อาทิตย์อับแสง (บทที่ 18)
บาดแผลสดบนฝ่าเท้าซ้ายยังเจ็บแปลบเพราะเพิ่งผ่านมาเพียงแค่วันรุ่งขึ้น และแม้ว่าท่วงท่าเดินยังคงเหมือนปรกติ แต่เจ้าตัวก็ระวังอย่างยิ่งยวด พยายามไม่เผลอลงย้ำน้ำหนักมากเกินไป
ยังดีที่เกษราให้เขาเพียงแค่ช่วยขับรถ เพราะถ้าเจ้าหล่อนต้องการให้เขาเป็นเบ๊มากเกินกว่านั้น ภูเก็ตรู้...ไม่ไหวแน่ เพราะไหนยังมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่รู้สึกมาหลายวันแล้ว
แล้วไหนลำคอที่แหบแห้ง จนเสียงที่ในเวลาปรกติคงตวัดลงหนัก บัดนี้แว่วขัดๆ
“ผมมาช่วยขับรถให้ แต่ไม่ใช่คนขับของคุณ” ดวงตาอิดโรยมองกระจกหลังของรถตู้คันงามหลังจากขึ้นนั่งประจำที่ “คนใดคนหนึ่งมานั่งข้างหน้า”
“ไม่ได้หรอก” เหมียวเปรี้ยวผู้ช่วยของนางเอกคนดังบอก “พี่เกดต้องเตรียมตัว”
“คุณเกดเตรียมตัว แต่เธอไม่ต้อง” คนขับรถไม่สนใจทีท่าของอีกฝ่าย
เหมียวเปรี้ยว…ชื่อที่ทั้งเกษราและพีทซี่พร้อมใจเรียก เพราะผมซอยยาวจรดท้ายทอยย้อมสีสดเปรี้ยวสะท้านฟ้าของเธอ ก็ไม่สนใจคนขับรถเช่นกัน
การโต้แย้งเป็นไปอีกครู่ จนคนทำหน้าที่ขับรถเปิดประตูลงอย่างหัวเสีย “งั้นก็ไม่ต้องไป”
“อีตาภูเก็ต!” เสียงของดาราสาวดังไล่หลังอย่างหัวเสียเช่นกัน ก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงตาม “คุณจะทำอะไรให้มันง่ายๆ บ้างได้ไหม อย่าเป็นอุปสรรคในชีวิตของฉันนักเลย”
“ผมเนี่ยนะ!”
“ฉันขอร้องคุณก็ได้ ถ้าจะหาเรื่องจะแกล้งฉัน ยังไงขอให้พ้นวันนี้ไปก่อน ฉันมีสองงานตอนบ่าย เย็นนี้ก็มีถ่ายละครอีก วันนี้ฉันจะมีเรื่องไม่ได้” เสียงแผ่วแกมขอร้องหนักแน่นทุกพยางค์ แล้วไหนจะแววตาอ้อนวอน
มันก็พอทำให้ร่างสูงในชุดกางเกงยีนส์เข้มและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินกลับไปขึ้นประจำที่คนขับ ออกรถ…และทำหน้าที่ของตนเองอย่างดี โดยไม่พูดอะไรอีกเลยสักคำหลังจากนั้น ขับไปงานแรก รอรับ แล้วไปงานที่สองในช่วงบ่ายแก่ๆ หนำซ้ำเขารู้หน้าที่โดยออกไปรอด้านนอกระหว่างที่เกษราเปลี่ยนชุดในรถตู้ที่คลุมด้วยกระจกสีดำทึบพร้อมม่านปิดอีกชั้น
“น่าจะประมาณชั่วโมงกว่าๆ เกือบสองชั่วโมง” นางเอกหมายเลขหนึ่งบอกเช่นนั้น ก่อนจะยิ้ม “อีกสักครึ่งชั่วโมงคุณขึ้นไปที่ลานเวทีซิ มี surprise”
“ผมไม่ใช่แฟนคลับนี่ รออยู่ที่รถแหละ” เขาไม่ใส่ใจ ไม่แยแส
ไม่สนแม้แม่เหมียวเปรี้ยว…ผู้ช่วยของดาราสาวจะย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้
ภูเก็ตนิ่งเฉยเหนื่อยกับทุกๆ อย่าง เขานั่งอยู่ในรถตู้คันงามอยู่นาน ก่อนตัดสินใจลุกก้าวลงมา
ร่างสูงยืนนิ่งพยายามขยับยืนทรงตัวในท่าที่เจ็บบาดแผลให้น้อยที่สุด เมื่อพร้อมแล้วเขาจึงค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า
ช้าๆ แต่มั่นคง
ห้างหรูใจกลางเมืองมีร้านรวงมากมายเกินคณานับ และภูเก็ตก็ไม่เคยคิดจะนับ ให้มาที่นี่กี่ครั้งแล้วก็ตาม
