---->ผงชูรส<----อันตรายหรือแค่กลการตลาด

กระทู้สนทนา
ผงชูรส (monosodium glutamate / MSG) มีคุณสมบัติช่วยชูรสอาหารแต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร โดยตัว MSG เองไม่มีรสชาด แต่มันสามารถไปกระตุ้นปุ่มปลายประสาทโคนลิ้นกับลำคอ ทำให้รู้สึกอร่อยขึ้นได้

จากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่พบถึงผลกระทบในคนปกติ แต่ในคนที่แพ้ จะมีอาการแสดงที่เรียกว่า Chinese Restaurant syndrome เช่น มีอาการชาที่ต้นคอและที่หลัง ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย อาเจียน เหงื่อออก หน้าแดง รู้สึกร้อนผ่าว น้ำตาไหล ปวดท้อง แต่จะหายได้ในเวลา 2 ชั่วโมง และไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ บางคนแพ้ชูรสได้มาก อาการที่แสดงออกมาจะมาก จะมีอาการตึงชาบริเวณใบหน้า หู วิงเวียน หัวใจเต้นเร็ว และอาจเป็นอัมพาตตามแขนขาชนิดชั่วคราวได้

WHO แนะนำว่าการบริโภคผงชูรสตามปกติไม่ควรเกิน 120 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม หรือปริมาณ 6 กรัมต่อวัน

นอกจากนี้ การใช้ผงชูรสบ่อยๆ ต้องระวังในเรื่อง ผงชูรสปลอม ซึ่งอาจใส่สารอื่นๆนอกจาก MSG ที่มีประวัติการตรวจพบในไทยได้แก่ บอแรกซ์และโซเดียมเมตาฟอสเฟต

บอแรกซ์มีพิษสะสมที่กรวยไต และเป็นอันตรายถึงตายถ้าบริโภคเกินกว่า 15 กรัมต่อครั้ง ส่วนโซเดียมเมตาฟอสเฟต ถ้าบริโภคเข้าไปแล้วจะเกิดอาการถ่ายท้องอย่างรุนแรง

ทางที่ดี ถ้าไม่มีความจำเป็นหรือไม่ได้เป็นคนจู้จี้เรื่องรสชาดอาหารมากนัก ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ผงชูรสแต่อย่างใด ในทำนองเดียวกัน ก็ไม่ต้องวิตกกังวลว่า ผงชูรสในอาหารจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย นอกจากคุณจะเป็นคนที่แพ้ผชูรส ก็ควรสังเกตุตัวเองว่ากินแล้วเกิดอาการแปลกๆหรือไม่ และหลีกเลี่ยงตามความเหมาะสมครับ

หลังจากที่ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งแบบคร่าวๆว่า ผงชูรสไม่มีอันตรายต่อคน นอกจากคนที่แพ้ผงชูรสเท่านั้น http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&date=04-05-2005&group=4&gblog=14

หลังจากนั้น ก็ได้มีบางคน ที่กล่าวอ้างว่า ผงชูรสมีโทษอย่างโน้นอย่างนี้ วันนี้เรามาดูกันว่า สรุปแล้วมันมีอันตรายอย่างที่มีคนพยายามกล่าวอ้างจริงหรือไม่

คำกล่าวอ้างที่เขาพยายามเสนอมากที่สุดคือคำว่า excitotoxicity ซึ่งมาจากแนวคิดที่ว่า glutamate เป็นสารที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทได้ โดยเฉพาะ glutamate ที่ได้จากผงชูรส ร่างกายจะดูดซึมได้เร็วกว่าจากอาหาร ทำให้ระดับของสารนี้มีสูงในเลือด ซึ่งจากการศึกษาพบว่า สามารถก่อให้เกิดความเสียหายได้ในสมองของหนู (โดยเฉพาะหนูที่พึ่งเกิดใหม่ๆ)

แต่กระนั้น การได้รับผลกระทบแบบนี้ มันเกิดในสัตว์บางตระกูลเท่านั้น โดยเฉพาะพวกสัตว์ที่กัดแทะ (rodent) เช่น หนูหรือกระต่าย โดยความผิดปกติไม่ได้เกิดในคน (primate) โดยขนาดที่ทำให้เกิดอันตรายคือ 1000 mg/น้ำหนักตัว 1 kg

