวางมือจากงานที่ทำก้มลงเก็บฝาหม้อ ถุงใส่ผักที่ร่วงลงจากโต๊ะ เงาทะมึนของใครคนหนึ่งไหววูบตรงช่องประตูทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ลำแสงสีมัวส่องกระทบใบหน้าที่นิ่งสงบดั่งรูปปั้น ดวงตาแข็งกระด้างราวไร้ชีวิต
“ตกใจหมด! มาไม่เคยให้สุ้มให้เสียงกันเลย” ต้อยติ่งต่อว่า
“อาจารย์ภูวราชฝากขนมมาให้คุณย่า…และคุณมอส”
น้ำเสียงเนิบช้าเสมือนท่องจำ จากนั้นตระกร้าใบเล็กก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า
“ขนมอะไร?”
คนรับยังอดถามต่อมิได้
“อันซอร์ม”
คำตอบยังสั้นกระชับเช่นเคย ร่างเล็กตรงหันหลังกลับไปก่อนจะลับหายในพุ่มไม้ข้างหน้า
“ยังกับผีดิบ!”
“ใครกันต้อยติ่ง?”
หญิงชราร่างผอมเดินเข้ามาในห้องครัวช้าๆ
“แม่อุบลคนรับใช้บ้านอาจารย์ค่ะคุณย่า เอาขนมอะไรไม่รู้มาให้บอกว่าอาจารย์ฝากมา”
เจ้าตัวหยิบขนมขึ้นมาดู ลักษณะคล้ายข้ามต้มมัดไส้กล้วยของไทย
“ขนมพื้นบ้านคนเสียมเรียบมั้ง อาจารย์เขาเป็นคนแถวนั้น เดี๋ยวคุณมอสกลับมาก็จัดขึ้นโต๊ะให้เลยก็ได้ อาจารย์เขามีน้ำใจกับเรา
…เราก็ควรมีน้ำใจตอบเขามั้งนะ”
ผู้อาวุโสของบ้านมีสีหน้าตริตรองชั่วครู่ อาหารเย็นเพิ่งจะเตรียมหากจะเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างก็น่าจะพอรับแขกเพิ่มได้
“ต้อยติ่งบอกแม่ทองใบทำไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มอีกอย่างหนึ่งเถอะ ฉันอยากเชิญอาจารย์มาทานข้าวเย็นที่บ้าน”
ต้อยติ่งเร่งมือปรุงอาหารเย็นจบครบทุกเมนู จากนั้นจึงเดินไปยังเรือนเล็กเพื่อเชิญแขกของหญิงชรา กลิ่นกำยานโรยรินมากับสายลมเอื่อยอ่อน
ครั้นแล้วร่างสูงก็เคลื่อนออกมาจากพุ่มไม้ โดยปราศจากสุ้มเสียงใดๆ
“อุ๊ย!”
คนอุทานใจหล่นวูบ นายบ่าวบ้านนี้บทจะไปจะมาเงียบยิ่งกว่าแมวเดินย่อง
“คุณย่าให้มาเชิญอาจารย์ไปทานข้าวเย็นที่บ้านตึกค่ะ”
“ทราบแล้ว”
เสียงทุ้มราบเรียบ ร่างสูงเดินเลยไปยังบ้านหลังใหญ่
“…อาจารย์รู้ได้ยังไงว่ะ บ้านอยู่ห่างกันตั้งเยอะ”
คนสงสัยยกมือขึ้นเกาหัวแกรก รอบบริเวณที่แต่ความเงียบสงัด ละม้ายเหมือนมีดวงตาลอบเร้นแอบมองอยู่
ก่อให้เกิดความรู้สึกยะเยือกเย็นอย่างประหลาด
“วันนี้มันเป็นอะไร อยู่ๆก็ขนลุกซู่ขึ้นอย่างงั้น”
คนพูดเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะจ้ำอ้าวกลับไปทางเดิม
แสงไฟจากหน้าตึกหลังใหญ่ทอแสงสีนวลกระจ่างตา กลิ่นดอกราตรีจากซุ้มไม้ด้านข้างขจรขจายมากับสายลมตั้งแต่หัวค่ำ
ความเงียบสงบภายนอกทำให้คาดเดาว่า ‘คุณย่า’ คงเข้านอนแต่หัววันเช่นเคย หากเมื่อเปิดประตูเข้าไป เสียงพูดคุยเบาๆดังแว่ว
ออกมาจากห้องอาหาร มัสลินจึงก้าวตรงไปยังห้องนั้น
“อ้าว!มอสมาพอดีเลยลูก ย่าเชิญอาจารย์ภูวราชมาทานข้าวเย็นที่บ้านเรา กำลังคุยเรื่องภาพสลักในนครวัดกันอยู่”
