สาปแสงจันทร์ ตอนที่ 2

กระทู้สนทนา
บทที่ 2

กลิ่นกำยานแกมอับโรยรินเข้ามาเป็นระยะ เสมือนใครคนหนึ่งเดินผ่านไปมาในระยะใกล้ สายลมเย็นพัดผ่านแผ่นหลังยะเยือก
จนหญิงสาวต้องหันมองรอบกาย

“มาพอดี…เชิญทางนี้ครับอาจารย์”

ฉันทะกะลุกขึ้นจากเก้าอี้ มีผลให้คนที่นั่งใกล้ต้องขยับลุกตาม และทันทีที่เห็นผู้มาใหม่ถนัดตา
“คุณ…”

“อ้าว มอสรู้จักอาจารย์ภูวราชด้วยเหรอ?”

ฉันทะกะเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“อืม…เพิ่งเจอกันเมื่อเช้าค่ะ”

“ผมเช่าเรือนเล็กที่บ้านของเธอครับ”

เสียงห้าวลึกกังวานเย็นเยือก บรรยากาศรอบลานกว้างมัวมนครึ้มลงทันที

“อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยตั้งเยอะ อาจารย์จะมาสอนหนังสือทันหรือครับ”

ฉันทะกะทักท้วงด้วยรู้ดีว่าบ้านของมัสลินอยู่คนละมุมเมืองกับมหาวิทยาลัยแห่งนี้

“ระยะทางไม่เป็นปัญหาสำหรับผม ผมชอบบ้านหลังนั้น สงบเงียบ เหมาะที่จะทำงานศิลปะเป็นอย่างยิ่ง”

คำตอบเรียบนิ่ง ดวงหน้าคมคายแกมเหลืองมีเค้าเหี้ยมเกรียมอย่างประหลาด แววตาของมัสลินเมื่อทอดมองดวงหน้าของชายหนุ่ม
ราวจะทบทวนความจำ

“คุณภูวราชทำงานศิลปะด้านไหนคะ?”

คำถามแฝงความใคร่รู้

“งานปั้น…แกะสลักหิน”

“ฝีมืออาจารย์ภูวราชเทียบเท่ากับที่นครวัดเลยทีเดียว ถ้ามอสได้เห็นจะชอบ”

ฉันทะกะชื่นชมจากใจจริง แม้อาจารย์บางท่านในคณะจะตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับอีกฝ่ายว่า ลึกลับ หาที่ไปที่มาลำบาก
เข้ามาเป็นอาจารย์พิเศษเพราะเส้นสายจากอธิการบดี หากชายหนุ่มก็ออกโรงปกป้องเรื่อยมา ถึงกระนั้นเขาเองก็ไม่ได้รู้จัก
ภูวราชดีกว่าที่เคยรู้มาเท่าไรนัก เขาแต่เพียงว่า

‘ศิลปินนักปั้น!’   


แสงจันทร์สีนวลกระจ่างตา สาดส่องทะลุกิ่งก้านใบของต้นจำปาลงมา เกิดภาพเงาเป็นรูปร่างต่างๆ ทั่วบริเวณมีแต่ความเงียบ
เพราะเป็นเวลาค่อนดึกแล้ว จะมีก็เพียงเสียงลมแผ่วๆคลับคล้ายเสียงทอดถอนหายใจยามทุกข์ทน
หลังนำรถเข้าไปจอด มัสลินเดินย้อนไปล๊อคประตูรั้ว พระจันทร์เต็มดวงประดับเด่นบนผืนฟ้าที่มืดสนิท
ร่างระหงหยุดนิ่งแหงนหน้าขึ้นมอง กระแสลมเยือกเย็นพัดผ่านผิวกายจนหญิงสาวต้องห่อไหล่ เงาดำๆของใครคนหนึ่ง
อยู่ระหว่างพุ่มต้นราชาวดี แสงไฟจากตึกใหญ่ส่องสว่างไปไม่ถึง ทำให้ยากที่จะเห็นได้ชัด

“นั้นใคร?”

