เมื่อครั้งยัยแว่นอย่างฉันเจอความโรแมนซ์ของหนุ่มชาติอเมริกา....

ตอนแรกเราชั่ง
ใจอยู่ว่าจะพิมพ์ให้เพื่อนๆอ่านดีมั้ย เพราะที่ผ่านได้เข้ามาอ่านเรื่องราว Love Story ของเพื่อนๆพี่ๆน้องๆใน Pantip มานาน จนในที่สุดก็บอกกับตัวเองหน่อยว่า เรื่องราวของเรามันก็มุ้งมิ้งเหมือนกันนะ ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม แต่ก็อยากเล่าสู่กันฟัง ไปอ่านกันเลยดีกว่าเนอะ

เรามาเรื่องกันดีกว่า ถ้าหากนับย้อนไปก็เมื่อปี 2012 ตอนนั้นเรากำลังจะขึ้นปี 4 และกำลังจะไป WAT ที่เมือง South Wellfleet รัฐ MA กับเพื่อนอีกคน ในตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เพราะเราคิดอยู่อย่างเดียว นั่นก็คืองานและเงิน ประสบการณ์เป็นรองมาก ถามถึงเรื่องความรัก ก็หลังจากที่เลิกกับแฟนคนล่าสุดเมื่อตอนมอ 5 ก็ไม่เคยมีแฟนอีกเลย เพราะเราอยู่ตัวคนเดียวมันสบายใจกว่านั่นแหละ แต่ถ้าจะมีก็มีได้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่มีซักทีก็ไม่รู้ การที่เรามาเข้าโครงการ WAT เพื่อประสบการณ์และความอยากมาโดยส่วนตัว หลังจากที่เราบินมาถึงอเมริกา และเจอนายจ้าง เขาก็พาแนะนำให้กับแฟนเขาและเพื่อนร่วมงานคนแรกของพวกเราทั้งคู่ ครั้งแรกที่เราได้เจอกับเขา S (เราขอเรียกแบบนี้นะค่ะ) เขาเป็นผู้ชายหน้านิ่ง ขรึมจนเรารู้สึกไม่ชอบหน้าเลย ยิ้มให้ไม่ยิ้มตอบ ถามไปเป็นประโยคก็ตอบเป็นคำ และที่สำคัญชอบพูดว่าจะให้ตำรวจมาจับเราส่งกลับไทย ไม่ก็ตำรวจมามาร้านเพื่อมาหาพวกเรา ก่อนร้านเปิด เราต้องเจอกับ S ที่ค่อยพูดแบบนี้ซ้ำๆจนเราเหม็นหน้าเขาไปเลย และต่อจากนั้นไม่กี่วัน เราก็ได้เจอเพื่อนใหม่ที่ทำในครัวด้วยกันคือ C

