บทที่ 2
กลิ่นกำยานแกมอับโรยรินเข้ามาเป็นระยะ เสมือนใครคนหนึ่งเดินผ่านไปมาในระยะใกล้ สายลมเย็นพัดผ่านแผ่นหลังยะเยือก
จนหญิงสาวต้องหันมองรอบกาย
“มาพอดี…เชิญทางนี้ครับอาจารย์”
ฉันทะกะลุกขึ้นจากเก้าอี้ มีผลให้คนที่นั่งใกล้ต้องขยับลุกตาม และทันทีที่เห็นผู้มาใหม่ถนัดตา
“คุณ…”
“อ้าว มอสรู้จักอาจารย์ภูวราชด้วยเหรอ?”
ฉันทะกะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“อืม…เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าค่ะ”
“ผมเช่าเรือนเล็กที่บ้านของเธอครับ”
เสียงห้าวลึกกังวานเย็นเยือก บรรยากาศรอบลานกว้างมัวมนครึ้มลงทันที
“อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยตั้งเยอะ อาจารย์จะมาสอนหนังสือทันหรือครับ”
ฉันทะกะทักท้วงด้วยรู้ดีว่าบ้านของมัสลินอยู่คนละมุมเมืองกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“ระยะทางไม่เป็นปัญหาสำหรับผม ผมชอบบ้านหลังนั้น สงบเงียบ เหมาะที่จะทำงานศิลปะเป็นอย่างยิ่ง”
คำตอบเรียบนิ่ง ดวงหน้าคมคายแกมเหลืองมีเค้าเหี้ยมเกรียมอย่างประหลาด แววตาของมัสลินเมื่อทอดมองดวงหน้าของชายหนุ่ม
ราวจะทบทวนความจำ
“คุณภูวราชทำงานศิลปะด้านไหนคะ?”
คำถามแฝงความใคร่รู้
“งานปั้น…แกะสลักหิน”
“ฝีมืออาจารย์ภูวราชเทียบเท่ากับที่นครวัดเลยทีเดียว ถ้ามอสได้เห็นจะชอบ”
ฉันทะกะชื่นชมจากใจจริง แม้อาจารย์บางท่านในคณะจะตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับอีกฝ่ายว่า ลึกลับ หาที่ไปที่มาลำบาก
เข้ามาเป็นอาจารย์พิเศษเพราะเส้นสายจากอธิการบดี หากชายหนุ่มก็ออกโรงปกป้องเรื่อยมา ถึงกระนั้นเขาเองก็ไม่ได้รู้จัก
ภูวราชดีกว่าที่เคยรู้มาเท่าไรนัก เขาแต่เพียงว่า
‘ศิลปินนักปั้น!’
แสงจันทร์สีนวลกระจ่างตา สาดส่องทะลุกิ่งก้านใบของต้นจำปาลงมา เกิดภาพเงาเป็นรูปร่างต่างๆ ทั่วบริเวณมีแต่ความเงียบ
เพราะเป็นเวลาค่อนดึกแล้ว จะมีก็เพียงเสียงลมแผ่วๆคลับคล้ายเสียงทอดถอนหายใจยามทุกข์ทน
หลังนำรถเข้าไปจอด มัสลินเดินย้อนไปล๊อคประตูรั้ว พระจันทร์เต็มดวงประดับเด่นบนผืนฟ้าที่มืดสนิท
ร่างระหงหยุดนิ่งแหงนหน้าขึ้นมอง กระแสลมเยือกเย็นพัดผ่านผิวกายจนหญิงสาวต้องห่อไหล่ เงาดำๆของใครคนหนึ่ง
อยู่ระหว่างพุ่มต้นราชาวดี แสงไฟจากตึกใหญ่ส่องสว่างไปไม่ถึง ทำให้ยากที่จะเห็นได้ชัด
“นั้นใคร?”
หญิงสาวร้องถาม มือกำพวงกุญแจบ้านไว้แน่น หากไม่ชอบมาพากลอาจใช้สิ่งนี้ป้องกันตัวได้
“…ผมเอง ภูวราช”
เสียงห้าว ลึก ดังกังวานในความเงียบ ร่างสูงขยับออกมาจากพุ่มไม้ หากกระนั้นเงาดำก็ยังปกคลุมแลดูทะมึน
ไม่ต่างจากเทวาลัยขนาดใหญ่ กลิ่นละม้ายรูปลอยล่องมากับกระแสลม
“อาจารย์ยังไม่นอนหรือคะ นี่ดึกมากแล้ว”
“ยังครับ…คืนนี้พระจันทร์สวยเกินกว่าจะเข้านอนแต่หัววัน ผมชอบคืนพระจันทร์วันเพ็ญมากกว่าวันไหนๆ
ถึงแม้ว่าความงามของมันจะนำมาซึ่งความขมขื่นให้ใครหลายคนก็ตาม”
คนฟังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“แสงจันทร์เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เหมือนแสงอาทิตย์ซึ่งเราต้องพบเห็นทุกวันอยู่แล้ว
ดิฉันไม่เข้าใจว่าจะเกี่ยวข้องกับความขมขื่นของคนได้ยังไง?”
