อาทิตย์อับแสง (บทที่ 17) โดย มานัส

กระทู้สนทนา
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 17)




ข้อดีของวิสกี้ชั้นเยี่ยมคือ คนดื่มหนักมักไม่มีอาการ ‘แฮ้งค์’ อันแสนทรมาน เมื่อลืมตาตื่นในวันรุ่งขึ้น

เพียงแต่ว่า ความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะเมาพับหลับไป กลับเป็นสิ่งที่แสนยากที่จะจำได้ ให้พยายามนึก แต่แทบทุกอย่างก็เป็นเพียงภาพลางๆ วิ่งผ่านช้าๆ เลือนหายไป จนแยกไม่ออกว่าภาพไหนจริง ภาพไหนคือความฝัน

ภูเก็ตกระพริบตาปริบๆ อีกสองสามที ได้ยินเสียงแอร์ฝังผนังในห้องเดินเบาๆ ราวเสียงกระซิบที่อยู่ไกลห่างออกไป

ทว่าเสียงของบางคนก้องอยู่ในหัวไม่เว้นวาย จนเขาต้องเรียกหาด้วยความคุ้นเคย

“ระริน…”

ทว่าเพราะความคุ้นเคย ชายหนุ่มจึงรู้ว่าไม่ใช่

เสียงของระรินที่เขาจำฝังใจนั้นหวานจับจิตยิ่งนัก

แม้แต่เสียงเปียโนที่เธอเคยเล่นเป็นประจำเสมอ ก็ยังหวานจับหัวใจอยู่ไม่วาย

แต่เสียงที่ก้องอยู่ในเวลานี้นั้น อาจจะคล้าย เพียงเพราะความคุ้นเคยทำให้เขารู้ด้วยสำนึกว่าไม่ใช่ระริน

พลันชายหนุ่มกระดกตัวลุกนั่ง แต่เพราะความเร็วของการขยับ ทำให้หัวหมุนคว้างในสองสามนาทีแรก จนเจ้าตัวต้องจับขอบเตียงไว้แน่น

ความร้อนในร่างกายทำให้ต้องปลดกระดุมที่เหลือของเสื้อเชิ้ตทำงานสีอ่อนนั้นออก ถอดแล้วเขวี้ยงไปอีกทาง และพอมือของเขาแตะตรงขอกระดุมกางเกงสีเข้ม เจ้าตัวจึงถอนหายใจยาว…โล่งใจ ก่อนจะหันมองกลับไปด้านหลัง

อีกฟากของเตียงมีร่องรอยของใคร…

ระริน…

ไม่ใช่ซิ…เกษรา

ร่องรอยว่าเธอคนนั้นเข้ามา นั่ง และอาจจะ…นอน

แต่ก็เป็นร่อยรอยที่ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความรู้สึกบางอย่าง

อาจะเพราะ…ยินดี ที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

อาจเพราะ…คิด

นึกถึง…My Huckleberry Friend

เพียงแต่ว่าเสียงแจ้วท่องบทกลอนที่ยังแว่วอยู่ในความทรงจำ


เรื่อยๆ เฉื่อยวายุพัดแผ้ว
เหมือนเสียงแก้วกลอยจิตพิสมัย
หอมรวยๆ ชวยชื่นรื่นฤทัย
เหมือนใกล้ๆ เข้ามาแล้วแก้วพี่เอย


[“พระอภัยมณี” ประพันธ์โดยสุนทรภู่]




“โอย…”

เสียงร้องแหบแห้ง ไม่ใช่เพราะอาการมึนๆ เล็กน้อยจากพิษเหล้า แต่มันเป็นเพราะความสับสนในความคิดบางอย่าง ที่มากับความรู้สึก

ภูเก็ตรวบรวมกำลังทั้งหมดลุกขึ้น จัดแจงแอบน้ำดูแลตัวเองให้เรียบร้อย เมื่อเสร็จก็คว้าเสื้อคลุมผ้าขนหนูตัวหนามาสวม แล้วเดินออกมาด้านนอก

