บทที่ 1 หน้าทอง
เสียงระนาดเอกรัวนำทำนองเพลงเชิดดังก้องไปทั่วโรงละครซ้อม ตามด้วยเสียงปี่พาทย์ที่โหยหวนบาดลึก ร่างอรชรในชุดซ้อมสีขาวสะอาดตากำลังย่อเข่า จีบนิ้ว และวาดวงแขนด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยแต่งามสง่า ทุกย่างก้าวของเธอสะกดสายตาทุกคู่ให้จับจ้อง
นั่นคือ
เขมิกา... ดาวเด่นของคณะ
แม้บทที่เธอกำลังซ้อมอยู่คือ "พระลักษม์" พระอนุชาผู้จงรักภักดี ซึ่งเป็นตัวละครชาย แต่เขมิกากลับถ่ายทอดความงามแบบ "งามละมุน" ออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ใบหน้าสวยคมคายของเธอเชิดขึ้นรับแสงไฟสปอตไลต์ แววตาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์
มุมมืดหลังฉากกั้น...
รินรดา ยืนกำมือแน่น เล็บจิกเข้าเนื้อจนเจ็บ แต่ความเจ็บที่ฝ่ามือเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในอก
"หยุดก่อน!"
เสียงทุ้มทรงอำนาจของ ภาคย์ ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงดังขึ้น เขาสั่งให้ดนตรีหยุด ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเขมิกาด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยาก "เยี่ยมมากเขม! นี่แหละคือพระลักษม์ที่ผมอยากเห็น งดงาม น่าทะนุถนอม แต่ก็ดูสูงศักดิ์"
ภาคย์หันกลับมามองทางมุมมืดที่รินรดายืนอยู่ แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย เย็นชา
"ริน... ออกมานี่หน่อย"
รินรดาสูดหายใจลึก ก้าวเท้าที่หนักอึ้งออกมาสู่แสงสว่าง เธอรู้ดีว่าจะต้องเจอกับคำพูดแบบไหน
"ริน ท่ารำของรินแม่นยำมาก เทคนิคไม่มีที่ติเลยนะ" ภาคย์พูดตามตรง แต่ประโยคต่อมาเหมือนมีดกรีดกลางใจ "แต่ริน... คุณไม่มี 'เสน่ห์' เลย เวลาคุณรำ มันเหมือนหุ่นยนต์ มันแห้งแล้ง ไม่มีแรงดึงดูด คนดูมองคุณแป๊บเดียวเขาก็เบื่อ คุณเข้าใจไหมว่าพระลักษม์คือกายทอง? ต้องผ่องใส ต้องชวนมอง... ซึ่งคุณไม่มีตรงนั้น"
เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากกลุ่มนักแสดงประกอบ เขมิกายิ้มบางๆ ให้รินรดา รอยยิ้มที่ดูเหมือนเห็นใจแต่แฝงด้วยความสมเพช
"ไม่เป็นไรนะริน เดี๋ยวเราช่วยสอนจริตให้" เขมิกาพูด "บางที... เรื่องแบบนี้มันอาจจะอยู่ที่อินเนอร์ หรือไม่ก็... บุญวาสนา"
รินรดาหน้าชาเหมือนถูกตบ เธอก้มหน้าลงซ่อนน้ำตาที่รื้นขึ้นมา "ขอโทษค่ะ... รินจะพยายามใหม่"
"พอเถอะ" ภาคย์ถอนหายใจ "บทพระลักษม์รอบกาล่าดินเนอร์ ยกให้เขมิกา ส่วนริน... ไปคุมฝ่ายเสื้อผ้าแล้วกัน"
วินาทีนั้น โลกของรินรดาถล่มทลาย
.
.