เสียงหัวเราะห้าวลึก ราวจะเยาะหยันบางสิ่ง
“เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน อาจทำให้คนเราหลงลืมอะไรไปบ้าง ต้องใช้เวลาสักพักทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม”
“เราต้องเคยรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ”
มัสลินเอ่ยย้ำ ความเคยคุ้นที่เลือนๆลางๆผ่านเข้ามาในสมองอีกครั้ง แต่จะทบทวนสักกี่ครั้งความรู้สึกนั้นก็เหมือนม่านหมอกอันหนาทึบ
“ไม่ทราบครับ คุณอาจจะเคยผมเห็นตามท้องถนน ในหอศิลป์ ร้านอาหาร หรือในความฝัน มนุษย์เมื่อพบเจอสิ่งใดบางครั้งก็จะนำ
กลับไปปะติดปะต่อในความฝันก็อาจเป็นได้”
“แล้วอาจารย์ละคะ…คิดว่าเคยเจอดิฉันที่ไหนบ้าง?”
น้ำเสียงของคนถามมีแววกระตือรือร้น บางทีคำตอบของเขาอาจทำให้เงาดำในหัวของเธอเลือนหายไปก็ไปเป็นได้…
แต่คนตอบกลับนิ่งงัน
“ดึกมากแล้ว เชิญคุณมัสลินขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ อีกสักพักผมก็จะเข้านอนเหมือนกัน”
“…ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ร่างดำในเงามืดยังนิ่งสงบราวรูปปั้น มัสลินจึงก้าวเดินเข้าสู่ตัวบ้าน สายลมเย็นพัดผ่านจนกิ่งไม้วูบไหว
กระแสเสียงหนึ่งคลับคล้ายกระซิบกระซาบตามมา
“เราต้องได้พบกันอีกแน่!”
หญิงสาวชะงักเท้าหันไปมองพุ่มราชาวดีเมื่อครู่ …บริเวณนั้นว่างเปล่า
ร่างระหงในชุดนอนตัวยาว ล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างด้วยความง่วงงุน เมื่อหัวถึงหมอนมัสลินก็หลับลึกในทันที
ภาพสลัวสีขาวค่อยแจ่มชัดขึ้น ภายในกำแพงหนาคือลานเรียบกว้าง มีกลุ่มดอกไม้ปลูกประดับคล้ายสวนหย่อม
เสียงหัวร่อต่อกระซิบดังแว่วมาจากสระน้ำกว้าง ดรุณีหลายนางแหวกว่ายหยอกเย้ากันสนุกสนาน
“มัญชุเกศี…มัญชุเกศี”
เธอได้ยินเสียงเรียกทว่าครั้งนี้เป็นเสียงของสตรี มิใช่เสียงห้าวลึกดังเช่นทุกครั้ง ร่างงามระหงที่ก้าวขึ้นจากสระน้ำ
มีเพียงอาภรณ์ผืนใหญ่พันรอบกายเท่านั้น แสงที่สว่างวาบขึ้นเผยให้เห็นผู้มาเรียกชัดเจน
“แม่!”
หากคนที่อยู่ในความฝันแม้ดวงหน้าจะใช่มารดาของเธอ หากการแต่งกายในชุดผ้านุ่งชายช้อนกันตรงหน้าสีหมากสุก
คาดเข็มขัดคล้ายโลหะลวดลายแปลกตา ไม่สวมเสื้อ
“ขึ้นมาจากน้ำ! เผลอเป็นไม่ได้เชียวชอบลงมาเที่ยวซน เจ้าพวกนี้ก็เหมือนกันไม่คิดจะห้ามปรามกันสักนิด”
เสียงตวาดแกมบ่นระเรื่อยไปจนถึงกลุ่มเด็กสาวที่ทยอยก้าวขึ้นมาจากสระน้ำ หากคนถูกเรียกชื่อเมื่อครู่
ถูกกึ่งลากกึ่งจูงขึ้นสู่เรือนไม้ขนาดใหญ่
“เปลี่ยนผ้าเสีย แล้วออกไปหัดรำ ใกล้วันสำคัญเข้ามาแล้ว”
ร่างเล็กบางลับหายเข้าไปในห้องห้องหนึ่งสักพักก็กลับออกมา ในชุดผ้านุ่งผืนใหม่ เสียงพาทย์
เสียงพิณดังแว่วขึ้นพร้อมกับเสียงขับลำนำที่สอดคล้องกันอย่างเหมาะเจาะ มัสลินเห็นตัวเองเริ่มร่ายรำ
ในท่วงท่าหลากหลายตามเสียงขับลำนำของมารดา
“เนียง…บังคมกรอม”
“เนียง…อาตึสเตียน”
ภาษาไม่คุ้นหูแต่เธอรับรู้และทำตามได้อย่างถูกต้อง…เสียงมารดาหยุดขับลำนำก่อนจะบอกกับเธอว่า
“วันนี้พอแค่นี้แหละ มะรืนต้องออกเดินทางแต่เช้า …มัญชุเกศีลูกต้องรำให้สวยเหมือนอย่างวันนี้ งานใหญ่ของบ้านเราต้องไม่มีสิ่งใดผิดพลาด”
“ลูกไม่อยากไป”
“อย่าดื้อ! เดี๋ยวจะเจ็บตัว!”