ผู้มากวัยเอ่ยขึ้นเมื่อหญิงสาวเดินเข้ามา
“อาจารย์แกเล่าสนุกจนย่ามองเห็นภาพประสาทหินเสียทุกซอกทุกมุมทีเดียว”
หญิงชราชื่นชมไม่ขาดปาก ขณะมัสลินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใกล้
“ถ้าอย่างงั้นคุณย่ากับหนูคงต้องไปหาเวลาไปเที่ยวสักครั้งแล้วมั้งคะ”
“เชิญ…ที่นั้นยังยินดีต้อนรับคุณเสมอ แม้เวลาภายจะเปลี่ยนแต่เวลาที่นั้นยังหยุดนิ่ง”
ปลายประโยคเน้นย้ำอย่างมีเลศนัย หากคนฟังมิได้เฉลียวใจ
“นครวัดเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน แม้แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ยังสร้างเลียนแบบได้ยาก
ไม่รู้ว่าคนโบราณเขาสร้างได้ยังไงกันนะคะ หินก้อนโตๆทั้งนั้น”
หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย เมื่อแม่สาวต้อยติ่งยกจานอาหารมาวางบนโต๊ะ
“เชิญอาจารย์ภูวราช…กับข้าวที่มีคนแก่ร่วมวงด้วยอาจจืดชืดไปสักนิด”
หญิงชราออกตัว
“ไม่เป็นไรครับ... ความจริงผมก็อายุมากไม่น้อย อาจจะแก่มากกว่าใครหลายร้อยปีทีเดียว เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกมันคงเดิมเท่านั้น”
“หือ…อาจารย์นะรึ?
ผู้สูงวัยเพ่งมอง หากดวงหน้าคมคายของบรุษผู้นั้นมีเค้าอ่อนละมุน ริมฝีปากได้รูปสวยแย้มนิดๆ ทีท่าเช่นนั้นทำให้คู่สนทนารับรู้ว่า ‘พูดเล่น’
เสียมากกว่าจะจริงจัง
“ภาพสลักที่คุณย่าพูดถึงเมื่อกี้ คือนางอัปสรหรือเปล่าคะคุณภูวราช?”
มัสลินเอ่ยถาม ความใคร่รู้บางอย่างเกี่ยวกับภาพฝันประหลาดยังตราตรึงอยู่ในหัวใจ
“คุณมอสเข้าใจถูกต้องแล้วครับ ภาพเหล่านั้นล้วนจำลองมาจากพิธีกวนเกษียรสมุทร ตามความเชื่อในลัทธิไศวะนิกาย
ชาวเขมรนับถือเทพอัปสรเป็นเทพแห่งความดีงามที่คอยปกป้องเทวสถานแห่งนั้น แต่อาจจะมีนางอัปสรบางตนที่จำลองมาจากมนุษย์จริงๆ
...มนุษย์ที่มีหัวใจเลโล”
น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นเจือปนด้วยความขมขื่น ชิงชัง
“มนุษย์ไม่ว่ายุคไหนมักไม่ค่อยต่างกัน…กิเลสคือตัวครอบง้ำให้เห็นผิดเป็นชอบเสมอ”
หญิงชราเห็นพ้องด้วยทั้งชีวิตทุกสิ่งไม่เคยจีรัง
“ครับ…เวรกรรมของใครผู้นั้นก็ต้องชดใช้”
มัสลินรวบช้อนเมื่ออาหารในจานพร่องไปเพียงครึ่ง จานกระเบื้องสีขาวถูกเลื่อนมาตรงหน้า
“ขนมพื้นเมืองจากเสียมเรียบ รสชาติทุกอย่างยังคงเดิม”
“เหมือนข้าวต้มมัด”
หญิงสาวพึมพำเมื่อทอดสายตามอง ครั้นปลายลิ้นสัมผัส ‘รส’ เค็ม จืด ดั่งคุ้นนานนับปี
“ตามความเชื่อของคนโบราณ เป็นขนมของคนมีคู่ผูกมัดกันด้วยเชือกกล้วย ไม่ว่ากี่ชาติภพย่อมไม่พรากจากกัน”
ดวงตาคนพูดมีแววลึกซึ้ง ละม้ายจะรำลึกถึงบางสิ่งอันไกลโพ้น
หญิงชราพยักหน้า กับเรื่องราวที่ได้รับรู้
“ของไทยเราก็มีคล้ายกัน…อาจารย์ไม่ชอบอาหารไทยเลยรึ ข้าวไม่พร่องเลยสักนิด”
“ผมทานน้อยครับ…น้อยกว่าคนปกติมาก ”