หญิงสาวร้องถาม มือกำพวงกุญแจบ้านไว้แน่น หากไม่ชอบมาพากลอาจใช้สิ่งนี้ป้องกันตัวได้

“…ผมเอง ภูวราช”

เสียงห้าว ลึก ดังกังวานในความเงียบ ร่างสูงขยับออกมาจากพุ่มไม้ หากกระนั้นเงาดำก็ยังปกคลุมแลดูทะมึน
ไม่ต่างจากเทวาลัยขนาดใหญ่ กลิ่นละม้ายรูปลอยล่องมากับกระแสลม

“อาจารย์ยังไม่นอนหรือคะ นี่ดึกมากแล้ว”

“ยังครับ…คืนนี้พระจันทร์สวยเกินกว่าจะเข้านอนแต่หัววัน ผมชอบคืนพระจันทร์วันเพ็ญมากกว่าวันไหนๆ

ถึงแม้ว่าความงามของมันจะนำมาซึ่งความขมขื่นให้ใครหลายคนก็ตาม”

คนฟังขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

“แสงจันทร์เป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เหมือนแสงอาทิตย์ซึ่งเราต้องพบเห็นทุกวันอยู่แล้ว
ดิฉันไม่เข้าใจว่าจะเกี่ยวข้องกับความขมขื่นของคนได้ยังไง?”

เสียงหัวเราะห้าวลึก ราวจะเยาะหยันบางสิ่ง

“เวลาที่ผ่านไปเนิ่นนาน อาจทำให้คนเราหลงลืมอะไรไปบ้าง ต้องใช้เวลาสักพักทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม”

“เราต้องเคยรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ”

มัสลินเอ่ยย้ำ ความเคยคุ้นที่เลือนๆลางๆผ่านเข้ามาในสมองอีกครั้ง แต่จะทบทวนสักกี่ครั้งความรู้สึกนั้นก็เหมือนม่านหมอกอันหนาทึบ

“ไม่ทราบครับ คุณอาจจะเคยผมเห็นตามท้องถนน ในหอศิลป์ ร้านอาหาร หรือในความฝัน มนุษย์เมื่อพบเจอสิ่งใดบางครั้งก็จะนำ
กลับไปปะติดปะต่อในความฝันก็อาจเป็นได้”

“แล้วอาจารย์ละคะ…คิดว่าเคยเจอดิฉันที่ไหนบ้าง?”

น้ำเสียงของคนถามมีแววกระตือรือร้น บางทีคำตอบของเขาอาจทำให้เงาดำในหัวของเธอเลือนหายไปก็ไปเป็นได้…
แต่คนตอบกลับนิ่งงัน

“ดึกมากแล้ว เชิญคุณมัสลินขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ อีกสักพักผมก็จะเข้านอนเหมือนกัน”

“…ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”  

ร่างดำในเงามืดยังนิ่งสงบราวรูปปั้น มัสลินจึงก้าวเดินเข้าสู่ตัวบ้าน สายลมเย็นพัดผ่านจนกิ่งไม้วูบไหว
กระแสเสียงหนึ่งคลับคล้ายกระซิบกระซาบตามมา

“เราต้องได้พบกันอีกแน่!”

หญิงสาวชะงักเท้าหันไปมองพุ่มราชาวดีเมื่อครู่ …บริเวณนั้นว่างเปล่า  


ร่างระหงในชุดนอนตัวยาว ล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้างด้วยความง่วงงุน เมื่อหัวถึงหมอนมัสลินก็หลับลึกในทันที
ภาพสลัวสีขาวค่อยแจ่มชัดขึ้น ภายในกำแพงหนาคือลานเรียบกว้าง มีกลุ่มดอกไม้ปลูกประดับคล้ายสวนหย่อม
เสียงหัวร่อต่อกระซิบดังแว่วมาจากสระน้ำกว้าง ดรุณีหลายนางแหวกว่ายหยอกเย้ากันสนุกสนาน

“มัญชุเกศี…มัญชุเกศี”

เธอได้ยินเสียงเรียกทว่าครั้งนี้เป็นเสียงของสตรี มิใช่เสียงห้าวลึกดังเช่นทุกครั้ง ร่างงามระหงที่ก้าวขึ้นจากสระน้ำ
มีเพียงอาภรณ์ผืนใหญ่พันรอบกายเท่านั้น แสงที่สว่างวาบขึ้นเผยให้เห็นผู้มาเรียกชัดเจน

“แม่!”