เสียงสั่งเฉียบขาด ในภาพฝันเธอมิได้ปริปากพูดอีกแม้แต่คำเดียว
ห้องโถงกว้างประดับประดาด้วยดอกไม้และประทีปโคมไฟงดงาม ผู้คนนับร้อยนับพันเดินกันขวักไขว่ ก่อนทุกอย่างจะสงบนิ่งลง
เมื่อเสียงหนึ่งดังกังวาน
“….พระราชาธิราชเสด็จ ก้มหัวลงห้ามเงยหน้า!”
มัสลินรู้สึกเหมือนมีมือของใครคนหนึ่ง จับศีรษะของเธอกดลงจนหน้าผากแนบติดพื้น ในความฝันเธอกลัวจับหัวใจ
เหงื่อกาฬแตกพลั่กตราบจนเสียงทุ้มดังสะท้อนขึ้น
“อัปสราสำแดง…”
เสียงดนตรี เสียงลำนำคุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง เธอลุกขึ้นเยื้องกรายออกไป ณ กลางห้องโดยมีเหล่านางรำคนอื่นก้าวเดินตามออกไป
ไม่ต่างจากหมู่ผีเสื้อที่กำลังโบยบินไปตามท่วงทำนองอันพริ้วไหวของสายลม ฉับพลันภาพเหล่านั้นก็ดับวูบลง
ภาพที่ซ้อนขึ้นมาคือศาลาไม้เมื่อครู่แต่มีแต่เปลวไฟสีแดงฉานกำลังลุกโพลง เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของสตรีดังเซ็งแซ่
เสียงอาวุธ เสียงครวญครางคละเคล้ากับกลิ่นคาวเลือด
“นี่มันอะไรกัน…เกิดอะไรขึ้น ช่วยด้วย!”
มัสลินตะโกนก้องหากเสียงมิได้หลุดพ้นออกจากลำคอเลยสักนิด และภาพเหล่านั้นก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น ร่างกายเหมือนถูกตรึงให้อยู่กับที่
หญิงสาวกำมือแน่นฝืนตัวเองให้หลุดพ้นจากแรงยึดเหนี่ยวนั้น
“นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ”
ร่างระหงทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่นอน ถอบหายใจถี่กระชั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆซึมทั่วใบหน้า มือทั้งสองยังข้างกำแน่นจนเกร็ง ก่อนจะคลายออก
“เอ๊ะ!”
มัสลินอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อมีวัตถุหนึ่งร่วงลงสู่พื้นห้อง หญิงสาวจึงเลื่อนตัวลงจากเตียงก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ
“ตุ้มหู…”
ลวดลายที่สลักเสลาเป็นช่อดอกไม้ดูอ่อนช้อยงดงาม แม้จะมีขนาดใหญ่มากกว่าตุ้มหูที่เคยเห็นในปัจจุบัน หากก็ดูเจนตาอย่างบอกไม่ถูก มัสลินลูบคลำวัตถุชิ้นนั้นอย่างทะนุถนอม …ความรู้สึกเสมือนได้ของรักกลับคืนมากระนั้น
ทางเดินโล่ง เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นอาคารเป็นจังหวะเท่านั้น ภาคเรียนในช่วงบ่ายนักศึกษา
คงทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว ภายในมหาวิทยาลัยจึงดูว่างเปล่า ร่างระหงในชุดเสื้อกระโปรงติดกันสีอ่อน
ก้าวเท้าช้าลงเมื่อแลเห็นป้ายชื่อเจ้าของห้อง
“นึกว่าจะไม่มาเสียอีก กำลังจะโทรศัพท์ไปตามพอดี”
เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นทันที เมื่อประตูห้องเปิดออก
“รถติดแถวทางขึ้นสะพานเลยช้าไปนิดค่ะ กลัวพี่ฉันท์จะรีบกลับเหมือนกัน พอลงมาได้เหยียบเต็มที่เลย”
คนพูดลากเก้าอี้ออกมาเล็กน้อยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม
“ไหน จะเอาอะไรมาให้พี่ดู”
มัสลินเปิดกระเป๋าสะพายหยิบถุงผ้าใบเล็กส่งให้อีกฝ่าย
“ตุ้มหูค่ะ แต่มีข้างเดียว”
ฉันทะกะรูดปากถุงที่ผูกเชือกไว้ออก หยิบวัตถุที่มีน้ำหนักเล็กน้อยขึ้นมาพิจารณา เนื้อทองคำดูขมุกขมัวลวดลายที่สลักเสลา
ลงบนเนื้อทองแม้จะดูหนา หากก็ประณีตแสดงถึงฝีมือของคนทำที่เชียวชาญกับงานชนิดนี้
“ไปได้มาจากไหน?”
