ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนนั้น นอกจากจะสร้างความสะดวกสบายให้ผู้ใช้อย่างที่เรารู้กันแล้ว นิตยสาร "ดิ อีโคโนมิสต์" ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า แอพพลิเคชันที่ตอบสนองความต้องการรอบด้านมากขึ้นเรื่อยๆ ยังส่งผลให้ระบบตลาดแรงงานของโลกเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังเป็นการท้าทายทฤษฎีมาร์กซิสต์โดยอ้อมด้วย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแอพพลิเคชันต่างๆ ที่มาพร้อมกับสมาร์ทโฟน ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก ได้ช่วยให้ชีวิตผู้คนสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และหลายครั้งก็หรูหรามากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงชีวิตของผู้บริโภคที่สะดวก หรูหรา และส่วนตัวมากขึ้นเท่านั้น แอพฯ ในสมาร์ทโฟนยังค่อยๆ เปลี่ยนโฉมหน้าตลาดแรงงานของโลกในปัจจุบันไปทีละนิดๆ อีกด้วย
การเกิดขึ้นของแอพฯให้บริการแท็กซี่อย่าง Uber ถือเป็นความสำเร็จของธุรกิจประเภทเชื่อมโยงลูกค้ากับผู้ประกอบการอิสระหรือ "ฟรีแลนซ์" โดยตรง ในที่นี้ก็คือคนขับรถที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างใคร เพียงแค่ใช้ Uber ก็หาผู้โดยสารได้นั่นเอง โมเดลดังกล่าว นิตยสาร "ดิ อีโคโนมิสต์" นิยามไว้ว่าเป็น "ธุรกิจออนดีมานด์" โดยปัจจุบัน ความสำเร็จของธุรกิจออนดีมานด์แบบ Uber ได้ถูกนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจหลากรูปแบบ ตั้งแต่ SpoonRocket บริการส่งอาหารถึงบ้าน / Washio บริการนำเสื้อผ้าใส่แล้วไปส่งร้านซักรีด ไปจนถึง Medicast บริการหมอรักษาถึงที่ และอื่นๆ อีกมากมาย
ธุรกิจออนดีมานด์และฟรีแลนซ์เกิดขึ้นมานานตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 แต่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและระบบการสื่อสารที่ก้าวกระโดดทั่วโลก ธุรกิจออนดีมานด์ได้ละทิ้งระบบการจ้างลูกจ้างแบบถาวร และหันมาใช้ประโยชน์จากฟรีแลนซ์มากขึ้น ประจวบเหมาะกับฟรีแลนซ์เองที่กลายเป็นเทรนด์ของหนุ่มสาวยุคใหม่ เพราะมีอิสระในการทำงานมากกว่า พวกเขาจึงนิยมทำงานผ่านแอพฯ หรือเว็บไซต์สำหรับฟรีแลนซ์โดยเฉพาะมากขึ้นเรื่อยๆ
ทฤษฎีมาร์กซิสต์ของคาร์ล มาร์กซ์ ระบุไว้ว่า โลกจะถูกแบ่งระหว่างนายจ้างผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กับลูกจ้างซึ่งไม่มีปัจจัยการผลิต แต่นิตยสารดิ อีโคโนมิสต์ระบุว่า ธุรกิจออนดีมานด์ที่กำลังได้รับความนิยมเรื่อยๆ ได้ทำให้นิยามข้างต้นเป็นจริงน้อยลงไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากแอพลิเคชันเชื่อมคนกับงานเหล่านี้ได้ลากเส้นแบ่งของนายจ้างและลูกจ้างแบบใหม่ขึ้นมา คั่นคนที่มีเงินแต่ไม่มีเวลากับคนที่มีเวลาแต่ไม่มีเงินนั่นเอง
[Note: ภาพคนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในโรงงาน V Archive: USA-NEW YORK SNOW UPDATE, PHILIPPINES-LABOR MARKET, USAFILE-HEAT DEATHS (คลิปที่ 3 มีภาพคนนอนอาบแดด)]