หากคนที่อยู่ในความฝันแม้ดวงหน้าจะใช่มารดาของเธอ หากการแต่งกายในชุดผ้านุ่งชายช้อนกันตรงหน้าสีหมากสุก
คาดเข็มขัดคล้ายโลหะลวดลายแปลกตา ไม่สวมเสื้อ

“ขึ้นมาจากน้ำ!  เผลอเป็นไม่ได้เชียวชอบลงมาเที่ยวซน เจ้าพวกนี้ก็เหมือนกันไม่คิดจะห้ามปรามกันสักนิด”

เสียงตวาดแกมบ่นระเรื่อยไปจนถึงกลุ่มเด็กสาวที่ทยอยก้าวขึ้นมาจากสระน้ำ  หากคนถูกเรียกชื่อเมื่อครู่
ถูกกึ่งลากกึ่งจูงขึ้นสู่เรือนไม้ขนาดใหญ่

“เปลี่ยนผ้าเสีย แล้วออกไปหัดรำ ใกล้วันสำคัญเข้ามาแล้ว”  

ร่างเล็กบางลับหายเข้าไปในห้องห้องหนึ่งสักพักก็กลับออกมา ในชุดผ้านุ่งผืนใหม่ เสียงพาทย์
เสียงพิณดังแว่วขึ้นพร้อมกับเสียงขับลำนำที่สอดคล้องกันอย่างเหมาะเจาะ มัสลินเห็นตัวเองเริ่มร่ายรำ
ในท่วงท่าหลากหลายตามเสียงขับลำนำของมารดา  

“เนียง…บังคมกรอม”

“เนียง…อาตึสเตียน”

ภาษาไม่คุ้นหูแต่เธอรับรู้และทำตามได้อย่างถูกต้อง…เสียงมารดาหยุดขับลำนำก่อนจะบอกกับเธอว่า

“วันนี้พอแค่นี้แหละ มะรืนต้องออกเดินทางแต่เช้า …มัญชุเกศีลูกต้องรำให้สวยเหมือนอย่างวันนี้ งานใหญ่ของบ้านเราต้องไม่มีสิ่งใดผิดพลาด”

“ลูกไม่อยากไป”

“อย่าดื้อ! เดี๋ยวจะเจ็บตัว!”

เสียงสั่งเฉียบขาด ในภาพฝันเธอมิได้ปริปากพูดอีกแม้แต่คำเดียว


ห้องโถงกว้างประดับประดาด้วยดอกไม้และประทีปโคมไฟงดงาม ผู้คนนับร้อยนับพันเดินกันขวักไขว่ ก่อนทุกอย่างจะสงบนิ่งลง
เมื่อเสียงหนึ่งดังกังวาน

“….พระราชาธิราชเสด็จ ก้มหัวลงห้ามเงยหน้า!”