คนพิจารณาตั้งคำถาม ด้วยงานที่ค้นคว้ามักเกี่ยวกับวัตถุโบราณอยู่บ้าง
“ติดมือมาตอนนอนหลับแล้วฝันถึงเมืองโบราณ”
คนนั่งอยู่โต๊ะทำงานตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นมาในทันที ประกายในดวงตาขบขันมากกว่าจะเชื่อถือในสิ่งที่ตนได้ยิน
“เมาหรือเปล่าเนี่ย? เพ้อเจ้อเกินไปหรือเปล่ามอส ใครมันจะหยิบของในความฝันของตัวเองออกมาสู่โลกของความจริงได้
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยล่ะ”
มัสลินไม่ตอบในทันที หากเอนหลังพิงผนังเก้าอี้ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่ตั้งคำถามเช่นนี้ เธอเองก็ตั้งคำถามข้อนี้กับตัวเองเหมือนกัน
…ก็แล้วใครเล่าจะให้คำตอบกับเธอได้
“มอสเข้าใจค่ะ ว่าเรื่องมันดูเลอะเทอะไม่น่าเชื่อถือไปเล่าให้ใครฟังเขาก็คงหัวเราะ…แต่มอสได้สิ่งนี้มาจากความฝันจริงๆนะคะพี่ฉันท์”
หญิงสาวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เอาล่ะ…จะให้เชื่อก็ดูจะตะขิดตะขวงใจไปหน่อยเอาเป็นว่าเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลแล้วกันนะ แต่ขอเวลาศึกษาอีกที
จากลวดลายและวัสดุที่ใช้ ก็น่าจะมีอายุนานอยู่ แต่จะสมัยไหนนั้นอาจต้องพึ่งนักโบราณคดี ถ้าในความเห็นส่วนตัวพี่นะน่าจะอยู่ในสมัยสุโขทัย
กรุงศรีอยุธยาไม่น่าใช่เพราะเนื้องานดูหยาบกว่ากัน”
“งั้นมอสฝากไว้กับพี่ฉันท์แล้วกันค่ะ ได้คำตอบยังไงโทรบอกด้วยนะคะ”
“ช่วงนี้ไม่มีลูกทัวร์เหรอ เห็นว่างๆไปไหนมาไหนได้”
“เงียบๆค่ะ… แต่พรุ่งมีกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่นไปอยุธยา”
“คุณย่าสบายดีนะ พี่ว่าจะหาเวลาว่างไปเยี่ยมเสียหน่อย รู้สึกนานล่ะที่ไม่ได้ไปบ้านตึก”
“พี่ฉันท์ว่างเมื่อไรก็เชิญเถอะค่ะ มอสขอตัวกลับก่อนนะคะ ฟ้าครึ้มๆเหมือนฝนจะตกไม่อยากรถติดอยู่บนถนนนานๆ น่าเบื่อ”
หญิงสาวลุกขึ้นสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ทีท่านั้นดูทะมัดทะแมงสมกับเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ทำให้แววตาของคนที่นั่งอยู่มีประกายลึกซึ้งฉายชัดขึ้นมาแวบหนึ่ง
“ขับรถดีๆล่ะ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับเหมือนกัน”
มัสลินยิ้มอ่อน ก่อนจะผลักบานประตูก้าวเดินออกไป ทั่วบริเวณตึกนั้นเงียบสงัดลำแสงสีอ่อนของดวงอาทิตย์เริ่มล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็วทำให้บรรยากาศดูขมุกขมัวลงทันตา กลิ่นหอมบางอย่างโชยอ่อนมากับสายลมเย็นเยือก เงาดำๆมืดครึ้มทามทับลงไปหลังเหลี่ยมของระเบียงยาว
ก่อนจะไหววูบตามหลังหญิงสาวไป
สาปแสงจันทร์ ตอนที่ 2
กลิ่นกำยานแกมอับโรยรินเข้ามาเป็นระยะ เสมือนใครคนหนึ่งเดินผ่านไปมาในระยะใกล้ สายลมเย็นพัดผ่านแผ่นหลังยะเยือก
จนหญิงสาวต้องหันมองรอบกาย
“มาพอดี…เชิญทางนี้ครับอาจารย์”
ฉันทะกะลุกขึ้นจากเก้าอี้ มีผลให้คนที่นั่งใกล้ต้องขยับลุกตาม และทันทีที่เห็นผู้มาใหม่ถนัดตา
“คุณ…”
“อ้าว มอสรู้จักอาจารย์ภูวราชด้วยเหรอ?”
ฉันทะกะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“อืม…เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าค่ะ”
“ผมเช่าเรือนเล็กที่บ้านของเธอครับ”
เสียงห้าวลึกกังวานเย็นเยือก บรรยากาศรอบลานกว้างมัวมนครึ้มลงทันที
“อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยตั้งเยอะ อาจารย์จะมาสอนหนังสือทันหรือครับ”
ฉันทะกะทักท้วงด้วยรู้ดีว่าบ้านของมัสลินอยู่คนละมุมเมืองกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“ระยะทางไม่เป็นปัญหาสำหรับผม ผมชอบบ้านหลังนั้น สงบเงียบ เหมาะที่จะทำงานศิลปะเป็นอย่างยิ่ง”
คำตอบเรียบนิ่ง ดวงหน้าคมคายแกมเหลืองมีเค้าเหี้ยมเกรียมอย่างประหลาด แววตาของมัสลินเมื่อทอดมองดวงหน้าของชายหนุ่ม
ราวจะทบทวนความจำ
“คุณภูวราชทำงานศิลปะด้านไหนคะ?”
คำถามแฝงความใคร่รู้
“งานปั้น…แกะสลักหิน”
“ฝีมืออาจารย์ภูวราชเทียบเท่ากับที่นครวัดเลยทีเดียว ถ้ามอสได้เห็นจะชอบ”
ฉันทะกะชื่นชมจากใจจริง แม้อาจารย์บางท่านในคณะจะตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับอีกฝ่ายว่า ลึกลับ หาที่ไปที่มาลำบาก
เข้ามาเป็นอาจารย์พิเศษเพราะเส้นสายจากอธิการบดี หากชายหนุ่มก็ออกโรงปกป้องเรื่อยมา ถึงกระนั้นเขาเองก็ไม่ได้รู้จัก
ภูวราชดีกว่าที่เคยรู้มาเท่าไรนัก เขาแต่เพียงว่า
‘ศิลปินนักปั้น!’
แสงจันทร์สีนวลกระจ่างตา สาดส่องทะลุกิ่งก้านใบของต้นจำปาลงมา เกิดภาพเงาเป็นรูปร่างต่างๆ ทั่วบริเวณมีแต่ความเงียบ
เพราะเป็นเวลาค่อนดึกแล้ว จะมีก็เพียงเสียงลมแผ่วๆคลับคล้ายเสียงทอดถอนหายใจยามทุกข์ทน
หลังนำรถเข้าไปจอด มัสลินเดินย้อนไปล๊อคประตูรั้ว พระจันทร์เต็มดวงประดับเด่นบนผืนฟ้าที่มืดสนิท
ร่างระหงหยุดนิ่งแหงนหน้าขึ้นมอง กระแสลมเยือกเย็นพัดผ่านผิวกายจนหญิงสาวต้องห่อไหล่ เงาดำๆของใครคนหนึ่ง
อยู่ระหว่างพุ่มต้นราชาวดี แสงไฟจากตึกใหญ่ส่องสว่างไปไม่ถึง ทำให้ยากที่จะเห็นได้ชัด
“นั้นใคร?”
หญิงสาวร้องถาม มือกำพวงกุญแจบ้านไว้แน่น หากไม่ชอบมาพากลอาจใช้สิ่งนี้ป้องกันตัวได้
“…ผมเอง ภูวราช”
เสียงห้าว ลึก ดังกังวานในความเงียบ ร่างสูงขยับออกมาจากพุ่มไม้ หากกระนั้นเงาดำก็ยังปกคลุมแลดูทะมึน
ไม่ต่างจากเทวาลัยขนาดใหญ่ กลิ่นละม้ายรูปลอยล่องมากับกระแสลม
“อาจารย์ยังไม่นอนหรือคะ นี่ดึกมากแล้ว”
“ยังครับ…คืนนี้พระจันทร์สวยเกินกว่าจะเข้านอนแต่หัววัน ผมชอบคืนพระจันทร์วันเพ็ญมากกว่าวันไหนๆ
ถึงแม้ว่าความงามของมันจะนำมาซึ่งความขมขื่นให้ใครหลายคนก็ตาม”
คนฟังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“แสงจันทร์เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เหมือนแสงอาทิตย์ซึ่งเราต้องพบเห็นทุกวันอยู่แล้ว
ดิฉันไม่เข้าใจว่าจะเกี่ยวข้องกับความขมขื่นของคนได้ยังไง?”