เขาเดินมาที่ร้านกาแฟหาที่นั่งพัก หากต้องสบถอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าในร้านกลับมีคนที่มานั่งคุยกันมากกว่าลูกค้าที่ดื่มกาแฟ ทำให้ที่นั่งทั้งหมดในร้านถูกครอบครองไม่เว้นว่างเลยแม้แต่ที่เดียว
การตัดสินใจเดินออกมาด้านนอกนั้นทันที แต่การก้าวเดินยังช้ากว่าปรกตินัก
เสียงกรี๊ดกร๊าดจากชั้นล่างสุดที่เวทีของงานตั้งอยู่ ผสมผสานกับบรรดาไทยมุงที่เกาะอยู่ในแต่ละชั้น ทำให้ภูเก็ตส่ายหัว...พวกบ้าดารา
“ไปรักพ่อแม่ตัวเองให้มากกว่านี้ดีกว่ามั๊ง” อีกแล้วที่เขาติในใจ สายตายังคงกวาดมองไปรอบๆ ของชั้นสาม หวังเพียงจะหาที่นั่ง หรือไม่ก็ที่ยืนหลบ…เงียบๆ
ผู้คนที่จับจองตามราวกั้นของแต่ละชั้นทยอยเข้ามามากขึ้น และการส่งเสียงร้องจากบรรดาผู้คนด้านล่างและตามราวชั้นไล่ไปจนถึงชั้นบนสุดก็ดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการถ่ายรูปแสงแฟลชวูบวาบไม่หยุดหย่อน
เกษรา...เรียกแฟนคลับ และความสนใจจากผู้คนได้เสมอ
เพียงแต่ว่าภูเก็ตไม่เคยสนใจ หรือใส่ใจ
ตอนที่เขาอยู่นิวยอร์ค การกระทบไหล่กับดาราฮอล์ลี่วูดถือเป็นเรื่องปรกติ บางที...นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน ดื่มด้วยกันเสียด้วยซ้ำ
อำนาจเงินของวอลล์สตรีทนั้นมากมายล้นพ้น โดยเฉพาะกับคนหนุ่มไฟแรงอย่างเขาในตอนนั้น
เกษรา...ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนตอนที่เขาและเธอเจอกันบนเครื่องบินครั้งแรกจากฮ่องกง และไหนจะอีกหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
ไม่ต่างจากผู้หญิงอีกหลายๆ คนที่เขารู้จัก...หรือเคยรู้จัก
เพียงแต่ว่า...บางอย่าง...
วูบ...คล้ายเตือนด้วยความคุ้นเคยที่เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
บาดแผลบนฝ่าเท้าซ้ายที่เริ่มอักเสบทำให้เขาเซแทบประคองตัวไม่อยู่ เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงเขยิบเข้าใกล้ต้นเสาใหญ่สีขาวที่พอมีที่ว่างใช้เป็นที่ยึดได้
รองเท้าหนังนุ่มชั้นดีจากอิตาลีที่ปรกติจะทำให้การเดินเหินสะดวกสบาย แต่ตอนนี้ ราคาหรือคุณภาพของรองเท้ากลับไม่สามารถคลายอาการระบม
ร่างสูงสั่นไหวๆเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผล หากพลันเสียงเปียโนดังมาจากเวทีข้างล่างขับขานเป็นท่วงทำนองไพเราะละมุน
Moon River wider than a mile
I’m crossing you in style, some day…
[“Moon River” ประพันธ์คำร้องโดย Johnny Mercer]
ความคุ้นเคยทำให้ภูเก็ตชะงักกึก นิ่วหน้าด้วยความคิดอ่อนไหว
ทำนองดนตรีคงไม่บาดใจทำให้ร่างกายชาไปทั้งตัว ถ้าไม่ใช่เพราะวิธีเล่นหรือการเรียบเรียงของท่วงทำนอง ที่แสนคุ้นเคย
การเรียบเรียง…ง่าย ให้คนมือใหม่หัดเล่น
เพียงแต่ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยได้ยินวิธีการเล่นแบบนี้ ท่วงทำนองเสนาะเพราะเสียงกังวานตามตัวโน๊ตง่ายๆ ก็...ตอนนั้นที่นิวยอร์ค
ระริน!