เวลาล่วงเลยจนดึกสงัด
รินรดาไม่ได้กลับบ้าน เธอนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในห้องเก็บพรอพเก่าหลังโรงละคร กลิ่นอับของไม้เก่าและฝุ่นหนาคลุ้งอยู่ในอากาศ ห้องนี้เต็มไปด้วยหัวโขนที่ชำรุด ชุดละครที่ขาดวิ่น และหีบไม้โบราณที่วางซ้อนกันระเกะระกะ เหมือนสุสานของสิ่งที่ถูกลืม... เหมือนกับตัวเธอ
"ทำไม..." รินรดาสะอื้น "ทำไมฉันถึงไม่สวย... ทำไมฉันถึงไม่มีใครรัก"
ทันใดนั้น จมูกของเธอก็ได้กลิ่นหอมแปลกประหลาด
ไม่ใช่กลิ่นแป้งร่ำหรือน้ำอบไทยที่คุ้นเคย แต่มันเป็นกลิ่นหอมฉุนรุนแรง หอมหวานจนเอียน คล้ายกลิ่น ดอกราตรี ที่กำลังบานสะพรั่งผสมกับกลิ่นคาวสนิมจางๆ
กึก... กึก...
เสียงเหมือนไม้ลั่นดังมาจากมุมมืดที่สุดของห้อง
รินรดาเงยหน้าขึ้น ปาดน้ำตา พยายามมองฝ่าความมืด "ใครน่ะ? พี่เชิดเหรอ?"
ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงกลิ่นหอมนั้นที่รุนแรงขึ้น รินรดาเหมือนถูกบางอย่างดึงดูด เธอลุกขึ้นเดินตามกลิ่นนั้นไป ยิ่งเดินลึกเข้าไป อากาศก็ยิ่งเย็นเยียบจนขนลุกชัน
เธอหยุดยืนอยู่หน้าหีบไม้สักทองลงรักปิดทองลายรดน้ำที่ดูเก่าคร่ำครึ ตัวล็อกเป็นทองเหลืองรูปหน้ายักษ์ที่ดูดุร้าย แต่น่าประหลาด... หีบนั้นไม่ได้ล็อก
มือที่สั่นเทาของรินรดาเอื้อมไปเปิดฝาหีบขึ้นช้าๆ
แอ๊ด......
ภายในหีบ บุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดนก ตรงกลางนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากวัตถุชิ้นหนึ่ง
มันคือ แผ่นทองคำขนาดเท่าฝ่ามือ
แต่ไม่ใช่แผ่นทองเรียบๆ บนพื้นผิวของทองคำนั้นถูกดุนลายเป็นรูปใบหน้าครึ่งซีกของ พระลักษม์ ดวงตาเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักได้รูปที่กำลังแสยะยิ้มบางเบา ลวดลายวิจิตรบรรจงจนดูเหมือนมันมีชีวิต
รินรดาจ้องมองมันอย่างหลงใหล ทองคำนั้นส่องประกายวาววับแม้ในความมืดสลัว
"งามเหลือเกิน..." เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นข้างหู
รินรดาสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองรอบตัว "ใครน่ะ!"
ไม่มีใคร... มีเพียงความเงียบและเงาตะคุ่มของหัวโขนบนชั้นวางที่ดูเหมือนกำลังจ้องมองเธอ
"เจ้าอยากครอบครองมันหรือไม่?" เสียงนั้นดังขึ้นอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาจากข้างนอก แต่มันดัง ก้องอยู่ในหัวของเธอ เป็นเสียงผู้หญิงที่ไพเราะ หวานหยด แต่เย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ "อำนาจ... ความงาม... และสายตาของชายผู้นั้น... เจ้าไม่อยากได้มันหรือ?"
ภาพใบหน้าของภาคย์ที่มองเขมิกาอย่างชื่นชมผุดขึ้นมาในสมอง ความริษยาแล่นพล่านเหมือนไฟลามทุ่ง
"อยากได้..." รินรดาพึมพำเหมือนคนละเมอ "ฉันอยากได้..."
"เช่นนั้น... จงรับข้าไปสิ... ให้ข้าเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า"
มือของรินรดาหยิบแผ่นทองคำนั้นขึ้นมา มันเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง แต่เพียงชั่วครู่ มันกลับร้อนวูบวาบเหมือนถ่านไฟ รินรดาไม่รู้สึกเจ็บปวด กลับรู้สึกถึงความเสียวซ่านประหลาดที่แล่นปราดจากปลายนิ้วไปสู่หัวใจ
เธอค่อยๆ ยกแผ่นหน้ากากทองคำนั้นขึ้น... แล้วทาบลงบนใบหน้าของตนเอง
ซู่!!!