เสียงหัวเราะห้าวลึก ราวจะเยาะหยันบางสิ่ง
“เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน อาจทำให้คนเราหลงลืมอะไรไปบ้าง ต้องใช้เวลาสักพักทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม”
“เราต้องเคยรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ”
มัสลินเอ่ยย้ำ ความเคยคุ้นที่เลือนๆลางๆผ่านเข้ามาในสมองอีกครั้ง แต่จะทบทวนสักกี่ครั้งความรู้สึกนั้นก็เหมือนม่านหมอกอันหนาทึบ
“ไม่ทราบครับ คุณอาจจะเคยผมเห็นตามท้องถนน ในหอศิลป์ ร้านอาหาร หรือในความฝัน มนุษย์เมื่อพบเจอสิ่งใดบางครั้งก็จะนำ
กลับไปปะติดปะต่อในความฝันก็อาจเป็นได้”
“แล้วอาจารย์ละคะ…คิดว่าเคยเจอดิฉันที่ไหนบ้าง?”
น้ำเสียงของคนถามมีแววกระตือรือร้น บางทีคำตอบของเขาอาจทำให้เงาดำในหัวของเธอเลือนหายไปก็ไปเป็นได้…
แต่คนตอบกลับนิ่งงัน
“ดึกมากแล้ว เชิญคุณมัสลินขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ อีกสักพักผมก็จะเข้านอนเหมือนกัน”
“…ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
ร่างดำในเงามืดยังนิ่งสงบราวรูปปั้น มัสลินจึงก้าวเดินเข้าสู่ตัวบ้าน สายลมเย็นพัดผ่านจนกิ่งไม้วูบไหว
กระแสเสียงหนึ่งคลับคล้ายกระซิบกระซาบตามมา
“เราต้องได้พบกันอีกแน่!”
หญิงสาวชะงักเท้าหันไปมองพุ่มราชาวดีเมื่อครู่ …บริเวณนั้นว่างเปล่า
ร่างระหงในชุดนอนตัวยาว ล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างด้วยความง่วงงุน เมื่อหัวถึงหมอนมัสลินก็หลับลึกในทันที
ภาพสลัวสีขาวค่อยแจ่มชัดขึ้น ภายในกำแพงหนาคือลานเรียบกว้าง มีกลุ่มดอกไม้ปลูกประดับคล้ายสวนหย่อม
เสียงหัวร่อต่อกระซิบดังแว่วมาจากสระน้ำกว้าง ดรุณีหลายนางแหวกว่ายหยอกเย้ากันสนุกสนาน
“มัญชุเกศี…มัญชุเกศี”
เธอได้ยินเสียงเรียกทว่าครั้งนี้เป็นเสียงของสตรี มิใช่เสียงห้าวลึกดังเช่นทุกครั้ง ร่างงามระหงที่ก้าวขึ้นจากสระน้ำ
มีเพียงอาภรณ์ผืนใหญ่พันรอบกายเท่านั้น แสงที่สว่างวาบขึ้นเผยให้เห็นผู้มาเรียกชัดเจน
“แม่!”
หากคนที่อยู่ในความฝันแม้ดวงหน้าจะใช่มารดาของเธอ หากการแต่งกายในชุดผ้านุ่งชายช้อนกันตรงหน้าสีหมากสุก
คาดเข็มขัดคล้ายโลหะลวดลายแปลกตา ไม่สวมเสื้อ
“ขึ้นมาจากน้ำ! เผลอเป็นไม่ได้เชียวชอบลงมาเที่ยวซน เจ้าพวกนี้ก็เหมือนกันไม่คิดจะห้ามปรามกันสักนิด”
เสียงตวาดแกมบ่นระเรื่อยไปจนถึงกลุ่มเด็กสาวที่ทยอยก้าวขึ้นมาจากสระน้ำ หากคนถูกเรียกชื่อเมื่อครู่
ถูกกึ่งลากกึ่งจูงขึ้นสู่เรือนไม้ขนาดใหญ่
“เปลี่ยนผ้าเสีย แล้วออกไปหัดรำ ใกล้วันสำคัญเข้ามาแล้ว”
ร่างเล็กบางลับหายเข้าไปในห้องห้องหนึ่งสักพักก็กลับออกมา ในชุดผ้านุ่งผืนใหม่ เสียงพาทย์
เสียงพิณดังแว่วขึ้นพร้อมกับเสียงขับลำนำที่สอดคล้องกันอย่างเหมาะเจาะ มัสลินเห็นตัวเองเริ่มร่ายรำ
ในท่วงท่าหลากหลายตามเสียงขับลำนำของมารดา
“เนียง…บังคมกรอม”
“เนียง…อาตึสเตียน”
ภาษาไม่คุ้นหูแต่เธอรับรู้และทำตามได้อย่างถูกต้อง…เสียงมารดาหยุดขับลำนำก่อนจะบอกกับเธอว่า
“วันนี้พอแค่นี้แหละ มะรืนต้องออกเดินทางแต่เช้า …มัญชุเกศีลูกต้องรำให้สวยเหมือนอย่างวันนี้ งานใหญ่ของบ้านเราต้องไม่มีสิ่งใดผิดพลาด”
“ลูกไม่อยากไป”
“อย่าดื้อ! เดี๋ยวจะเจ็บตัว!”