ต้อยติ่งซึ่งคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ ก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกับผู้สูงวัยของบ้าน ‘อาจารย์หนุ่มรูปหล่อ’
ตักข้าวจรดริมฝีปากแล้วก็วางลงเสียอย่างงั้น ถ้ากินแบบนี้แถวเขาเรียกดม หรือฝีมือป้าทองใบแกด้อยคุณภาพลง
และเมื่อเจ้าตัวเก็บถ้วยจานเข้าไปในครัวเพื่อเตรียงล้าง ข้าวที่เหลือเต็มจานพูนๆนั้นแข็งกระด้างราวทิ้งร้างไว้แรมปี
“ฮ้วย! แข็งยังกับหิน!” สาวต้อยติ่งชักแปลกใจหนักเมื่อจานข้าวใบนั้นคือของ ‘อาจารย์ภูวราช’
ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้า อากาศใกล้เที่ยงวันค่อนข้างร้อนอบอ้าว กลุ่มนักท่องเที่ยวหลายคนเดินชมโบราณสถานซึ่งเป็นพระราชวังโบราณ
ร่มเงาของต้นพุทธาแผ่กิ่งก้านเรียงซ้อนกันเป็นระยะพอช่วยบังแสงแดดได้บ้าง มัสลินให้เวลากับลูกทัวร์ครึ่งชั่วโมงเพื่อถ่ายภาพ
และชื่นชมความงดงามของเมืองหลวงเก่า
เมื่อคล้อยหลังลูกทัวร์หญิงสาวจึงเดินหาร่มเงาเพื่อนั่งพัก ทางเดินแคบเลาะเลียบไปตามแนวกำแพงเตี้ยๆท่ามกลางบรรยากาศ
ที่มีแต่ร่องรอยของอดีตฝั่งไว้ถ้วนทั่ว กระแสลมเย็นเยือกพัดวูบเข้ามาจนขนลุกซู่ รอบกายเงียบสงบ ไร้สรรพเสียงและผู้คนคลับคล้าย
ก้าวผ่านเข้าไปอีกมิติหนึ่ง ภาพยอดปรางค์ของพระที่นั่งสรรเพชญ์เลือนหายไปในกระไอหมอกสีขาวอ้อยอิ่ง ภาพซ้อนขึ้นมาคือเรือนไม้
ขนาดใหญ่ หลังคามุงกระเบื้องดินเผา หมู่ต้นตาลน้อยใหญ่รายรอบ มัสลินยืนเคว้งในสมองสับสนมึนงง
“เชิญ…ท่านแม่ทัพรออยู่”
เสียงสตรีหนึ่งดังขึ้นข้างกาย พร้อมกับมือเย็นเฉียบก็แตะลงบนแขนของหญิงสาว มัสลินก้าวตามราวต้องมนต์สะกด
บนชานโล่งมีทาสรับใช้สองสามคนกำลังทำงานง่วนอยู่ ลึกเข้าไปเป็นพื้นไม้ยกสูงฝาผนังโดยรอบและประดับด้วย โล่ ดาบ
และอาวุธโบราณชิ้นอื่นที่หญิงสาวไม่คุ้นตา
“ยินดีต้อนรับสู่เรือน…,มัญชุเกศี บ้านของเจ้า”
เสียงทุ้มกังวานลึกสะท้อนก้องจากมุมหนึ่งของเรือนใหญ่ ความมืดอับแสงทำให้ภาพที่เห็นเป็นเงาดำสูงใหญ่
“ไม่ใช่อยุธยาใช่ไหม?”
หญิงสาวเอ่ยถามในสมองยังหมุนคว้าง กับความแปรเปลี่ยนอย่างเฉียบพลัน
“ที่นี่คือบ้าน…เรือนอยู่เรือนตายของเราสองคน”
ร่างดำมืดเคลื่อนออกมาจากมุมอับแสง ร่างสูงตรงดูแข็งแรงด้วยมัดกล้าม ผ้าฝ้ายสีอ่อนพันทับมาด้านหน้าคล้ายโจงกระเบน
ไม่สวนเสื้อจึงเผยให้เห็นผิวเนื้อเหลืองนวล ผมมุ่นเกล้าเป็นมวยไว้บนศรีษะ ใบหน้านั้นคมคายยิ่งนัก ริมฝีปากได้รูปสวยคล้าย
จะยิ้มหยันในบางสิ่ง ดวงดำสนิทดุจนิลมีเค้าติดจะเหี้ยมโหดเสียด้วยซ้ำ
“คุณภูวราช!”
มัสลินขานชื่อ หากเสียงที่หลุดออกมาไม่ได้ดังไม่กว่ากระซิบ เหงื่อเหนียวๆซึมตามฝ่ามือและหน้าผาก ทั้งๆที่อากาศรอบกายเย็นเยือก
“มัญชุเกศี… เจ้ารู้ไหมว่าข้ารอวันนี้มานานแค่ไหน กี่ชาติภพที่ข้าต้องรอ…รอให้เวลากรรมของข้าและเจ้าเสมอกัน!