มัสลินรู้สึกเหมือนมีมือของใครคนหนึ่ง จับศีรษะของเธอกดลงจนหน้าผากแนบติดพื้น ในความฝันเธอกลัวจับหัวใจ
เหงื่อกาฬแตกพลั่กตราบจนเสียงทุ้มดังสะท้อนขึ้น

“อัปสราสำแดง…”

เสียงดนตรี เสียงลำนำคุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง เธอลุกขึ้นเยื้องกรายออกไป ณ กลางห้องโดยมีเหล่านางรำคนอื่นก้าวเดินตามออกไป
ไม่ต่างจากหมู่ผีเสื้อที่กำลังโบยบินไปตามท่วงทำนองอันพริ้วไหวของสายลม ฉับพลันภาพเหล่านั้นก็ดับวูบลง
ภาพที่ซ้อนขึ้นมาคือศาลาไม้เมื่อครู่แต่มีแต่เปลวไฟสีแดงฉานกำลังลุกโพลง เสียงกรีดร้องอย่างตกใจของสตรีดังเซ็งแซ่
เสียงอาวุธ เสียงครวญครางคละเคล้ากับกลิ่นคาวเลือด

“นี่มันอะไรกัน…เกิดอะไรขึ้น ช่วยด้วย!”  

มัสลินตะโกนก้องหากเสียงมิได้หลุดพ้นออกจากลำคอเลยสักนิด และภาพเหล่านั้นก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น ร่างกายเหมือนถูกตรึงให้อยู่กับที่
หญิงสาวกำมือแน่นฝืนตัวเองให้หลุดพ้นจากแรงยึดเหนี่ยวนั้น

“นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ”

ร่างระหงทะลึ่งพรวดขึ้นจากที่นอน ถอบหายใจถี่กระชั้น เหงื่อเม็ดเล็กๆซึมทั่วใบหน้า มือทั้งสองยังข้างกำแน่นจนเกร็ง ก่อนจะคลายออก

“เอ๊ะ!”

มัสลินอุทานด้วยความแปลกใจเมื่อมีวัตถุหนึ่งร่วงลงสู่พื้นห้อง หญิงสาวจึงเลื่อนตัวลงจากเตียงก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ

“ตุ้มหู…”

ลวดลายที่สลักเสลาเป็นช่อดอกไม้ดูอ่อนช้อยงดงาม แม้จะมีขนาดใหญ่มากกว่าตุ้มหูที่เคยเห็นในปัจจุบัน หากก็ดูเจนตาอย่างบอกไม่ถูก มัสลินลูบคลำวัตถุชิ้นนั้นอย่างทะนุถนอม …ความรู้สึกเสมือนได้ของรักกลับคืนมากระนั้น


ทางเดินโล่ง เงียบสงบ ได้ยินเพียงเสียงรองเท้าที่กระทบกับพื้นอาคารเป็นจังหวะเท่านั้น ภาคเรียนในช่วงบ่ายนักศึกษา
คงทยอยกลับกันเกือบหมดแล้ว ภายในมหาวิทยาลัยจึงดูว่างเปล่า ร่างระหงในชุดเสื้อกระโปรงติดกันสีอ่อน
ก้าวเท้าช้าลงเมื่อแลเห็นป้ายชื่อเจ้าของห้อง

“นึกว่าจะไม่มาเสียอีก กำลังจะโทรศัพท์ไปตามพอดี”

เจ้าของห้องเอ่ยขึ้นทันที เมื่อประตูห้องเปิดออก

“รถติดแถวทางขึ้นสะพานเลยช้าไปนิดค่ะ กลัวพี่ฉันท์จะรีบกลับเหมือนกัน พอลงมาได้เหยียบเต็มที่เลย”

คนพูดลากเก้าอี้ออกมาเล็กน้อยก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม

“ไหน จะเอาอะไรมาให้พี่ดู”

มัสลินเปิดกระเป๋าสะพายหยิบถุงผ้าใบเล็กส่งให้อีกฝ่าย

“ตุ้มหูค่ะ แต่มีข้างเดียว”

ฉันทะกะรูดปากถุงที่ผูกเชือกไว้ออก หยิบวัตถุที่มีน้ำหนักเล็กน้อยขึ้นมาพิจารณา เนื้อทองคำดูขมุกขมัวลวดลายที่สลักเสลา
ลงบนเนื้อทองแม้จะดูหนา หากก็ประณีตแสดงถึงฝีมือของคนทำที่เชียวชาญกับงานชนิดนี้

“ไปได้มาจากไหน?”