เสียงสั่งเฉียบขาด ในภาพฝันเธอมิได้ปริปากพูดอีกแม้แต่คำเดียว
ห้องโถงกว้างประดับประดาด้วยดอกไม้และประทีปโคมไฟงดงาม ผู้คนนับร้อยนับพันเดินกันขวักไขว่ ก่อนทุกอย่างจะสงบนิ่งลง
เมื่อเสียงหนึ่งดังกังวาน
“….พระราชาธิราชเสด็จ ก้มหัวลงห้ามเงยหน้า!”
มัสลินรู้สึกเหมือนมีมือของใครคนหนึ่ง จับศีรษะของเธอกดลงจนหน้าผากแนบติดพื้น ในความฝันเธอกลัวจับหัวใจ
เหงื่อกาฬแตกพลั่กตราบจนเสียงทุ้มดังสะท้อนขึ้น
“อัปสราสำแดง…”
เสียงดนตรี เสียงลำนำคุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง เธอลุกขึ้นเยื้องกรายออกไป ณ กลางห้องโดยมีเหล่านางรำคนอื่นก้าวเดินตามออกไป
ไม่ต่างจากหมู่ผีเสื้อที่กำลังโบยบินไปตามท่วงทำนองอันพริ้วไหวของสายลม ฉับพลันภาพเหล่านั้นก็ดับวูบลง
ภาพที่ซ้อนขึ้นมาคือศาลาไม้เมื่อครู่แต่มีแต่เปลวไฟสีแดงฉานกำลังลุกโพลง เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของสตรีดังเซ็งแซ่
เสียงอาวุธ เสียงครวญครางคละเคล้ากับกลิ่นคาวเลือด
“นี่มันอะไรกัน…เกิดอะไรขึ้น ช่วยด้วย!”
มัสลินตะโกนก้องหากเสียงมิได้หลุดพ้นออกจากลำคอเลยสักนิด และภาพเหล่านั้นก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น ร่างกายเหมือนถูกตรึงให้อยู่กับที่
หญิงสาวกำมือแน่นฝืนตัวเองให้หลุดพ้นจากแรงยึดเหนี่ยวนั้น
“นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ”
ร่างระหงทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่นอน ถอบหายใจถี่กระชั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆซึมทั่วใบหน้า มือทั้งสองยังข้างกำแน่นจนเกร็ง ก่อนจะคลายออก
“เอ๊ะ!”
มัสลินอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อมีวัตถุหนึ่งร่วงลงสู่พื้นห้อง หญิงสาวจึงเลื่อนตัวลงจากเตียงก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ
“ตุ้มหู…”
ลวดลายที่สลักเสลาเป็นช่อดอกไม้ดูอ่อนช้อยงดงาม แม้จะมีขนาดใหญ่มากกว่าตุ้มหูที่เคยเห็นในปัจจุบัน หากก็ดูเจนตาอย่างบอกไม่ถูก มัสลินลูบคลำวัตถุชิ้นนั้นอย่างทะนุถนอม …ความรู้สึกเสมือนได้ของรักกลับคืนมากระนั้น
ทางเดินโล่ง เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นอาคารเป็นจังหวะเท่านั้น ภาคเรียนในช่วงบ่ายนักศึกษา
คงทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว ภายในมหาวิทยาลัยจึงดูว่างเปล่า ร่างระหงในชุดเสื้อกระโปรงติดกันสีอ่อน
ก้าวเท้าช้าลงเมื่อแลเห็นป้ายชื่อเจ้าของห้อง
“นึกว่าจะไม่มาเสียอีก กำลังจะโทรศัพท์ไปตามพอดี”
เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นทันที เมื่อประตูห้องเปิดออก
“รถติดแถวทางขึ้นสะพานเลยช้าไปนิดค่ะ กลัวพี่ฉันท์จะรีบกลับเหมือนกัน พอลงมาได้เหยียบเต็มที่เลย”
คนพูดลากเก้าอี้ออกมาเล็กน้อยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม
“ไหน จะเอาอะไรมาให้พี่ดู”
มัสลินเปิดกระเป๋าสะพายหยิบถุงผ้าใบเล็กส่งให้อีกฝ่าย
“ตุ้มหูค่ะ แต่มีข้างเดียว”
ฉันทะกะรูดปากถุงที่ผูกเชือกไว้ออก หยิบวัตถุที่มีน้ำหนักเล็กน้อยขึ้นมาพิจารณา เนื้อทองคำดูขมุกขมัวลวดลายที่สลักเสลา
ลงบนเนื้อทองแม้จะดูหนา หากก็ประณีตแสดงถึงฝีมือของคนทำที่เชียวชาญกับงานชนิดนี้
“ไปได้มาจากไหน?”