เจ้าจะได้รู้รสความทรมานเสียที”
ถ้อยคำกล่าวหาแฝงเร้นด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง
“ฉันติดค้างอะไรคุณ…เราไม่ได้รู้จักกันมากไปกว่าผู้เช่ากับผู้ให้เช่า!”
มัสลินรู้สึกว่าความอึดอัดแน่นอกได้ระบายออกไป
“ชีวิตของเจ้าชาตินี้ยังชดใช้ให้ไม่หมด!”
เสียงทุ้มแผดก้องสะท้อนกลับไปกลับมา ราวผู้พูดโกรธเคืองนักหนา อีกครั้งหนึ่งที่หญิงสาวรู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมา หัวใจสั่นระริกชีพจรเต้นแรง…
เธอกำลังเผชิญกับสิ่งเหนือธรรมชาติ!
“มัสลิน…”
เสียงเรียกนุ่มนวลดังแว่วมาจากที่อันไกลแสนไกล ก่อนจะชัดเจนยิ่งขึ้น ม่านหมอกสีขาวจึงเลือนหาย ภาพทั้งหมดดับวูบลงไม่ต่าง
จากกดสวิทย์ปิดหน้าจอ
“เป็นอะไรครับ? คุณเหนื่อยมากหรือยังไงถึงมานั่งหลับอยู่ตรงนี้”
ภาษาญี่ปุ่นรัวเร็วของลูกทัวร์ทำให้หญิงสาวกระพริบตาถี่ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าในสมองยังสับสนมึนงง
“ขอโทษค่ะ…ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว”
รถคันเล็กที่จอดนิ่งสนิทอยู่ริมรั้วสีขาวม่อๆดูเหมือนจะจอดอยู่เช่นนั้นนานมากแล้ว คนขับยังนั่งประจำที่ หากร่างระหงเอนตัวไปข้างหน้า
คางเกยกับพวงมาลัย ดวงตาแลทอดไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย
“ชีวิตของเจ้าชาตินี้ยังชดใช้ให้ไม่หมด!”
ระลึกชาติหรือก้าวผ่านมิติพิศวง คำถามหมุนวนอยู่ในหัวไม่ต่างจากเส้นทางอันคดเคี้ยวบนเขาวงกต
…เหตุการณ์ประหลาดเมื่อตอนเที่ยงกำลังตอกย้ำว่าชีวิตประจำวันของเธอเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากสิ่งที่มองไม่เห็น!
“เราควรไปวัดหรือไปโรงพยาบาลบ้าก่อนดี?”
มัสลินทบทวน…
เสียงเคาะกระจกด้านข้างดังขึ้นเบาๆ หญิงสาวจึงเบือนหน้าไปมอง พลางเลื่อนกระจกลง
“คู้ณ…เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ฉันเห็นคุณจอดรถอยู่อย่างงี้นานเป็นชั่วโมงแล้วนะ นี่ถ้าจะมารดน้ำมนต์ล่ะก็เข้าไปเถอะหลวงพ่อท่านอยู่พอดี”
“…ท่านช่วยคนได้จริงเหรอป้า?”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูไม่ค่อยแน่ใจนัก
“โอ๊ย…หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์ ใครๆก็ขึ้นหาวันก่อนมีคนโดนคุณไสยมาเห็นเขาว่าโดนเมียน้อยทำเสน่ห์มา หลวงพ่อท่านรดน้ำมนต์ให้
ดิ้นพลาดๆเหมือนปลาโดนทุบหัว เห็นเขาว่าหมอเขมรเป็นคนทำ”
มัสลินถอนหายใจแผ่วเบา เรื่องราวที่เธอกำลังประสบมันไม่ใช่ไสยศาสาตย์ หากกึ่งฝันกึ่งจริงคละเคล้าจนแยกไม่ออก
เหนือสิ่งอื่นใดเรื่องราวเหล่านั้นมีบางคราวที่เธอจดจำได้ราวเคยเกิดขึ้นจริงในชีวิตของตัวเอง
“ขอบคุณนะคะป้า”
หญิงสาวเลื่อนกระจกขึ้น พลางขยับนั่งตัวตรงสตาร์ทรถขับออกไปจากที่นั้น บางทีคำตอบที่เธอต้องการ อาจจะกับคน ‘คนนี้’
สาปแสงจันทร์ ตอนที่ 3
เสียงเพลงหมอลำดังแว่วออกมาจากเรือนครัวหลังเล็กที่ปลูกแยกออกจากตัวตึกใหญ่ ร่างเล็กแกร็นขยับตามจังหวะดนตรี
ถึงกระนั้นมือไม้ก็ยังสาระวนกับเครื่องครัวที่กำลังปรุง เสียงลมหวีดหวิวมาตามช่องไม้ระแนง ความแรงพัดพาข้าวของภายในจนปลิดปลิว
ร่วงหล่น
“ลมอะไรวุ้ย! อยู่ๆก็พัดเข้ามา!”