ซึ่งในจุดนี้สามารถอธิบายได้ด้วยกระบวนการย่อยของ glutamate ที่หลังจากร่างกายเราดูดซึมมันเข้าไปแล้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นสารอื่นๆ โดยเฉพาะการเกิดปฏิกิริยา transamination, รวมทั้งกระบวนการกำจัดสารนี้ด้วยวิธีอื่นๆ ซึ่งในคนปกติแล้ว สามารถจัดการกับปริมาณ glutamate ที่กินเข้าไปในปริมาณมากๆได้ (บางคนอ้างว่าได้ถึง 10 g) ทำให้ระดับของ glutamate ในเลือดไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากกินเข้าไป นอกเหนือจากการกินเข้าไปในปริมาณมากกว่า 30 mg/น้ำหนักตัว 1 kg

โดยปกติระดับที่จะทำให้ตรวจวัดสารได้ในคน (detectable) อยู่ที่ 150 mg/น้ำหนักตัว 1 kg (ระดับที่เกิดพิษเฉียบพลันของ glutamate ในหนูทดลองมีค่า LD50 ที่ 15,000 mg/น้ำหนักตัว 1 kg)

การที่มันจะเกิดอันตรายต่อสมองได้จริง จะต้องมีระดับสารในเลือดที่สูงพอที่จะเกิด (peak blood level) โดยไม่ได้ขึ้นกับปริมาณที่ร่างกายได้รับ (area under curve) ซึ่งตรงจุดนี้เป็นเพราะการที่มันจะเกิดอันตรายได้นั้น เกิดมาจากสารนี้ ไปกระตุ้นบริเวณ receptor ของ glutaminergic neurons มากจนเกิด continuous excitation, เกิดการขาด ATP และนำไปสู่การตายของเซลประสาท แต่ในสมองของคน จะมีระบบที่เรียกว่า blood brain barrier ที่คอยควบคุมสารต่างๆที่ผ่านเข้า-ออกสู่สมอง การที่สารเคมีจะผ่านเข้าสู่สมองจะถูกจำกัดไดในระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าถึงมีสารนี้มากๆแล้วมันจะเข้าไปถึงสมองได้หมดแต่อย่างใด

ส่วนการทดลองเรื่องความปลอดภัยด้านอื่นๆ เช่น มะเร็ง, ผลต่ออวัยวะภายใน, ผลต่อน้ำหนัก, ผลต่อสัตว์ที่ตั้งครรภ์+ลูกในครรภ์ ฯลฯ ไม่ปรากฏความผิดปกติใดๆเลย
การทดลองในคน หลายๆชิ้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น (แต่บางงานวิจัยนั้น เชื่อถือไม่ได้ เพราะคนที่มีความผิดปกติ เช่น หอบหืด, migraine จะถูกคัดออกไปตั้งแต่ต้น)

เขายังกล่าวว่าผงชูรส มีอันตรายเพราะเป็นสารสังเคราะห์ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขามีความเข้าใจกับคำๆนี้มากขนาดไหน เพราะกระบวนการผลิตผงชูรสส่วนใหญ่ในโลก จะได้จากการหมัก carbohydrate (เช่น จากน้ำตาลหรือมันสำปะหลัง) กับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งของที่ได้นั้น มันเป็นสารตามธรรมชาตินะครับ ไม่ได้เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์อย่างที่อ้างแต่อย่างใด (วิธีผลิตอื่นก็คือได้จากการย่อยโปรทีนจากพืชหรือสัตว์ ซึ่งมันก็ยังเป็นสารธรรมชาติอยู่ดี)

บางคนอาจบอกว่าผงชูรส ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าจะเกิดโทษจริง ในขณะเดียวกันมันก็ไม่มีหลักฐานยืนยันว่าปลอดภัย
ซึ่งมันก็ไม่แปลกอะไรครับ ที่มันจะไม่มีหลักฐาน เพราะในทางปฏิบัติจริงๆแล้ว เขาจะไม่มาเที่ยวนั่งดูว่าอาหารทุกตัวที่เรากินมันกินได้ในขนาดไหนจริง คุณจะไม่เห็นว่าข้าวมีระดับความปลอดภัย, คุณจะไม่เห็นว่าขนมปังมีระดับความปลอดภัย เช่นเดียวกับอาหารอื่นๆอีกบานตะไทที่ตราบใดมันกินแล้วไม่เกิดโทษ ก็จะนับว่ามันปลอดภัย ก็จะไม่มีใครเสียเวลาไปนั่งศึกษากันหรอกครับ ว่ามันมีความปลอดภัยแค่ไหน