คนพิจารณาตั้งคำถาม ด้วยงานที่ค้นคว้ามักเกี่ยวกับวัตถุโบราณอยู่บ้าง
“ติดมือมาตอนนอนหลับแล้วฝันถึงเมืองโบราณ”
คนนั่งอยู่โต๊ะทำงานตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นมาในทันที ประกายในดวงตาขบขันมากกว่าจะเชื่อถือในสิ่งที่ตนได้ยิน
“เมาหรือเปล่าเนี่ย? เพ้อเจ้อเกินไปหรือเปล่ามอส ใครมันจะหยิบของในความฝันของตัวเองออกมาสู่โลกของความจริงได้
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยล่ะ”
มัสลินไม่ตอบในทันที หากเอนหลังพิงผนังเก้าอี้ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่ตั้งคำถามเช่นนี้ เธอเองก็ตั้งคำถามข้อนี้กับตัวเองเหมือนกัน
…ก็แล้วใครเล่าจะให้คำตอบกับเธอได้
“มอสเข้าใจค่ะ ว่าเรื่องมันดูเลอะเทอะไม่น่าเชื่อถือไปเล่าให้ใครฟังเขาก็คงหัวเราะ…แต่มอสได้สิ่งนี้มาจากความฝันจริงๆนะคะพี่ฉันท์”
หญิงสาวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“เอาล่ะ…จะให้เชื่อก็ดูจะตะขิดตะขวงใจไปหน่อยเอาเป็นว่าเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลแล้วกันนะ แต่ขอเวลาศึกษาอีกที
จากลวดลายและวัสดุที่ใช้ ก็น่าจะมีอายุนานอยู่ แต่จะสมัยไหนนั้นอาจต้องพึ่งนักโบราณคดี ถ้าในความเห็นส่วนตัวพี่นะน่าจะอยู่ในสมัยสุโขทัย
กรุงศรีอยุธยาไม่น่าใช่เพราะเนื้องานดูหยาบกว่ากัน”
“งั้นมอสฝากไว้กับพี่ฉันท์แล้วกันค่ะ ได้คำตอบยังไงโทรบอกด้วยนะคะ”
“ช่วงนี้ไม่มีลูกทัวร์เหรอ เห็นว่างๆไปไหนมาไหนได้”
“เงียบๆค่ะ… แต่พรุ่งมีกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่นไปอยุธยา”
“คุณย่าสบายดีนะ พี่ว่าจะหาเวลาว่างไปเยี่ยมเสียหน่อย รู้สึกนานล่ะที่ไม่ได้ไปบ้านตึก”
“พี่ฉันท์ว่างเมื่อไรก็เชิญเถอะค่ะ มอสขอตัวกลับก่อนนะคะ ฟ้าครึ้มๆเหมือนฝนจะตกไม่อยากรถติดอยู่บนถนนนานๆ น่าเบื่อ”
หญิงสาวลุกขึ้นสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ทีท่านั้นดูทะมัดทะแมงสมกับเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ทำให้แววตาของคนที่นั่งอยู่มีประกายลึกซึ้งฉายชัดขึ้นมาแวบหนึ่ง
“ขับรถดีๆล่ะ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับเหมือนกัน”
มัสลินยิ้มอ่อน ก่อนจะผลักบานประตูก้าวเดินออกไป ทั่วบริเวณตึกนั้นเงียบสงัดลำแสงสีอ่อนของดวงอาทิตย์เริ่มล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็วทำให้บรรยากาศดูขมุกขมัวลงทันตา กลิ่นหอมบางอย่างโชยอ่อนมากับสายลมเย็นเยือก เงาดำๆมืดครึ้มทามทับลงไปหลังเหลี่ยมของระเบียงยาว
ก่อนจะไหววูบตามหลังหญิงสาวไป