ทันทีที่ทองคำสัมผัสผิวหน้า รินรดากรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากลำคอ
แผ่นทองคำไม่ได้แปะอยู่แค่ภายนอก มัน ละลาย กลายเป็นของเหลวสีทองหนืดร้อนระอุ ไหลซึมเข้าไปในรูขุมขน ซึมลึกผ่านชั้นหนังกำพร้า เข้าสู่เนื้อแดงๆ และกระดูก ความรู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงใบหน้า พร้อมกับความสุขสมที่รุนแรงจนน่ากลัว
ร่างกายของเธอบิดเกร็งลงไปกองกับพื้น ดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางความมืด กลิ่นดอกราตรีตลบอบอวลจนฉุนกึก
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้... ทุกอย่างสงบลง
รินรดาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น เธอยังหอบหายใจถี่ รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่อัดแน่นอยู่เต็มอก เธอเดินโซเซไปที่กระจกเงาบานใหญ่ที่ตั้งพิงผนังอยู่
ในกระจกเงาที่สะท้อนแสงจันทร์รำไร...
หญิงสาวในกระจกคือรินรดาคนเดิม แต่ก็ไม่ใช่คนเดิม ผิวพรรณที่เคยหมองคล้ำกลับผุดผ่องเป็นยองใยราวกับมีแสงเรืองรองออกมาจากข้างใน ดวงตาที่เคยเศร้าสร้อยกลับหวานเชื่อมเยิ้มหยดย้อย ริมฝีปากแดงระเรื่อคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม
รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของรินรดา... แต่เป็นรอยยิ้มของนางพญาผู้กระหายเลือด
เงาสะท้อนในกระจกยกมือขึ้นลูบไล้แก้มของตัวเอง รินรดารู้สึกว่าปากของเธอขยับพูดออกมาเองโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ
"งาม... งามสมใจข้าจริงๆ"
เสียงหัวเราะหวานใสที่ดังก้องกังวานในความมืด ทำให้หัวโขนยักษ์ที่วางอยู่บนชั้นหล่นลงมากระแทกพื้น แตกกระจาย!
เรื่ิองเล่ายามฟ้ามืด “หน้าพระลักษม์”
เสียงระนาดเอกรัวนำทำนองเพลงเชิดดังก้องไปทั่วโรงละครซ้อม ตามด้วยเสียงปี่พาทย์ที่โหยหวนบาดลึก ร่างอรชรในชุดซ้อมสีขาวสะอาดตากำลังย่อเข่า จีบนิ้ว และวาดวงแขนด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อยแต่งามสง่า ทุกย่างก้าวของเธอสะกดสายตาทุกคู่ให้จับจ้อง
นั่นคือ เขมิกา... ดาวเด่นของคณะ
แม้บทที่เธอกำลังซ้อมอยู่คือ "พระลักษม์" พระอนุชาผู้จงรักภักดี ซึ่งเป็นตัวละครชาย แต่เขมิกากลับถ่ายทอดความงามแบบ "งามละมุน" ออกมาได้อย่างไร้ที่ติ ใบหน้าสวยคมคายของเธอเชิดขึ้นรับแสงไฟสปอตไลต์ แววตาเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์
มุมมืดหลังฉากกั้น... รินรดา ยืนกำมือแน่น เล็บจิกเข้าเนื้อจนเจ็บ แต่ความเจ็บที่ฝ่ามือเทียบไม่ได้เลยกับความเจ็บปวดในอก
"หยุดก่อน!"