คนพิจารณาตั้งคำถาม ด้วยงานที่ค้นคว้ามักเกี่ยวกับวัตถุโบราณอยู่บ้าง

“ติดมือมาตอนนอนหลับแล้วฝันถึงเมืองโบราณ”

คนนั่งอยู่โต๊ะทำงานตัวใหญ่เงยหน้าขึ้นมาในทันที ประกายในดวงตาขบขันมากกว่าจะเชื่อถือในสิ่งที่ตนได้ยิน

“เมาหรือเปล่าเนี่ย? เพ้อเจ้อเกินไปหรือเปล่ามอส ใครมันจะหยิบของในความฝันของตัวเองออกมาสู่โลกของความจริงได้
มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยล่ะ”

มัสลินไม่ตอบในทันที หากเอนหลังพิงผนังเก้าอี้ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่ตั้งคำถามเช่นนี้ เธอเองก็ตั้งคำถามข้อนี้กับตัวเองเหมือนกัน
…ก็แล้วใครเล่าจะให้คำตอบกับเธอได้

“มอสเข้าใจค่ะ ว่าเรื่องมันดูเลอะเทอะไม่น่าเชื่อถือไปเล่าให้ใครฟังเขาก็คงหัวเราะ…แต่มอสได้สิ่งนี้มาจากความฝันจริงๆนะคะพี่ฉันท์”

หญิงสาวยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เอาล่ะ…จะให้เชื่อก็ดูจะตะขิดตะขวงใจไปหน่อยเอาเป็นว่าเป็นความเชื่อของแต่ละบุคคลแล้วกันนะ แต่ขอเวลาศึกษาอีกที
จากลวดลายและวัสดุที่ใช้ ก็น่าจะมีอายุนานอยู่ แต่จะสมัยไหนนั้นอาจต้องพึ่งนักโบราณคดี ถ้าในความเห็นส่วนตัวพี่นะน่าจะอยู่ในสมัยสุโขทัย
กรุงศรีอยุธยาไม่น่าใช่เพราะเนื้องานดูหยาบกว่ากัน”

“งั้นมอสฝากไว้กับพี่ฉันท์แล้วกันค่ะ ได้คำตอบยังไงโทรบอกด้วยนะคะ”

“ช่วงนี้ไม่มีลูกทัวร์เหรอ เห็นว่างๆไปไหนมาไหนได้”

“เงียบๆค่ะ… แต่พรุ่งมีกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่นไปอยุธยา”  

“คุณย่าสบายดีนะ พี่ว่าจะหาเวลาว่างไปเยี่ยมเสียหน่อย รู้สึกนานล่ะที่ไม่ได้ไปบ้านตึก”

“พี่ฉันท์ว่างเมื่อไรก็เชิญเถอะค่ะ มอสขอตัวกลับก่อนนะคะ ฟ้าครึ้มๆเหมือนฝนจะตกไม่อยากรถติดอยู่บนถนนนานๆ น่าเบื่อ”

หญิงสาวลุกขึ้นสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า ทีท่านั้นดูทะมัดทะแมงสมกับเป็นผู้หญิงยุคใหม่ ทำให้แววตาของคนที่นั่งอยู่มีประกายลึกซึ้งฉายชัดขึ้นมาแวบหนึ่ง
“ขับรถดีๆล่ะ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับเหมือนกัน”

มัสลินยิ้มอ่อน ก่อนจะผลักบานประตูก้าวเดินออกไป ทั่วบริเวณตึกนั้นเงียบสงัดลำแสงสีอ่อนของดวงอาทิตย์เริ่มล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็วทำให้บรรยากาศดูขมุกขมัวลงทันตา กลิ่นหอมบางอย่างโชยอ่อนมากับสายลมเย็นเยือก เงาดำๆมืดครึ้มทามทับลงไปหลังเหลี่ยมของระเบียงยาว
ก่อนจะไหววูบตามหลังหญิงสาวไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่