คนพูดวางมือจากงานที่ทำก้มลงเก็บฝาหม้อ ถุงใส่ผักที่ร่วงลงจากโต๊ะ เงาทะมึนของใครคนหนึ่งไหววูบตรงช่องประตูทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
ลำแสงสีมัวส่องกระทบใบหน้าที่นิ่งสงบดั่งรูปปั้น ดวงตาแข็งกระด้างราวไร้ชีวิต
“ตกใจหมด! มาไม่เคยให้สุ้มให้เสียงกันเลย” ต้อยติ่งต่อว่า
“อาจารย์ภูวราชฝากขนมมาให้คุณย่า…และคุณมอส”
น้ำเสียงเนิบช้าเสมือนท่องจำ จากนั้นตระกร้าใบเล็กก็ถูกยื่นมาให้ตรงหน้า
“ขนมอะไร?”
คนรับยังอดถามต่อมิได้
“อันซอร์ม”
คำตอบยังสั้นกระชับเช่นเคย ร่างเล็กตรงหันหลังกลับไปก่อนจะลับหายในพุ่มไม้ข้างหน้า
“ยังกับผีดิบ!”
“ใครกันต้อยติ่ง?”
หญิงชราร่างผอมเดินเข้ามาในห้องครัวช้าๆ
“แม่อุบลคนรับใช้บ้านอาจารย์ค่ะคุณย่า เอาขนมอะไรไม่รู้มาให้บอกว่าอาจารย์ฝากมา”
เจ้าตัวหยิบขนมขึ้นมาดู ลักษณะคล้ายข้ามต้มมัดไส้กล้วยของไทย
“ขนมพื้นบ้านคนเสียมเรียบมั้ง อาจารย์เขาเป็นคนแถวนั้น เดี๋ยวคุณมอสกลับมาก็จัดขึ้นโต๊ะให้เลยก็ได้ อาจารย์เขามีน้ำใจกับเรา
…เราก็ควรมีน้ำใจตอบเขามั้งนะ”
ผู้อาวุโสของบ้านมีสีหน้าตริตรองชั่วครู่ อาหารเย็นเพิ่งจะเตรียมหากจะเพิ่มอีกสักอย่างสองอย่างก็น่าจะพอรับแขกเพิ่มได้
“ต้อยติ่งบอกแม่ทองใบทำไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์เพิ่มอีกอย่างหนึ่งเถอะ ฉันอยากเชิญอาจารย์มาทานข้าวเย็นที่บ้าน”
ต้อยติ่งเร่งมือปรุงอาหารเย็นจบครบทุกเมนู จากนั้นจึงเดินไปยังเรือนเล็กเพื่อเชิญแขกของหญิงชรา กลิ่นกำยานโรยรินมากับสายลมเอื่อยอ่อน
ครั้นแล้วร่างสูงก็เคลื่อนออกมาจากพุ่มไม้ โดยปราศจากสุ้มเสียงใดๆ
“อุ๊ย!”
คนอุทานใจหล่นวูบ นายบ่าวบ้านนี้บทจะไปจะมาเงียบยิ่งกว่าแมวเดินย่อง
“คุณย่าให้มาเชิญอาจารย์ไปทานข้าวเย็นที่บ้านตึกค่ะ”
“ทราบแล้ว”
เสียงทุ้มราบเรียบ ร่างสูงเดินเลยไปยังบ้านหลังใหญ่
“…อาจารย์รู้ได้ยังไงว่ะ บ้านอยู่ห่างกันตั้งเยอะ”
คนสงสัยยกมือขึ้นเกาหัวแกรก รอบบริเวณที่แต่ความเงียบสงัด ละม้ายเหมือนมีดวงตาลอบเร้นแอบมองอยู่
ก่อให้เกิดความรู้สึกยะเยือกเย็นอย่างประหลาด
“วันนี้มันเป็นอะไร อยู่ๆก็ขนลุกซู่ขึ้นอย่างงั้น”
คนพูดเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะจ้ำอ้าวกลับไปทางเดิม
แสงไฟจากหน้าตึกหลังใหญ่ทอแสงสีนวลกระจ่างตา กลิ่นดอกราตรีจากซุ้มไม้ด้านข้างขจรขจายมากับสายลมตั้งแต่หัวค่ำ
ความเงียบสงบภายนอกทำให้คาดเดาว่า ‘คุณย่า’ คงเข้านอนแต่หัววันเช่นเคย หากเมื่อเปิดประตูเข้าไป เสียงพูดคุยเบาๆดังแว่ว
ออกมาจากห้องอาหาร มัสลินจึงก้าวตรงไปยังห้องนั้น
“อ้าว!มอสมาพอดีเลยลูก ย่าเชิญอาจารย์ภูวราชมาทานข้าวเย็นที่บ้านเรา กำลังคุยเรื่องภาพสลักในนครวัดกันอยู่”