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ภูเก็ตต้องฝ่าวงล้อมของผู้คนที่เบียดเสียดอัดแน่น เพราะมันไม่ใช่แค่ Moon River ที่เพิ่งจบไป แต่นี่…แม้แต่บทเพลงอีกชิ้น
ช้าเร็วไปมา…ตามอารมณ์
สลับกับความรู้สึกลึกซึ้ง โหยหา โอนอ่อน เร่าร้อน เร้นในท่วงโน้ตเพลง
และแม้ว่าความละเอียดละออในการลงตัวโน๊ตและการเล่นแสนง่าย แตกต่างจากที่เขาเคยได้ยินเมื่อกาลครั้งหนึ่ง แต่มันก็…คุ้นเคย
แล้วไหน การเค้นหนักเร้นนักที่ตรงหัวใจ
ความรู้สึกคุ้นเคย หรืออาจเป็นความรู้สึกขื่นๆ ในลำคอ ทุกสิ่งทุกอย่างบีบหนักจนเขาร้าวระทม
ร่างสูงค่อยๆ เร้นกายแทรกเข้าไปในหมู่ฝูงชน
เขาหวัง...อย่างคนสิ้นหวัง ดวงตาที่ผลุบลงต่ำ ก็เพราะไม่อยากมอง ด้วยเกรงจะผิดหวัง
และเมื่อตัดสินใจมอง ก็ต้องผิดหวังจริงๆ เพราะร่างที่นั่งอยู่กลางเวทีหลังเปียโนใหญ่มิใช่…ระริน
หากเป็น…เกษรา
บทเพลงไพเราะ บรรเลงตามการเรียบเรียงง่ายๆ เหมาะสำหรับระดับความสามารถของคนเล่นมือใหม่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางเอกหมายเลขหนึ่งก็สามารถเล่นออกมาได้ดีเลยทีเดียว
แฟนเพลงที่ได้ฟังล้วนไม่ผิดหวัง
แต่ภูเก็ตถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ศีรษะก้มลงราวพยายามปลอบใจตัวเอง อาการถอนหายใจเบาๆ ก็บ่งบอกเช่นนั้น เขาทอดอาลัยอย่างคนสิ้นหวัง สีหน้าบ่งบอกเช่นนั้น แม้เมื่อขยับตัว กวาดสายตามองไปรอบๆ
การแหงนหน้าขึ้นไม่ตั้งใจ แต่เมื่อสายตากวาดมองไปยังชั้นทางระเบียงราวกั้นของด้านบนชั้นสี่ เขาก็ต้องชะงักอย่างพิศวง เบิกตากว้างใบหน้าซีดเผือก…ไม่คาดคิด งุนงง
ตาของเขาคงพร่า ฝ้าฟางเพราะเงาอดีต และความหวังอันริบหรี่ที่เกาะกินในหัวใจมานานหลายปี
มันไม่น่าเป็นไปได้ จนเขาอยากจะคิดว่าจำคนผิด
ทว่าสายตาของผู้หญิงที่ยืนเกาะราวระเบียงคนนั้น ก็ปรากฏความไม่คาดคิด ตกใจเช่นกัน
“ระริน…” เสียงของภูเก็ตแหบพร่า หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น “ระริน!”
ความเจ็บของบาดแผลที่ฝ่าเท้ายังไม่เท่ากับการบีบแน่นของหัวใจ
เขาไม่สนใจใคร หรืออะไรอีกแล้ว
ร่างสูงหันฝ่าวงล้อมของผู้คน ปรี่ไปยังบันไดเลื่อนที่ใกล้สุด ให้เขาต้องลากขาไป แต่ภูเก็ตไม่สน
ไม่สนแม้กระทั่งความรู้สึกเจ็บแปลบ
ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น
มีแต่หัวใจที่เต้นแรง และศีรษะปวดหนึบ ดวงตาร้อนผ่าว
มีเพียงความหวังลางๆ ที่แม้แต่กาลเวลาก็ไม่อาจจะลบเลือนไปได้
เขาวิ่งขึ้นมาชั้นสี่ ตรงที่เมื่อกี้เพิ่งเห็น…ระริน
ทว่าบัดนี้ มองซ้ายขวาก็มีแต่คนแปลกหน้า ไม่เห็นใบหน้านวลและดวงตาเป็นประกายรอยยิ้มที่แสนคุ้นเคย
My Love…My Huckleberry Friend
ใจ…ของเขาเร่าร้อน เรียกร้องเช่นนั้น
เหมือนที่เขาเคยเรียกที่ปารีส มิลาน เวียนนา และอีกหลายที่ อีกหลายเมืองที่ระรินเคยร่ำร้องอยากไปนักหนา
‘นะ...หมิง...นะ ไปกันเถอะ’
แต่เขาซิ… ‘ไว้ให้มีเวลาก่อน’