นอกจากนี้ ธุรกิจออนดีมานด์และจำนวนฟรีแลนซ์ที่เพิ่มขึ้นยังทำให้ระบบประกันสุขภาพของแรงงานในหลายประเทศไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากเดิมที่บริษัทต้องรับผิดชอบสวัสดิภาพของพนักงานทั้งหมดหรือบางส่วนก็แล้วแต่ แต่แอพฯ บนสมาร์ทโฟนเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ในปัจจุบันรับผิดชอบสวัสดิภาพด้วยตัวเองมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถเลือกเวลาทำงานที่ตัวเองพึงพอใจ และทำงานได้หลายอย่างในวันเดียว ซึ่งอาจส่งผลให้ทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น ตลอดจนมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การทำงานโดยไม่มีสัญญาผูกมัดกับนายจ้างย่อมนำมาซึ่งความเสี่ยงบางข้อ โดยเฉพาะต่อลูกค้าที่อาจต้องเสี่ยงกับฟรีแลนซ์ที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะระบบคัดกรองผู้หางานในแอพฯ ออนดีมานด์นั้นยังไม่เข้มข้นนักในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Uber ที่มีคนขับแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาตปะปนอยู่มากมาย เป็นต้น ขณะที่ตัวฟรีแลนซ์เองก็ต้องยอมรับความเสี่ยงในการรับผิดชอบความผิดพลาดที่เกิดกับลูกค้าเพียงผู้เดียว ไปจนถึงไม่มีระบบเงินบำนาญรองรับในวัยเกษียณ
ที่กล่าวมาทั้งหมดถือเป็นประเด็นใหม่และใหญ่ แต่รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกกลับยังไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย ต้องร่วมกันถกเถียงหารือเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ต่อสภาพสังคมและตลาดแรงงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดยั้ง
ที่มา -
VoiceTV 21
VoiceTV 21: สมาร์ทโฟนกำลังเปลี่ยนโฉมตลาดแรงงานโลก ท้าทายทฤษฎีมาร์กซิสต์
*ดูวิดีโอในที่มาภาพจะชัดกว่าครับ => VoiceTV 21
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนนั้น นอกจากจะสร้างความสะดวกสบายให้ผู้ใช้อย่างที่เรารู้กันแล้ว นิตยสาร "ดิ อีโคโนมิสต์" ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า แอพพลิเคชันที่ตอบสนองความต้องการรอบด้านมากขึ้นเรื่อยๆ ยังส่งผลให้ระบบตลาดแรงงานของโลกเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังเป็นการท้าทายทฤษฎีมาร์กซิสต์โดยอ้อมด้วย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าแอพพลิเคชันต่างๆ ที่มาพร้อมกับสมาร์ทโฟน ซึ่งกลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในหลายเมืองใหญ่ทั่วโลก ได้ช่วยให้ชีวิตผู้คนสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และหลายครั้งก็หรูหรามากยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงชีวิตของผู้บริโภคที่สะดวก หรูหรา และส่วนตัวมากขึ้นเท่านั้น แอพฯ ในสมาร์ทโฟนยังค่อยๆ เปลี่ยนโฉมหน้าตลาดแรงงานของโลกในปัจจุบันไปทีละนิดๆ อีกด้วย
การเกิดขึ้นของแอพฯให้บริการแท็กซี่อย่าง Uber ถือเป็นความสำเร็จของธุรกิจประเภทเชื่อมโยงลูกค้ากับผู้ประกอบการอิสระหรือ "ฟรีแลนซ์" โดยตรง ในที่นี้ก็คือคนขับรถที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างใคร เพียงแค่ใช้ Uber ก็หาผู้โดยสารได้นั่นเอง โมเดลดังกล่าว นิตยสาร "ดิ อีโคโนมิสต์" นิยามไว้ว่าเป็น "ธุรกิจออนดีมานด์" โดยปัจจุบัน ความสำเร็จของธุรกิจออนดีมานด์แบบ Uber ได้ถูกนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจหลากรูปแบบ ตั้งแต่ SpoonRocket บริการส่งอาหารถึงบ้าน / Washio บริการนำเสื้อผ้าใส่แล้วไปส่งร้านซักรีด ไปจนถึง Medicast บริการหมอรักษาถึงที่ และอื่นๆ อีกมากมาย