ผู้มากวัยเอ่ยขึ้นเมื่อหญิงสาวเดินเข้ามา
“อาจารย์แกเล่าสนุกจนย่ามองเห็นภาพประสาทหินเสียทุกซอกทุกมุมทีเดียว”
หญิงชราชื่นชมไม่ขาดปาก ขณะมัสลินทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวใกล้
“ถ้าอย่างงั้นคุณย่ากับหนูคงต้องไปหาเวลาไปเที่ยวสักครั้งแล้วมั้งคะ”
“เชิญ…ที่นั้นยังยินดีต้อนรับคุณเสมอ แม้เวลาภายจะเปลี่ยนแต่เวลาที่นั้นยังหยุดนิ่ง”
ปลายประโยคเน้นย้ำอย่างมีเลศนัย หากคนฟังมิได้เฉลียวใจ
“นครวัดเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน แม้แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ก็ยังสร้างเลียนแบบได้ยาก
ไม่รู้ว่าคนโบราณเขาสร้างได้ยังไงกันนะคะ หินก้อนโตๆทั้งนั้น”
หญิงสาวเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย เมื่อแม่สาวต้อยติ่งยกจานอาหารมาวางบนโต๊ะ
“เชิญอาจารย์ภูวราช…กับข้าวที่มีคนแก่ร่วมวงด้วยอาจจืดชืดไปสักนิด”
หญิงชราออกตัว
“ไม่เป็นไรครับ... ความจริงผมก็อายุมากไม่น้อย อาจจะแก่มากกว่าใครหลายร้อยปีทีเดียว เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกมันคงเดิมเท่านั้น”
“หือ…อาจารย์นะรึ?
ผู้สูงวัยเพ่งมอง หากดวงหน้าคมคายของบรุษผู้นั้นมีเค้าอ่อนละมุน ริมฝีปากได้รูปสวยแย้มนิดๆ ทีท่าเช่นนั้นทำให้คู่สนทนารับรู้ว่า ‘พูดเล่น’
เสียมากกว่าจะจริงจัง
“ภาพสลักที่คุณย่าพูดถึงเมื่อกี้ คือนางอัปสรหรือเปล่าคะคุณภูวราช?”
มัสลินเอ่ยถาม ความใคร่รู้บางอย่างเกี่ยวกับภาพฝันประหลาดยังตราตรึงอยู่ในหัวใจ
“คุณมอสเข้าใจถูกต้องแล้วครับ ภาพเหล่านั้นล้วนจำลองมาจากพิธีกวนเกษียรสมุทร ตามความเชื่อในลัทธิไศวะนิกาย
ชาวเขมรนับถือเทพอัปสรเป็นเทพแห่งความดีงามที่คอยปกป้องเทวสถานแห่งนั้น แต่อาจจะมีนางอัปสรบางตนที่จำลองมาจากมนุษย์จริงๆ
...มนุษย์ที่มีหัวใจเลโล”
น้ำเสียงเยือกเย็นนั้นเจือปนด้วยความขมขื่น ชิงชัง
“มนุษย์ไม่ว่ายุคไหนมักไม่ค่อยต่างกัน…กิเลสคือตัวครอบง้ำให้เห็นผิดเป็นชอบเสมอ”
หญิงชราเห็นพ้องด้วยทั้งชีวิตทุกสิ่งไม่เคยจีรัง
“ครับ…เวรกรรมของใครผู้นั้นก็ต้องชดใช้”
มัสลินรวบช้อนเมื่ออาหารในจานพร่องไปเพียงครึ่ง จานกระเบื้องสีขาวถูกเลื่อนมาตรงหน้า
“ขนมพื้นเมืองจากเสียมเรียบ รสชาติทุกอย่างยังคงเดิม”
“เหมือนข้าวต้มมัด”
หญิงสาวพึมพำเมื่อทอดสายตามอง ครั้นปลายลิ้นสัมผัส ‘รส’ เค็ม จืด ดั่งคุ้นนานนับปี
“ตามความเชื่อของคนโบราณ เป็นขนมของคนมีคู่ผูกมัดกันด้วยเชือกกล้วย ไม่ว่ากี่ชาติภพย่อมไม่พรากจากกัน”
ดวงตาคนพูดมีแววลึกซึ้ง ละม้ายจะรำลึกถึงบางสิ่งอันไกลโพ้น
หญิงชราพยักหน้า กับเรื่องราวที่ได้รับรู้