ภูเก็ตมักผลัดวันไปเรื่อยๆ
จะรีบไปใย ก็ในเมื่อเรายังมีเวลาชั่วชีวิต และจนกระทั่งเมื่อระรินจากไป เมื่อนั้นเขาถึง…มีเวลา เขาสละทุกอย่าง แม้แต่งานที่กำลังรุ่ง และเงินที่แสนยั่วยวน
เพียงแต่ว่าเขาต้องไปเพียงลำพังคนเดียว ไปด้วยความหวัง เพื่อตามหา
แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ
ในตอนนี้ ก็ไม่พบอีกเช่นกัน
นิจจาเอ๋ยเจ้ามาเลยละจากแล้ว
เหมือนเดือนแก้วลอยลับดับทุกหน
อาทิตย์ลาแลมืดจืดพิกล
ดาวให้ล้นพ้นฟากฟ้าดูพร่ามัว
ดั่งสายฝนสาดซัดพัดเปียกเปรอะ
เมฆลอยเลอะเกลื่อนดาษลำบากทั่ว
ลมโบกลิ่วผิวกราดให้หวาดกลัว
พี่อยู่ตัวคนเดียวรู้เดี่ยวดาย
ใช่...เขามั่นใจว่าต้องเป็นระริน
ให้ผ่านมาห้าปีเกือบหกปี แต่เขาไม่เคยลืมเลือน
สายตาเช่นนั้นที่มองมา เพียงแต่ว่าคราวนี้...ไม่มีรอยยิ้มสดใส ที่ครายิ้มทำให้โลกของเขาสว่างไสวงดงาม
มีเพียงอาการตกใจ ที่ทำให้ดวงตาเรียวคู่สวยที่มักเสมือนมีรอยยิ้ม แลดูวิตก
กลัวอะไร
เพราะอะไร
หรือว่าระรินกลัวเขาอย่างนั้นหรือ
อาการเจ็บแปลบที่ฝ่าเท้ายังไม่บาดคมเท่าแรงบีบของหัวใจ จนเขารู้สึกว่าโลกหมุนอย่างเร็ว พลันต้องคว้ายึดแนวกำแพงกระจกของหนึ่งในร้านค้าไว้
ร่างสูงยืนแน่นิ่งพิงกำแพงนั่น ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองยืนอยู่นานเท่าไร เขาเห็นเพียงแวบแค่ว่าพนักงานในร้านเดินออกมาดูด้วยความฉงน หากไม่ได้ว่ากล่าวอะไร จนกระทั่งในที่สุด ภูเก็ตก้าวขาออกช้าๆ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ลงน้ำหนักบนเท้าซ้ายที่ร้าวๆระบม ร่างทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขากัดฟันเดินมาที่รถตู้ที่จอดอยู่ในลานจอดด้านล่าง แอร์เย็นๆ ภายในรถไม่สามารถช่วยดับคลายอาการร้อนวูบได้เลย
ภูเก็ตมองนาฬิกาข้อมือ พยายามนึก เกษราบอกว่าจะใช้เวลาอยู่ที่งานนี้นานเท่าไหร่นะ
ทว่าเขานึกไม่ออก จำไม่ได้
สิ่งที่จำได้ก็มีแค่...ระริน
ดวงตาที่เสมือนมีรอยยิ้มเป็นประกายเจิดจ้าคู่นั้น เขาจำได้ตั้งแต่เมื่อแรกเห็น ที่โรงเรียนบอร์ดิ้งสกูลในรัฐแมสซาชูเซ็ทส์เมื่อยี่สิบปีก่อน
ตอนนั้น ในสถานที่ต่างถิ่น ต่างแดน เขามีระรินเป็นเพื่อนคนแรก และเป็นรักครั้งแรก
‘หมิงไม่อ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาเคมีพรุ่งนี้เหรอจ๊ะ’
‘ก็อ่านอยู่นี่ไง’ ภูเก็ตจำได้เขาแหงนหน้าบอกสาวน้อยผู้เป็นที่รัก ‘มาอ่านตรงนี้ แล้วก็ฟังระรินซ้อมเปียโนไปด้วยไงจ๊ะ’
เขาทำเช่นนี้ประจำจนครูสอนเปียโนคร้านที่จะไล่ เมื่อไรที่ระรินมีซ้อมหรือมีเรียนเปียโน ก็มักจะต้องมีเขาที่นั่งอยู่หน้าห้อง หรือวนเวียนแถวๆ นั้นไม่ห่าง จนหลายครา ครูที่สอน หรือใครที่เห็น ก็จะหาเก้าอี้มาให้เขานั่ง
‘ผมชอบฟังระรินเล่น ใจ...สงบดี’
ระรินเปรียบเสมือนสายน้ำ ชุ่มฉ่ำ สงบเงียบ
‘
She calms the demon inside of you’ เพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมคนหนึ่งเคยตั้งข้อสังเกต