สุดท้ายหลังจากที่เขาไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันได้จริง เมื่อไม่มีหนทางเขาเลยกล่าวว่า ที่ผลการทดลองเป็นแบบนี้ เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับเงินจากบ.ผลิตผงชูรส!!
โอ้พระเจ้าจอร์จ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง แสดงว่า บ.นี้คงมีกำไรมากมายพอที่จะปิดปากหมอทั้งโลก, อย.ทุกประเทศ, FAO, EU, WHO, รวมไปถึงคนในวงการสาธารณสุขทั้งหลาย คงโดนเงินปิดปากกันหมดกระมังครับ และสงสัยคนเหล่านั้นคงไม่มีจรรยาบรรณกันทั้งหมด ทำให้ในปัจจุบันยังไม่เคยมีรายงานทางการแพทย์ถึงโทษของผงชูรสจริงๆ

บทสรุปการยอมรับด้านความปลอดภัยของผงชูรส
ความปลอดภัยของผงชูรสได้รับการยอมรับจาก US FDA ตั้งแต่ปี 1959 ว่าปลอดภัย เมื่อกินในขนาดปกติ ต่อมา
ปี 1980 ภายใต้การ review ของ Federation of American Societies for Experimental Biology (FASEB) ได้สรุปว่าปลอดภัยเมื่อกินในขนาดปกติ แต่อาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์หากได้รับในปริมาณมากๆ
ปี 1986 ได้ข้อสรุปว่าอาการต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาไม่นานนัก และอาจเกิดได้กับคนบางกลุ่มเท่านั้น
ปี 1987 Joint Expert Committee on Food Additives (JECFA) ของ WHO ได้ประกาศให้ผงชูรสเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ปลอดภัย
ปี 1991 Scientific Committee for Food (SCF) ของ EU ได้รับรองให้ผงชูรสเป็นสารปรุงแต่งอาหารที่ปลอดภัย และได้รายงานการวิจัยว่า ในเด็กทารกและในเด็ก ร่างกายสามารถย่อยสลาย glutamate ได้เหมือนกับในผู้ใหญ่
ปี 1992 American medical association ได้ประกาศว่า glutamate (ทุกรูปแบบ) ไม่มีผลกระทบกับสุขภาพของคน
ปี 1995 US FDA ได้ประกาศว่า มีผู้คนจำนวนหนึ่ง ที่อาจจะเกิดอาการข้างเคียงจากผงชูรสได้ (อาการแพ้ผงชูรส) โดยไม่ระบุจำนวนที่แน่ชัด
ถึงในปัจจุบันจะมีคนที่พยายามอ้างว่า ผงชูรสมีอันตราย แต่มันก็ไม่สามารถยืนยันด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่ามันมีอันตรายจริงๆ

ในโลกของวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน การที่เราจะกล่าวว่าสิ่งใดมีอันตราย, สิ่งใดใช้ได้จริง, สิ่งไหนไม่มีประโยชน์ ฯลฯ เราไม่สามารถใช้เพียงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาสรุปเท่านั้น (scientific based) แต่เราจะต้องมุ่งไปดูหลักฐานทางการแพทย์จริงๆ ว่ามันมีการทดลองหรือการศึกษาแล้วมันจะได้ผลแบบที่กล่าวอ้างหรือไม่ (evidence based) เราถึงจะตัดสินได้อย่างถูกต้องครับ
ตัวอย่างที่เห็นชัด (ที่เคยยกมาหลายครั้งแล้ว) เช่น เรื่องวิทามินซี ที่ scientific บอกว่ามีประโยชน์ในเรื่องหวัด แต่จากการทดลองจริงๆ evidence กลับไม่พบว่ามันมีประโยชน์ (นอกจากจะอยู่บนภูเขาสูงๆ หรืออากาศแบบขั้วโลก)
อีกตัวอย่างหนึ่งคือ เรื่อง betacarotene ที่ scientific บอกว่าช่วยในเรื่องมะเร็งได้ แต่ evidence กลับไม่พบว่ามีประโยชน์แต่อย่างใด
ดังนั้น เราไม่ควรเชื่อบทความที่ไม่สามารถหาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มายืนยันได้จริง โดยการอาศัยแค่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ยิ่งพวกที่อ้างมาจากเวปต่างๆที่ไม่น่าเชื่อถือหรือไม่ได้เป็นเวปทางวิชาการแล้ว ไม่ควรหลงเชื่ออย่างเด็ดขาดครับ

CRADIT: http://www.bloggang.com/m/mainblog.php?id=marquez&month=03-04-2007&group=7&gblog=17
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่