“ของไทยเราก็มีคล้ายกัน…อาจารย์ไม่ชอบอาหารไทยเลยรึ ข้าวไม่พร่องเลยสักนิด”
“ผมทานน้อยครับ…น้อยกว่าคนปกติมาก ”
ต้อยติ่งซึ่งคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่ใกล้ๆ ก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกับผู้สูงวัยของบ้าน ‘อาจารย์หนุ่มรูปหล่อ’
ตักข้าวจรดริมฝีปากแล้วก็วางลงเสียอย่างงั้น ถ้ากินแบบนี้แถวเขาเรียกดม หรือฝีมือป้าทองใบแกด้อยคุณภาพลง
และเมื่อเจ้าตัวเก็บถ้วยจานเข้าไปในครัวเพื่อเตรียงล้าง ข้าวที่เหลือเต็มจานพูนๆนั้นแข็งกระด้างราวทิ้งร้างไว้แรมปี
“ฮ้วย! แข็งยังกับหิน!” สาวต้อยติ่งชักแปลกใจหนักเมื่อจานข้าวใบนั้นคือของ ‘อาจารย์ภูวราช’
ท่ามกลางแสงสว่างอันเจิดจ้า อากาศใกล้เที่ยงวันค่อนข้างร้อนอบอ้าว กลุ่มนักท่องเที่ยวหลายคนเดินชมโบราณสถานซึ่งเป็นพระราชวังโบราณ
ร่มเงาของต้นพุทธาแผ่กิ่งก้านเรียงซ้อนกันเป็นระยะพอช่วยบังแสงแดดได้บ้าง มัสลินให้เวลากับลูกทัวร์ครึ่งชั่วโมงเพื่อถ่ายภาพ
และชื่นชมความงดงามของเมืองหลวงเก่า
เมื่อคล้อยหลังลูกทัวร์หญิงสาวจึงเดินหาร่มเงาเพื่อนั่งพัก ทางเดินแคบเลาะเลียบไปตามแนวกำแพงเตี้ยๆท่ามกลางบรรยากาศ
ที่มีแต่ร่องรอยของอดีตฝั่งไว้ถ้วนทั่ว กระแสลมเย็นเยือกพัดวูบเข้ามาจนขนลุกซู่ รอบกายเงียบสงบ ไร้สรรพเสียงและผู้คนคลับคล้าย
ก้าวผ่านเข้าไปอีกมิติหนึ่ง ภาพยอดปรางค์ของพระที่นั่งสรรเพชญ์เลือนหายไปในกระไอหมอกสีขาวอ้อยอิ่ง ภาพซ้อนขึ้นมาคือเรือนไม้
ขนาดใหญ่ หลังคามุงกระเบื้องดินเผา หมู่ต้นตาลน้อยใหญ่รายรอบ มัสลินยืนเคว้งในสมองสับสนมึนงง
“เชิญ…ท่านแม่ทัพรออยู่”
เสียงสตรีหนึ่งดังขึ้นข้างกาย พร้อมกับมือเย็นเฉียบก็แตะลงบนแขนของหญิงสาว มัสลินก้าวตามราวต้องมนต์สะกด
บนชานโล่งมีทาสรับใช้สองสามคนกำลังทำงานง่วนอยู่ ลึกเข้าไปเป็นพื้นไม้ยกสูงฝาผนังโดยรอบและประดับด้วย โล่ ดาบ
และอาวุธโบราณชิ้นอื่นที่หญิงสาวไม่คุ้นตา
“ยินดีต้อนรับสู่เรือน…,มัญชุเกศี บ้านของเจ้า”
เสียงทุ้มกังวานลึกสะท้อนก้องจากมุมหนึ่งของเรือนใหญ่ ความมืดอับแสงทำให้ภาพที่เห็นเป็นเงาดำสูงใหญ่
“ไม่ใช่อยุธยาใช่ไหม?”
หญิงสาวเอ่ยถามในสมองยังหมุนคว้าง กับความแปรเปลี่ยนอย่างเฉียบพลัน
“ที่นี่คือบ้าน…เรือนอยู่เรือนตายของเราสองคน”
ร่างดำมืดเคลื่อนออกมาจากมุมอับแสง ร่างสูงตรงดูแข็งแรงด้วยมัดกล้าม ผ้าฝ้ายสีอ่อนพันทับมาด้านหน้าคล้ายโจงกระเบน
ไม่สวนเสื้อจึงเผยให้เห็นผิวเนื้อเหลืองนวล ผมมุ่นเกล้าเป็นมวยไว้บนศรีษะ ใบหน้านั้นคมคายยิ่งนัก ริมฝีปากได้รูปสวยคล้าย
จะยิ้มหยันในบางสิ่ง ดวงดำสนิทดุจนิลมีเค้าติดจะเหี้ยมโหดเสียด้วยซ้ำ
“คุณภูวราช!”