และพอระรินจากไป ใจ...ของเขาก็ไม่สงบอีกเลย
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 18) โดย มานัส
บาดแผลสดบนฝ่าเท้าซ้ายยังเจ็บแปลบเพราะเพิ่งผ่านมาเพียงแค่วันรุ่งขึ้น และแม้ว่าท่วงท่าเดินยังคงเหมือนปรกติ แต่เจ้าตัวก็ระวังอย่างยิ่งยวด พยายามไม่เผลอลงย้ำน้ำหนักมากเกินไป
ยังดีที่เกษราให้เขาเพียงแค่ช่วยขับรถ เพราะถ้าเจ้าหล่อนต้องการให้เขาเป็นเบ๊มากเกินกว่านั้น ภูเก็ตรู้...ไม่ไหวแน่ เพราะไหนยังมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวที่รู้สึกมาหลายวันแล้ว
แล้วไหนลำคอที่แหบแห้ง จนเสียงที่ในเวลาปรกติคงตวัดลงหนัก บัดนี้แว่วขัดๆ
“ผมมาช่วยขับรถให้ แต่ไม่ใช่คนขับของคุณ” ดวงตาอิดโรยมองกระจกหลังของรถตู้คันงามหลังจากขึ้นนั่งประจำที่ “คนใดคนหนึ่งมานั่งข้างหน้า”
“ไม่ได้หรอก” เหมียวเปรี้ยวผู้ช่วยของนางเอกคนดังบอก “พี่เกดต้องเตรียมตัว”
“คุณเกดเตรียมตัว แต่เธอไม่ต้อง” คนขับรถไม่สนใจทีท่าของอีกฝ่าย
เหมียวเปรี้ยว…ชื่อที่ทั้งเกษราและพีทซี่พร้อมใจเรียก เพราะผมซอยยาวจรดท้ายทอยย้อมสีสดเปรี้ยวสะท้านฟ้าของเธอ ก็ไม่สนใจคนขับรถเช่นกัน
การโต้แย้งเป็นไปอีกครู่ จนคนทำหน้าที่ขับรถเปิดประตูลงอย่างหัวเสีย “งั้นก็ไม่ต้องไป”
“อีตาภูเก็ต!” เสียงของดาราสาวดังไล่หลังอย่างหัวเสียเช่นกัน ก่อนจะเปิดประตูรถก้าวลงตาม “คุณจะทำอะไรให้มันง่ายๆ บ้างได้ไหม อย่าเป็นอุปสรรคในชีวิตของฉันนักเลย”
“ผมเนี่ยนะ!”
“ฉันขอร้องคุณก็ได้ ถ้าจะหาเรื่องจะแกล้งฉัน ยังไงขอให้พ้นวันนี้ไปก่อน ฉันมีสองงานตอนบ่าย เย็นนี้ก็มีถ่ายละครอีก วันนี้ฉันจะมีเรื่องไม่ได้” เสียงแผ่วแกมขอร้องหนักแน่นทุกพยางค์ แล้วไหนจะแววตาอ้อนวอน
มันก็พอทำให้ร่างสูงในชุดกางเกงยีนส์เข้มและเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนเดินกลับไปขึ้นประจำที่คนขับ ออกรถ…และทำหน้าที่ของตนเองอย่างดี โดยไม่พูดอะไรอีกเลยสักคำหลังจากนั้น ขับไปงานแรก รอรับ แล้วไปงานที่สองในช่วงบ่ายแก่ๆ หนำซ้ำเขารู้หน้าที่โดยออกไปรอด้านนอกระหว่างที่เกษราเปลี่ยนชุดในรถตู้ที่คลุมด้วยกระจกสีดำทึบพร้อมม่านปิดอีกชั้น
“น่าจะประมาณชั่วโมงกว่าๆ เกือบสองชั่วโมง” นางเอกหมายเลขหนึ่งบอกเช่นนั้น ก่อนจะยิ้ม “อีกสักครึ่งชั่วโมงคุณขึ้นไปที่ลานเวทีซิ มี surprise”
“ผมไม่ใช่แฟนคลับนี่ รออยู่ที่รถแหละ” เขาไม่ใส่ใจ ไม่แยแส
ไม่สนแม้แม่เหมียวเปรี้ยว…ผู้ช่วยของดาราสาวจะย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้
ภูเก็ตนิ่งเฉยเหนื่อยกับทุกๆ อย่าง เขานั่งอยู่ในรถตู้คันงามอยู่นาน ก่อนตัดสินใจลุกก้าวลงมา
ร่างสูงยืนนิ่งพยายามขยับยืนทรงตัวในท่าที่เจ็บบาดแผลให้น้อยที่สุด เมื่อพร้อมแล้วเขาจึงค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้า
ช้าๆ แต่มั่นคง