ผ้าม่านภายในบริเวณส่วนรับแขกของห้องนั้นเปิดสว่างจ้า มิได้เปิดแง้มเพียงครึ่งเหมือนเช่นเคยในเกือบทุกวัน จนผู้เป็นเจ้าของห้องต้องเดินไปปิดมันลงเหลือเพียงแสงสว่างร่ำไรที่ส่องผ่านเข้ามา

บริเวณโซฟาหน้าจอโทรทัศน์ใหญ่ไม่มีร่องรอยของการดื่ม แม้แต่ในครัวก็เช่นกัน

ราวว่าคนที่ทำความสะอาดตั้งใจลบหลักฐานทุกอย่างทิ้งให้หมด

สิ่งที่แปลกตาก็คงเป็นชุดสำรับอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว

ข้าวต้มปลาส่งกลิ่นหอมจากในหม้อใบกะทัดรัดที่วางอยู่ข้างชุดเครื่องเคียงปรุงรส

ภูเก็ตยืนนิ่งราวต้องมนต์สะกด

ความคุ้นเคยบางอย่างแวบเข้ามา

“ระ…”

เพียงแต่ว่าเสียงเรียกชื่อที่คุ้นเคยพลันถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ มือใหญ่คว้ากระดาษโน้ตที่วางทับอยู่ใต้กระจาดผลไม้

อย่าลืมคืนถ้วย ชาม และหม้อ และก่อนคืนก็กรุณาล้างให้สะอาดด้วย
เกษรา


การถอนหายใจของเขาราบเรียบ ไม่ได้บอกถึงความโล่งใจ หรือว่าผิดหวัง

คงไม่ต่างจากสีหน้าเรียบไร้ความรู้สึกใดๆ ของเขาเมื่อพับเก็บกระดาษแผ่นนั้นซุกใส่กระเป๋าของเสื้อคุม แล้วจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะกินข้าว ดวงตาแดงฉ่ำๆ หากนิ่งเฉยมองสำรับชุดชามแก้วใบหนาและช้อนที่ถูกวางเตรียมไว้พร้อมแก้วน้ำเปล่า

ในเวลานี้…พิษเหล้าทำให้เขากินอะไรไม่ลงนัก แต่ภูเก็ตก็ยังลองตักข้าวต้มปลาที่แม้ไม่ได้ร้อนกรุ่นแต่ก็อุ่นๆ ยังพอส่งกลิ่นหอม

รสชาติกลมกล่อมแตะลิ้นด้วยความคุ้นเคยจนเขาเลือกที่จะไม่ปรุงรสอะไรเลย

ความรู้สึกในร่างกายที่ยังคงอัดแน่นด้วยฤทธิ์เหล้า ทำให้ชายหนุ่มวางช้อนลงทั้งที่ข้าวต้มในถ้วยยังไม่หมด

ร่างสูงบังคับตัวเองให้เดินมาหน้าเปียโนไฟฟ้า และทิ้งตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง

การนั่งนิ่งนั้นเนิ่นนาน ไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัวไปไหน แม้ว่าเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์กั้นระหว่างครัวกับบริเวณที่กินข้าวจะดังขึ้นหลายที

ใคร…ที่โทรฯ เข้ามาอาจมีเรื่องด่วน

ช่างเถอะ…วันนี้วันเสาร์ ถ้าเป็นเรื่องงานก็คงต้องรอวันจันทร์

ส่วนเรื่องส่วนตัว เขาไม่มีอะไร หรือว่าใครที่สำคัญขนาดนั้น

ไม่เคยมีใครสำคัญ แม้กระทั่งตอนที่เขาเคยมี…ระริน





ภูเก็ตแตะนิ้วลงเบาๆ บนแป้นคีย์ ก่อนจะบรรจงไล่นิ้วไปตามโน๊ตที่จำได้ขึ้นใจ

เพลงที่เล่น สลับไปมาได้ไม่กี่เพียง ที่เล่นได้เพราะได้เรียนมาบ้างตั้งแต่ตอนสมัยเรียนไฮสกูล และมีระรินช่วยติวอีกแรง แต่ส่วนใหญ่เขามักจะให้เธอเล่นให้ฟังเสมอ