การมีตัวตนของ C นั้นทำให้เรากับเพื่อนตีห่างจาก S มาได้อย่างรวดเร็ว เราคุยเล่น หัวเราะ เล่าเรื่องเพ้อเจ้อกันแบบไม่มีหมกเม็ดกันเลย เรารู้สึกสบายใจมากกว่าเวลาคุยกับ S แต่การกระทำทุกอย่างนั้นอยู่ภายใต้สายตาของ S เสมอ เพราะก่อนหน้านั้นเขาจะพูดกับเราและเพื่อนว่า "I see you" ถ้าตีในความหมายของคนชอบจับผิด คือ กุจับตาเมิงสองตัวอยู่นะจ๊ะ แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็คุยกับ C เป็นปกติ พอเริ่มเปิดร้าน เราโดนให้ทำงานนอกครัวก่อน และทำให้รู้จักกับเพื่อนใหม่อย่าง F ซึ่งนายคนนี้เป็นเด็กเนิร์ดแบบ เนิร์ดเลย ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ลองนึกภาพผู้ชายที่แอบรักนางเอกตามมหาลัยหรือโรงเรียนในหนังดูล่ะกัน ซึ่งเราไม่คิดว่าจะมีคนแบบนี้อยู๋ในชีวิตจริง F สามารถพูดเรื่องธรรมดาให้เป็นหลักการ วิชาการได้อย่างน่าประหลาด เอากะเขาล่ะกัน  ... ร้านเปิดทำการไม่กี่วัน เราต้องทำงานนอกครัวและผลัดเข้าไปช่วยเพื่อนในครัวด้วยถ้าเผื่อว่าง แต่ทุกครั้ง เราจะเห็น S ยืนช่วยเพื่อนเราอยู่ตลอด เพราะการล้างจานในช่วงเวลาคนเยอะ ทำคนเดียวไม่ไหวจริงๆนะ ... เพื่อนเราบอกว่า S โดนเชฟให้มาช่วย เอาง่ายๆคือถูกไล่มานั่นเอง ฮ่าๆๆๆ เราสะใจเล็กๆก่อนจะออกไปทำงานต่อ ไม่รู้ว่าเราคิดไปเองมั้ย ว่าทุกครั้งที่เจอหน้า S เขาจะมองตลอดเวลา เหมือนกับว่า เราไปต้องคดีอะไรมา มันอึดอัดมากนะตอนนั้น เพราะเราเคยถามเพื่อน มันก็โดนจ้องแต่ก็ไม่มากมายขนาดเท่าเรา แต่ช่วงนั้น นายจ้างเราเจอเราทีไรจะเจอเราอยู่กับ S ทุกที และพอไม่มี S อยู่ใกล้ๆ เขาจะชอบถามเราว่า เมื่อไหร่จะเป็นแฟน S ซักที หรือไม่ก็ ยังไม่รับรักกันอีกเหรอ? หรือมีอีกอย่างคือรู้มั้ยว่าแฟน S คือใคร แล้วชี้มาที่เรา ... เราจะรู้สึกเฉยๆนะ ถ้านายจ้างเรา ไม่สีหน้าเหมือนรู้อะไรมา .... พอมันหลายวันเข้า ความรู้สึกที่โดนนายจ้างถามวนไปวนมา และประกอบกับโดนมองจนหลอน เราก็เลยถามเขาไปตรงๆว่าทำไมต้องจ้องอะไรขนาดนั้น ฉันไม่ขโมยของในร้านหรอกหน่า เขาบอกกลับมาว่าป่าว ที่มองเพราะเห็นเราดูหัวเราะตลอดเวลาที่คุยกับคนอื่น ยิ้มกว้างทุกครั้งที่คุยกับ C แต่มีแต่กับเขาถึงดูอึดอัด ถึงตอนนั้นถึงกับบางอ้อค่ะ ว่าทำไมเขาถึงมองตามขนาดนั้น คิดว่า ฉันบ้าล่ะซิ หัวเราะได้ทั้งวัน...