ห้างหรูใจกลางเมืองมีร้านรวงมากมายเกินคณานับ และภูเก็ตก็ไม่เคยคิดจะนับ ให้มาที่นี่กี่ครั้งแล้วก็ตาม
เขาเดินมาที่ร้านกาแฟหาที่นั่งพัก หากต้องสบถอย่างหัวเสียเมื่อพบว่าในร้านกลับมีคนที่มานั่งคุยกันมากกว่าลูกค้าที่ดื่มกาแฟ ทำให้ที่นั่งทั้งหมดในร้านถูกครอบครองไม่เว้นว่างเลยแม้แต่ที่เดียว
การตัดสินใจเดินออกมาด้านนอกนั้นทันที แต่การก้าวเดินยังช้ากว่าปรกตินัก
เสียงกรี๊ดกร๊าดจากชั้นล่างสุดที่เวทีของงานตั้งอยู่ ผสมผสานกับบรรดาไทยมุงที่เกาะอยู่ในแต่ละชั้น ทำให้ภูเก็ตส่ายหัว...พวกบ้าดารา
“ไปรักพ่อแม่ตัวเองให้มากกว่านี้ดีกว่ามั๊ง” อีกแล้วที่เขาติในใจ สายตายังคงกวาดมองไปรอบๆ ของชั้นสาม หวังเพียงจะหาที่นั่ง หรือไม่ก็ที่ยืนหลบ…เงียบๆ
ผู้คนที่จับจองตามราวกั้นของแต่ละชั้นทยอยเข้ามามากขึ้น และการส่งเสียงร้องจากบรรดาผู้คนด้านล่างและตามราวชั้นไล่ไปจนถึงชั้นบนสุดก็ดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับการถ่ายรูปแสงแฟลชวูบวาบไม่หยุดหย่อน
เกษรา...เรียกแฟนคลับ และความสนใจจากผู้คนได้เสมอ
เพียงแต่ว่าภูเก็ตไม่เคยสนใจ หรือใส่ใจ
ตอนที่เขาอยู่นิวยอร์ค การกระทบไหล่กับดาราฮอล์ลี่วูดถือเป็นเรื่องปรกติ บางที...นั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกัน ดื่มด้วยกันเสียด้วยซ้ำ
อำนาจเงินของวอลล์สตรีทนั้นมากมายล้นพ้น โดยเฉพาะกับคนหนุ่มไฟแรงอย่างเขาในตอนนั้น
เกษรา...ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนตอนที่เขาและเธอเจอกันบนเครื่องบินครั้งแรกจากฮ่องกง และไหนจะอีกหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา
ไม่ต่างจากผู้หญิงอีกหลายๆ คนที่เขารู้จัก...หรือเคยรู้จัก
เพียงแต่ว่า...บางอย่าง...
วูบ...คล้ายเตือนด้วยความคุ้นเคยที่เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
บาดแผลบนฝ่าเท้าซ้ายที่เริ่มอักเสบทำให้เขาเซแทบประคองตัวไม่อยู่ เมื่อนั้นชายหนุ่มจึงเขยิบเข้าใกล้ต้นเสาใหญ่สีขาวที่พอมีที่ว่างใช้เป็นที่ยึดได้
รองเท้าหนังนุ่มชั้นดีจากอิตาลีที่ปรกติจะทำให้การเดินเหินสะดวกสบาย แต่ตอนนี้ ราคาหรือคุณภาพของรองเท้ากลับไม่สามารถคลายอาการระบม
ร่างสูงสั่นไหวๆเพราะความเจ็บปวดจากบาดแผล หากพลันเสียงเปียโนดังมาจากเวทีข้างล่างขับขานเป็นท่วงทำนองไพเราะละมุน
Moon River wider than a mile
I’m crossing you in style, some day…
[“Moon River” ประพันธ์คำร้องโดย Johnny Mercer]
ความคุ้นเคยทำให้ภูเก็ตชะงักกึก นิ่วหน้าด้วยความคิดอ่อนไหว
ทำนองดนตรีคงไม่บาดใจทำให้ร่างกายชาไปทั้งตัว ถ้าไม่ใช่เพราะวิธีเล่นหรือการเรียบเรียงของท่วงทำนอง ที่แสนคุ้นเคย
การเรียบเรียง…ง่าย ให้คนมือใหม่หัดเล่น
เพียงแต่ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาเคยได้ยินวิธีการเล่นแบบนี้ ท่วงทำนองเสนาะเพราะเสียงกังวานตามตัวโน๊ตง่ายๆ ก็...ตอนนั้นที่นิวยอร์ค
ระริน!