มัสลินขานชื่อ หากเสียงที่หลุดออกมาไม่ได้ดังไม่กว่ากระซิบ เหงื่อเหนียวๆซึมตามฝ่ามือและหน้าผาก ทั้งๆที่อากาศรอบกายเย็นเยือก
“มัญชุเกศี… เจ้ารู้ไหมว่าข้ารอวันนี้มานานแค่ไหน กี่ชาติภพที่ข้าต้องรอ…รอให้เวลากรรมของข้าและเจ้าเสมอกัน!
เจ้าจะได้รู้รสความทรมานเสียที”
ถ้อยคำกล่าวหาแฝงเร้นด้วยความเคียดแค้น ชิงชัง
“ฉันติดค้างอะไรคุณ…เราไม่ได้รู้จักกันมากไปกว่าผู้เช่ากับผู้ให้เช่า!”
มัสลินรู้สึกว่าความอึดอัดแน่นอกได้ระบายออกไป
“ชีวิตของเจ้าชาตินี้ยังชดใช้ให้ไม่หมด!”
เสียงทุ้มแผดก้องสะท้อนกลับไปกลับมา ราวผู้พูดโกรธเคืองนักหนา อีกครั้งหนึ่งที่หญิงสาวรู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมา หัวใจสั่นระริกชีพจรเต้นแรง…
เธอกำลังเผชิญกับสิ่งเหนือธรรมชาติ!
“มัสลิน…”
เสียงเรียกนุ่มนวลดังแว่วมาจากที่อันไกลแสนไกล ก่อนจะชัดเจนยิ่งขึ้น ม่านหมอกสีขาวจึงเลือนหาย ภาพทั้งหมดดับวูบลงไม่ต่าง
จากกดสวิทย์ปิดหน้าจอ
“เป็นอะไรครับ? คุณเหนื่อยมากหรือยังไงถึงมานั่งหลับอยู่ตรงนี้”
ภาษาญี่ปุ่นรัวเร็วของลูกทัวร์ทำให้หญิงสาวกระพริบตาถี่ ยกมือขึ้นลูบใบหน้าในสมองยังสับสนมึนงง
“ขอโทษค่ะ…ได้เวลาเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว”
รถคันเล็กที่จอดนิ่งสนิทอยู่ริมรั้วสีขาวม่อๆดูเหมือนจะจอดอยู่เช่นนั้นนานมากแล้ว คนขับยังนั่งประจำที่ หากร่างระหงเอนตัวไปข้างหน้า
คางเกยกับพวงมาลัย ดวงตาแลทอดไปเบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย
“ชีวิตของเจ้าชาตินี้ยังชดใช้ให้ไม่หมด!”
ระลึกชาติหรือก้าวผ่านมิติพิศวง คำถามหมุนวนอยู่ในหัวไม่ต่างจากเส้นทางอันคดเคี้ยวบนเขาวงกต
…เหตุการณ์ประหลาดเมื่อตอนเที่ยงกำลังตอกย้ำว่าชีวิตประจำวันของเธอเปลี่ยนแปลงไปแล้ว จากสิ่งที่มองไม่เห็น!
“เราควรไปวัดหรือไปโรงพยาบาลบ้าก่อนดี?”
มัสลินทบทวน…
เสียงเคาะกระจกด้านข้างดังขึ้นเบาๆ หญิงสาวจึงเบือนหน้าไปมอง พลางเลื่อนกระจกลง
“คู้ณ…เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ฉันเห็นคุณจอดรถอยู่อย่างงี้นานเป็นชั่วโมงแล้วนะ นี่ถ้าจะมารดน้ำมนต์ล่ะก็เข้าไปเถอะหลวงพ่อท่านอยู่พอดี”
“…ท่านช่วยคนได้จริงเหรอป้า?”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามดูไม่ค่อยแน่ใจนัก
“โอ๊ย…หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์ ใครๆก็ขึ้นหาวันก่อนมีคนโดนคุณไสยมาเห็นเขาว่าโดนเมียน้อยทำเสน่ห์มา หลวงพ่อท่านรดน้ำมนต์ให้
ดิ้นพลาดๆเหมือนปลาโดนทุบหัว เห็นเขาว่าหมอเขมรเป็นคนทำ”
มัสลินถอนหายใจแผ่วเบา เรื่องราวที่เธอกำลังประสบมันไม่ใช่ไสยศาสาตย์ หากกึ่งฝันกึ่งจริงคละเคล้าจนแยกไม่ออก
เหนือสิ่งอื่นใดเรื่องราวเหล่านั้นมีบางคราวที่เธอจดจำได้ราวเคยเกิดขึ้นจริงในชีวิตของตัวเอง
“ขอบคุณนะคะป้า”
หญิงสาวเลื่อนกระจกขึ้น พลางขยับนั่งตัวตรงสตาร์ทรถขับออกไปจากที่นั้น บางทีคำตอบที่เธอต้องการ อาจจะกับคน ‘คนนี้’