เสียงทุ้มทรงอำนาจของ ภาคย์ ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงดังขึ้น เขาสั่งให้ดนตรีหยุด ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเขมิกาด้วยรอยยิ้มที่หาได้ยาก "เยี่ยมมากเขม! นี่แหละคือพระลักษม์ที่ผมอยากเห็น งดงาม น่าทะนุถนอม แต่ก็ดูสูงศักดิ์"
ภาคย์หันกลับมามองทางมุมมืดที่รินรดายืนอยู่ แววตาของเขาเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย เย็นชา
"ริน... ออกมานี่หน่อย"
รินรดาสูดหายใจลึก ก้าวเท้าที่หนักอึ้งออกมาสู่แสงสว่าง เธอรู้ดีว่าจะต้องเจอกับคำพูดแบบไหน
"ริน ท่ารำของรินแม่นยำมาก เทคนิคไม่มีที่ติเลยนะ" ภาคย์พูดตามตรง แต่ประโยคต่อมาเหมือนมีดกรีดกลางใจ "แต่ริน... คุณไม่มี 'เสน่ห์' เลย เวลาคุณรำ มันเหมือนหุ่นยนต์ มันแห้งแล้ง ไม่มีแรงดึงดูด คนดูมองคุณแป๊บเดียวเขาก็เบื่อ คุณเข้าใจไหมว่าพระลักษม์คือกายทอง? ต้องผ่องใส ต้องชวนมอง... ซึ่งคุณไม่มีตรงนั้น"
เสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ดังมาจากกลุ่มนักแสดงประกอบ เขมิกายิ้มบางๆ ให้รินรดา รอยยิ้มที่ดูเหมือนเห็นใจแต่แฝงด้วยความสมเพช
"ไม่เป็นไรนะริน เดี๋ยวเราช่วยสอนจริตให้" เขมิกาพูด "บางที... เรื่องแบบนี้มันอาจจะอยู่ที่อินเนอร์ หรือไม่ก็... บุญวาสนา"
รินรดาหน้าชาเหมือนถูกตบ เธอก้มหน้าลงซ่อนน้ำตาที่รื้นขึ้นมา "ขอโทษค่ะ... รินจะพยายามใหม่"
"พอเถอะ" ภาคย์ถอนหายใจ "บทพระลักษม์รอบกาล่าดินเนอร์ ยกให้เขมิกา ส่วนริน... ไปคุมฝ่ายเสื้อผ้าแล้วกัน"
วินาทีนั้น โลกของรินรดาถล่มทลาย
.
.
เวลาล่วงเลยจนดึกสงัด
รินรดาไม่ได้กลับบ้าน เธอนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในห้องเก็บพรอพเก่าหลังโรงละคร กลิ่นอับของไม้เก่าและฝุ่นหนาคลุ้งอยู่ในอากาศ ห้องนี้เต็มไปด้วยหัวโขนที่ชำรุด ชุดละครที่ขาดวิ่น และหีบไม้โบราณที่วางซ้อนกันระเกะระกะ เหมือนสุสานของสิ่งที่ถูกลืม... เหมือนกับตัวเธอ
"ทำไม..." รินรดาสะอื้น "ทำไมฉันถึงไม่สวย... ทำไมฉันถึงไม่มีใครรัก"
ทันใดนั้น จมูกของเธอก็ได้กลิ่นหอมแปลกประหลาด
ไม่ใช่กลิ่นแป้งร่ำหรือน้ำอบไทยที่คุ้นเคย แต่มันเป็นกลิ่นหอมฉุนรุนแรง หอมหวานจนเอียน คล้ายกลิ่น ดอกราตรี ที่กำลังบานสะพรั่งผสมกับกลิ่นคาวสนิมจางๆ
กึก... กึก...
เสียงเหมือนไม้ลั่นดังมาจากมุมมืดที่สุดของห้อง
รินรดาเงยหน้าขึ้น ปาดน้ำตา พยายามมองฝ่าความมืด "ใครน่ะ? พี่เชิดเหรอ?"
ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงกลิ่นหอมนั้นที่รุนแรงขึ้น รินรดาเหมือนถูกบางอย่างดึงดูด เธอลุกขึ้นเดินตามกลิ่นนั้นไป ยิ่งเดินลึกเข้าไป อากาศก็ยิ่งเย็นเยียบจนขนลุกชัน
เธอหยุดยืนอยู่หน้าหีบไม้สักทองลงรักปิดทองลายรดน้ำที่ดูเก่าคร่ำครึ ตัวล็อกเป็นทองเหลืองรูปหน้ายักษ์ที่ดูดุร้าย แต่น่าประหลาด... หีบนั้นไม่ได้ล็อก
มือที่สั่นเทาของรินรดาเอื้อมไปเปิดฝาหีบขึ้นช้าๆ
แอ๊ด......
ภายในหีบ บุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงเลือดนก ตรงกลางนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากวัตถุชิ้นหนึ่ง
มันคือ แผ่นทองคำขนาดเท่าฝ่ามือ
แต่ไม่ใช่แผ่นทองเรียบๆ บนพื้นผิวของทองคำนั้นถูกดุนลายเป็นรูปใบหน้าครึ่งซีกของ พระลักษม์ ดวงตาเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักได้รูปที่กำลังแสยะยิ้มบางเบา ลวดลายวิจิตรบรรจงจนดูเหมือนมันมีชีวิต
รินรดาจ้องมองมันอย่างหลงใหล ทองคำนั้นส่องประกายวาววับแม้ในความมืดสลัว
"งามเหลือเกิน..." เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นข้างหู
รินรดาสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองรอบตัว "ใครน่ะ!"