ธุรกิจออนดีมานด์และฟรีแลนซ์เกิดขึ้นมานานตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 แต่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและระบบการสื่อสารที่ก้าวกระโดดทั่วโลก ธุรกิจออนดีมานด์ได้ละทิ้งระบบการจ้างลูกจ้างแบบถาวร และหันมาใช้ประโยชน์จากฟรีแลนซ์มากขึ้น ประจวบเหมาะกับฟรีแลนซ์เองที่กลายเป็นเทรนด์ของหนุ่มสาวยุคใหม่ เพราะมีอิสระในการทำงานมากกว่า พวกเขาจึงนิยมทำงานผ่านแอพฯ หรือเว็บไซต์สำหรับฟรีแลนซ์โดยเฉพาะมากขึ้นเรื่อยๆ
ทฤษฎีมาร์กซิสต์ของคาร์ล มาร์กซ์ ระบุไว้ว่า โลกจะถูกแบ่งระหว่างนายจ้างผู้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต กับลูกจ้างซึ่งไม่มีปัจจัยการผลิต แต่นิตยสารดิ อีโคโนมิสต์ระบุว่า ธุรกิจออนดีมานด์ที่กำลังได้รับความนิยมเรื่อยๆ ได้ทำให้นิยามข้างต้นเป็นจริงน้อยลงไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน เนื่องจากแอพลิเคชันเชื่อมคนกับงานเหล่านี้ได้ลากเส้นแบ่งของนายจ้างและลูกจ้างแบบใหม่ขึ้นมา คั่นคนที่มีเงินแต่ไม่มีเวลากับคนที่มีเวลาแต่ไม่มีเงินนั่นเอง
[Note: ภาพคนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในโรงงาน V Archive: USA-NEW YORK SNOW UPDATE, PHILIPPINES-LABOR MARKET, USAFILE-HEAT DEATHS (คลิปที่ 3 มีภาพคนนอนอาบแดด)]
นอกจากนี้ ธุรกิจออนดีมานด์และจำนวนฟรีแลนซ์ที่เพิ่มขึ้นยังทำให้ระบบประกันสุขภาพของแรงงานในหลายประเทศไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากเดิมที่บริษัทต้องรับผิดชอบสวัสดิภาพของพนักงานทั้งหมดหรือบางส่วนก็แล้วแต่ แต่แอพฯ บนสมาร์ทโฟนเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ในปัจจุบันรับผิดชอบสวัสดิภาพด้วยตัวเองมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถเลือกเวลาทำงานที่ตัวเองพึงพอใจ และทำงานได้หลายอย่างในวันเดียว ซึ่งอาจส่งผลให้ทำงานอย่างมีความสุขมากขึ้น ตลอดจนมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การทำงานโดยไม่มีสัญญาผูกมัดกับนายจ้างย่อมนำมาซึ่งความเสี่ยงบางข้อ โดยเฉพาะต่อลูกค้าที่อาจต้องเสี่ยงกับฟรีแลนซ์ที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น เพราะระบบคัดกรองผู้หางานในแอพฯ ออนดีมานด์นั้นยังไม่เข้มข้นนักในปัจจุบัน ยกตัวอย่างเช่น Uber ที่มีคนขับแท็กซี่ที่ไม่มีใบอนุญาตปะปนอยู่มากมาย เป็นต้น ขณะที่ตัวฟรีแลนซ์เองก็ต้องยอมรับความเสี่ยงในการรับผิดชอบความผิดพลาดที่เกิดกับลูกค้าเพียงผู้เดียว ไปจนถึงไม่มีระบบเงินบำนาญรองรับในวัยเกษียณ
ที่กล่าวมาทั้งหมดถือเป็นประเด็นใหม่และใหญ่ แต่รัฐบาลในหลายประเทศทั่วโลกกลับยังไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดนโยบาย ต้องร่วมกันถกเถียงหารือเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม ต่อสภาพสังคมและตลาดแรงงานที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปไม่หยุดยั้ง
ที่มา - VoiceTV 21