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่ภูเก็ตต้องฝ่าวงล้อมของผู้คนที่เบียดเสียดอัดแน่น เพราะมันไม่ใช่แค่ Moon River ที่เพิ่งจบไป แต่นี่…แม้แต่บทเพลงอีกชิ้น
ช้าเร็วไปมา…ตามอารมณ์
สลับกับความรู้สึกลึกซึ้ง โหยหา โอนอ่อน เร่าร้อน เร้นในท่วงโน้ตเพลง
และแม้ว่าความละเอียดละออในการลงตัวโน๊ตและการเล่นแสนง่าย แตกต่างจากที่เขาเคยได้ยินเมื่อกาลครั้งหนึ่ง แต่มันก็…คุ้นเคย
แล้วไหน การเค้นหนักเร้นนักที่ตรงหัวใจ
ความรู้สึกคุ้นเคย หรืออาจเป็นความรู้สึกขื่นๆ ในลำคอ ทุกสิ่งทุกอย่างบีบหนักจนเขาร้าวระทม
ร่างสูงค่อยๆ เร้นกายแทรกเข้าไปในหมู่ฝูงชน
เขาหวัง...อย่างคนสิ้นหวัง ดวงตาที่ผลุบลงต่ำ ก็เพราะไม่อยากมอง ด้วยเกรงจะผิดหวัง
และเมื่อตัดสินใจมอง ก็ต้องผิดหวังจริงๆ เพราะร่างที่นั่งอยู่กลางเวทีหลังเปียโนใหญ่มิใช่…ระริน
หากเป็น…เกษรา
บทเพลงไพเราะ บรรเลงตามการเรียบเรียงง่ายๆ เหมาะสำหรับระดับความสามารถของคนเล่นมือใหม่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางเอกหมายเลขหนึ่งก็สามารถเล่นออกมาได้ดีเลยทีเดียว
แฟนเพลงที่ได้ฟังล้วนไม่ผิดหวัง
แต่ภูเก็ตถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ศีรษะก้มลงราวพยายามปลอบใจตัวเอง อาการถอนหายใจเบาๆ ก็บ่งบอกเช่นนั้น เขาทอดอาลัยอย่างคนสิ้นหวัง สีหน้าบ่งบอกเช่นนั้น แม้เมื่อขยับตัว กวาดสายตามองไปรอบๆ
การแหงนหน้าขึ้นไม่ตั้งใจ แต่เมื่อสายตากวาดมองไปยังชั้นทางระเบียงราวกั้นของด้านบนชั้นสี่ เขาก็ต้องชะงักอย่างพิศวง เบิกตากว้างใบหน้าซีดเผือก…ไม่คาดคิด งุนงง
ตาของเขาคงพร่า ฝ้าฟางเพราะเงาอดีต และความหวังอันริบหรี่ที่เกาะกินในหัวใจมานานหลายปี
มันไม่น่าเป็นไปได้ จนเขาอยากจะคิดว่าจำคนผิด
ทว่าสายตาของผู้หญิงที่ยืนเกาะราวระเบียงคนนั้น ก็ปรากฏความไม่คาดคิด ตกใจเช่นกัน
“ระริน…” เสียงของภูเก็ตแหบพร่า หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น “ระริน!”
ความเจ็บของบาดแผลที่ฝ่าเท้ายังไม่เท่ากับการบีบแน่นของหัวใจ
เขาไม่สนใจใคร หรืออะไรอีกแล้ว
ร่างสูงหันฝ่าวงล้อมของผู้คน ปรี่ไปยังบันไดเลื่อนที่ใกล้สุด ให้เขาต้องลากขาไป แต่ภูเก็ตไม่สน
ไม่สนแม้กระทั่งความรู้สึกเจ็บแปลบ
ไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น
มีแต่หัวใจที่เต้นแรง และศีรษะปวดหนึบ ดวงตาร้อนผ่าว
มีเพียงความหวังลางๆ ที่แม้แต่กาลเวลาก็ไม่อาจจะลบเลือนไปได้
เขาวิ่งขึ้นมาชั้นสี่ ตรงที่เมื่อกี้เพิ่งเห็น…ระริน
ทว่าบัดนี้ มองซ้ายขวาก็มีแต่คนแปลกหน้า ไม่เห็นใบหน้านวลและดวงตาเป็นประกายรอยยิ้มที่แสนคุ้นเคย
My Love…My Huckleberry Friend
ใจ…ของเขาเร่าร้อน เรียกร้องเช่นนั้น
เหมือนที่เขาเคยเรียกที่ปารีส มิลาน เวียนนา และอีกหลายที่ อีกหลายเมืองที่ระรินเคยร่ำร้องอยากไปนักหนา
‘นะ...หมิง...นะ ไปกันเถอะ’