ไม่มีใคร... มีเพียงความเงียบและเงาตะคุ่มของหัวโขนบนชั้นวางที่ดูเหมือนกำลังจ้องมองเธอ
"เจ้าอยากครอบครองมันหรือไม่?" เสียงนั้นดังขึ้นอีก ครั้งนี้ไม่ได้มาจากข้างนอก แต่มันดัง ก้องอยู่ในหัวของเธอ เป็นเสียงผู้หญิงที่ไพเราะ หวานหยด แต่เย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ "อำนาจ... ความงาม... และสายตาของชายผู้นั้น... เจ้าไม่อยากได้มันหรือ?"
ภาพใบหน้าของภาคย์ที่มองเขมิกาอย่างชื่นชมผุดขึ้นมาในสมอง ความริษยาแล่นพล่านเหมือนไฟลามทุ่ง
"อยากได้..." รินรดาพึมพำเหมือนคนละเมอ "ฉันอยากได้..."
"เช่นนั้น... จงรับข้าไปสิ... ให้ข้าเป็นส่วนหนึ่งของเจ้า"
มือของรินรดาหยิบแผ่นทองคำนั้นขึ้นมา มันเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง แต่เพียงชั่วครู่ มันกลับร้อนวูบวาบเหมือนถ่านไฟ รินรดาไม่รู้สึกเจ็บปวด กลับรู้สึกถึงความเสียวซ่านประหลาดที่แล่นปราดจากปลายนิ้วไปสู่หัวใจ
เธอค่อยๆ ยกแผ่นหน้ากากทองคำนั้นขึ้น... แล้วทาบลงบนใบหน้าของตนเอง
ซู่!!!
ทันทีที่ทองคำสัมผัสผิวหน้า รินรดากรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากลำคอ
แผ่นทองคำไม่ได้แปะอยู่แค่ภายนอก มัน ละลาย กลายเป็นของเหลวสีทองหนืดร้อนระอุ ไหลซึมเข้าไปในรูขุมขน ซึมลึกผ่านชั้นหนังกำพร้า เข้าสู่เนื้อแดงๆ และกระดูก ความรู้สึกเหมือนมีเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงใบหน้า พร้อมกับความสุขสมที่รุนแรงจนน่ากลัว
ร่างกายของเธอบิดเกร็งลงไปกองกับพื้น ดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางความมืด กลิ่นดอกราตรีตลบอบอวลจนฉุนกึก
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้... ทุกอย่างสงบลง
รินรดาค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น เธอยังหอบหายใจถี่ รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่อัดแน่นอยู่เต็มอก เธอเดินโซเซไปที่กระจกเงาบานใหญ่ที่ตั้งพิงผนังอยู่
ในกระจกเงาที่สะท้อนแสงจันทร์รำไร...
หญิงสาวในกระจกคือรินรดาคนเดิม แต่ก็ไม่ใช่คนเดิม ผิวพรรณที่เคยหมองคล้ำกลับผุดผ่องเป็นยองใยราวกับมีแสงเรืองรองออกมาจากข้างใน ดวงตาที่เคยเศร้าสร้อยกลับหวานเชื่อมเยิ้มหยดย้อย ริมฝีปากแดงระเรื่อคลี่ออกเป็นรอยยิ้ม
รอยยิ้มที่ไม่ใช่ของรินรดา... แต่เป็นรอยยิ้มของนางพญาผู้กระหายเลือด
เงาสะท้อนในกระจกยกมือขึ้นลูบไล้แก้มของตัวเอง รินรดารู้สึกว่าปากของเธอขยับพูดออกมาเองโดยที่เธอไม่ได้ตั้งใจ
"งาม... งามสมใจข้าจริงๆ"
เสียงหัวเราะหวานใสที่ดังก้องกังวานในความมืด ทำให้หัวโขนยักษ์ที่วางอยู่บนชั้นหล่นลงมากระแทกพื้น แตกกระจาย!