หลังจากที่รู้ความจริงไปแล้ว เราเลยผ่อนกำลังต้านลงกับ S และคุยกันมากขึ้น เล่นกันมากขึ้น เลยทำให้การทำงานแต่ละครั้งนั้นผ่านไปด้วยดี พอใกล้กับอาทิตย์สิ้นเดือน นายจ้างจะให้เสาร์อาทิตย์เปิดช่วงเช้า ตั้งแต่ 7 โมงถึงเที่ยงเป็น Breakfast Time เรากับเพื่อนต้องมาทำงาน แต่เพื่อนเราเข้า 8 โมง แต่มาทำ Bussy ส่วนเรามาทำงานในครัวค่ะ นั่นคือ ล้างจาน หั่นผักสำหรับช่วงเย็น ทำแพนเค้กบ้างถ้า S บังคับ ทำวาฟเฟิลบ้างถ้า C อยากทำแพนเค้ก แต่เราขอแค่หั่นผักกับล้างจาน เพราะเอาจริงๆแล้ว สองคนนั้นมันทำกันได้อยู่แล้ว เวลาหั่นผัก C จะชอบให้เราปอกหอมใหญ่ เพราะรู้ว่าเวลาเราปอก ไอระเหยของหอม ทำเราน้ำตาไหลพรากแบบไม่หยุดยั้ง เขื่อนแตกเลย พอเห็นก็ไม่เคยจะช่วย หัวเราะคิคักกันสองคน จนบางทีเราต้องเอามีดที่ปอกหอมชี้หน้า ถึงจะหยุดกัน (มันไม่ควรทำหรอกนะ แต่ไม่ไหวจริงๆ) S จะเดินเข้ามาแล้วเอาน้ำส้มสายชูทาเขียงไว้ให้แล้วพูดแบบมองหน้านิ่งๆว่า ทำแบบนี้จะช่วยได้ อย่าร้องไห้อีกนะ แล้วก็ยิ้มให้ ... เราสาบานได้เลยว่านั้นคือยิ้มแรกที่เราได้เห็นเพราะก่อนหน้านั้นมันเหมือนแสยะยิ้มอ่ะ ใจเต้นเลย เพราะเราเป็นพวกแพ้ผู้ชายหน้านิ่ง เสียงอ่อนโยนอ่ะ เราก็หลบหน้าเขินๆ ปอกหอมต่อไป .... แต่มันก็นิ่งไม่นาน ไอ้เจ้าสองหนุ่มนี้ก็ประสาทแตกค่ะ เคยเห็นคนนิ่งๆแล้วเกิดรั่วขึ้นมามั้ยค่ะ กุมขมับเลยฉันบอกตรงๆ เพื่อนเราถึงกับเข้ามาในครัวแล้วถามว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะ F มันยืนอยู่ใกล้ประตูครัว ได้ยินเสียงดังออกมา เราเลยเล่าทุกอย่างให้ฟัง เพื่อนเราเลยส่ายหน้าเหนื่อยใจก่อนจะทิ้งให้เรา ประสาทแตกอยู่กับ สองคนนี้ต่อ...

พอเริ่มรู้จักกันมากขึ้น เราเลยต้องมีเฟซบุคของ 2 คนนี้ไว้คุยกันถ้าเกิดเรากลับไทยไปแล้ว เพราะไม่ได้คิดอะไรเพราะ ไม่ใช่สเปคเราเลยทั้งคู่ ถึงจะมีหวั่นไหวไปบ้างก็เหอะ ทำให้เรารู้ว่า S มีสาวเวียดนามคอยตามจีบอยู่ ส่วน C มีแฟนแล้วแต่อยู่ในช่วงทะเลาะกันอย่างรุนแรง เพราะแฟนของ C ด่าคนที่มาเกาะแกะ C ผ่านหน้าเฟซบุคเลยทีเดียว ... ผ่านไปหลายวันความสนิทในการทำงานเริ่มมากขึ้น หลังๆเรามักจะเห็น C คุยกระซิบกระซาบเหมือนไม่อยากให้เรารู้เรื่องด้วย และระหว่างคุยกัน S จะมองเราไปด้วยเสมอ มองแบบนิ่งๆเหมือนมีอะไรในใจ แต่เราก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าคงคุยปรึกษาเรื่องส่วนตัว และวันนั้น เราเจอกับนายจ้างและเหมือนมันมีอะไรแปลกๆมากขึ้นกับบรรยากาศรอบๆตัว นายจ้างมองไปที่ S กับ C แล้วยิ้มมุมปาก ก่อนจะหันมายักคิ้วให้เรา เราก็งงซิฮะ ... แต่มันเริ่มหายอึดอัดเวลา F เข้ามาคุยด้วยเวลาเข้ามาวางจานที่ใช้แล้ว พอเลิกงานเราเก็บความรู้สึกนั้นไว้แล้วไปเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนเราก็น่ารักมาก พูดเหมือนไม่ได้คิดอะไรว่า "ระวังตัวไว้นะเมิง กุว่าพรุ่งนี้เมิงโดนขอเป็นแฟนแน่" ... เราก็หัวเราะใส่มันแล้วนอนคิดเรื่องนี้ทั้งคืน โดยไม่รู้ว่า เรื่องที่เพื่อนบอก ,,,, เรากำลังจะเจอในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อจากนี้........


***************************************************************************************************************

ขอเรากลับไปทำงานต่อก่อนนะ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะกลับมาต่อ ถ้ามีใครอยากรู้เรื่องต่ออ่ะนะ =)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่