แต่เขาซิ… ‘ไว้ให้มีเวลาก่อน’
ภูเก็ตมักผลัดวันไปเรื่อยๆ
จะรีบไปใย ก็ในเมื่อเรายังมีเวลาชั่วชีวิต และจนกระทั่งเมื่อระรินจากไป เมื่อนั้นเขาถึง…มีเวลา เขาสละทุกอย่าง แม้แต่งานที่กำลังรุ่ง และเงินที่แสนยั่วยวน
เพียงแต่ว่าเขาต้องไปเพียงลำพังคนเดียว ไปด้วยความหวัง เพื่อตามหา
แต่หาเท่าไรก็หาไม่พบ
ในตอนนี้ ก็ไม่พบอีกเช่นกัน
เหมือนเดือนแก้วลอยลับดับทุกหน
อาทิตย์ลาแลมืดจืดพิกล
ดาวให้ล้นพ้นฟากฟ้าดูพร่ามัว
ดั่งสายฝนสาดซัดพัดเปียกเปรอะ
เมฆลอยเลอะเกลื่อนดาษลำบากทั่ว
ลมโบกลิ่วผิวกราดให้หวาดกลัว
พี่อยู่ตัวคนเดียวรู้เดี่ยวดาย
ใช่...เขามั่นใจว่าต้องเป็นระริน
ให้ผ่านมาห้าปีเกือบหกปี แต่เขาไม่เคยลืมเลือน
สายตาเช่นนั้นที่มองมา เพียงแต่ว่าคราวนี้...ไม่มีรอยยิ้มสดใส ที่ครายิ้มทำให้โลกของเขาสว่างไสวงดงาม
มีเพียงอาการตกใจ ที่ทำให้ดวงตาเรียวคู่สวยที่มักเสมือนมีรอยยิ้ม แลดูวิตก
กลัวอะไร
เพราะอะไร
หรือว่าระรินกลัวเขาอย่างนั้นหรือ
อาการเจ็บแปลบที่ฝ่าเท้ายังไม่บาดคมเท่าแรงบีบของหัวใจ จนเขารู้สึกว่าโลกหมุนอย่างเร็ว พลันต้องคว้ายึดแนวกำแพงกระจกของหนึ่งในร้านค้าไว้
ร่างสูงยืนแน่นิ่งพิงกำแพงนั่น ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองยืนอยู่นานเท่าไร เขาเห็นเพียงแวบแค่ว่าพนักงานในร้านเดินออกมาดูด้วยความฉงน หากไม่ได้ว่ากล่าวอะไร จนกระทั่งในที่สุด ภูเก็ตก้าวขาออกช้าๆ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ลงน้ำหนักบนเท้าซ้ายที่ร้าวๆระบม ร่างทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขากัดฟันเดินมาที่รถตู้ที่จอดอยู่ในลานจอดด้านล่าง แอร์เย็นๆ ภายในรถไม่สามารถช่วยดับคลายอาการร้อนวูบได้เลย
ภูเก็ตมองนาฬิกาข้อมือ พยายามนึก เกษราบอกว่าจะใช้เวลาอยู่ที่งานนี้นานเท่าไหร่นะ
ทว่าเขานึกไม่ออก จำไม่ได้
สิ่งที่จำได้ก็มีแค่...ระริน
ดวงตาที่เสมือนมีรอยยิ้มเป็นประกายเจิดจ้าคู่นั้น เขาจำได้ตั้งแต่เมื่อแรกเห็น ที่โรงเรียนบอร์ดิ้งสกูลในรัฐแมสซาชูเซ็ทส์เมื่อยี่สิบปีก่อน
ตอนนั้น ในสถานที่ต่างถิ่น ต่างแดน เขามีระรินเป็นเพื่อนคนแรก และเป็นรักครั้งแรก
‘หมิงไม่อ่านหนังสือเตรียมสอบวิชาเคมีพรุ่งนี้เหรอจ๊ะ’
‘ก็อ่านอยู่นี่ไง’ ภูเก็ตจำได้เขาแหงนหน้าบอกสาวน้อยผู้เป็นที่รัก ‘มาอ่านตรงนี้ แล้วก็ฟังระรินซ้อมเปียโนไปด้วยไงจ๊ะ’
เขาทำเช่นนี้ประจำจนครูสอนเปียโนคร้านที่จะไล่ เมื่อไรที่ระรินมีซ้อมหรือมีเรียนเปียโน ก็มักจะต้องมีเขาที่นั่งอยู่หน้าห้อง หรือวนเวียนแถวๆ นั้นไม่ห่าง จนหลายครา ครูที่สอน หรือใครที่เห็น ก็จะหาเก้าอี้มาให้เขานั่ง
‘ผมชอบฟังระรินเล่น ใจ...สงบดี’
ระรินเปรียบเสมือนสายน้ำ ชุ่มฉ่ำ สงบเงียบ
‘She calms the demon inside of you’ เพื่อนร่วมห้องสมัยมัธยมคนหนึ่งเคยตั้งข้อสังเกต
และพอระรินจากไป ใจ...ของเขาก็ไม่สงบอีกเลย
(ต่อ)