และแทบทุกครั้ง ใจ…ที่ร้อนรุ่ม ด้วยเป้าหมายแห่งความสำเร็จไม่ว่าจะในเรื่องเรียน หรือต่อมาเป็นเรื่องงานก็มักจะ…เย็นลง

การได้ฟังทำให้เขาหลงไปในห้วงความคิด

เมื่อคิด แล้วถ้าคิดไม่ตก ก็มักมีระรินเป็นที่ปรึกษา

เรื่องยาก หรือว่างานแสนยาก ระรินก็มักทำให้…ง่ายเสมอ




นิ้วเรียวหยุดนิ่งที่แป้นคีย์สีดำ เจ้าตัวพลางสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะผ่อนมันออกพร้อมกับเสียงออดหน้าประตูห้องที่ดังขึ้นและกดรัวไม่หยุดหย่อน บาดเข้าไปในหัวทำให้ยิ่งทำให้รู้สึกถึงการบีบแน่นมากกว่าเดิม

“โอ๊ย!”

ภูเก็ตสบถยาวเหยียดเสียงดัง เดินไปหน้าประตูห้อง พร้อมกระชากเปิด

“เดี๋ยวเอาไปคืนน่า ไม่ต้องมาทวง…” เสียงห้วนดังหยุดเงียบทันที เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนไม่ใช่เกษราอย่างที่เขาคิดไว้ หากเป็น “เชอร์รี่…”

“จะไม่คิดติดต่อหาฉันเลยใช่ไหม” การทักทายของหญิงสาวที่มาเยือนนั้นด้วยเสียงแหลมที่คนฟังแสนระคายหู “โทรฯ หากี่ครั้งก็ไม่รับสาย หรือว่ามีอีคนไหนมานอนกกเป็นเพื่อน”

“มาทำไม” ภูเก็ตถามคิ้วขมวด โดยไม่สนใจที่จะตอบข้อข้องใจของอีกฝ่าย

“หรือว่าฉันมาหาไม่ได้” ชินนภาตระคอก แล้วดันตัวเองเข้ามาในห้อง

“ก็เห็นหายๆ ไป” คำบอกอ่อนล้า พร้อมกับที่เจ้าตัวปิดประตูห้องเบาๆ แล้วเดินตามร่างผู้มาเยือนไปยังบริเวณส่วนห้องนั่งเล่น

“ฉันแค่ไปเที่ยวยุโรปสามอาทิตย์ แต่คุณน่ะซิหายไป โทรฯ มาก็ไม่เคยรับสาย หรือว่าไปติดอีคนไหนอีกล่ะ” หญิงสาวกวาดสายตาไปรอบๆ ห้อง พยายามหาสิ่งผิดปรกติ

เพราะอย่างน้อย…ชายหนุ่มตรงหน้าก็มีท่าที ผิดปรกติ

เมื่อก่อน เขามักติดต่อโทรฯ หาเอาใจ

ตลอดเวลาปีกว่าที่คบกัน ต่อให้โกรธ ลั่นวาจาว่า เลิก หรือไม่ขอติดต่อ แต่เขาก็ใจอ่อนทุกครั้ง

หรือต่อให้คนเจ้าชู้ไปติด เด็ก ที่ไหน แต่เขาก็แค่ลอง…แล้วก็…ลา เพื่อกลับมาหาเธอทุกครั้ง

ชินนภาย่อมรู้ ภูเก็ตยังต้องพึ่งเงินฝากและเครือข่ายของครอบครัวเธอ และอีกทั้ง…

ร่างของหญิงสาวในเสื้อสีขาวตัวบางปล่อยชายพลิ้ว และกางเกงลายขาวดำรัดรูป ขยับใกล้เบียดชิดกับเขา มือแตะเบาๆ บนแผ่นอกหนารอยแหวกของเสื้อคลุมขนหนูสีขาวที่เขามักใส่ประจำ ก่อนมืออีกข้างจะแตะเบาๆ ที่แนวคางที่มีไรเคราบางเพราะเจ้าตัวไม่ได้โกน แล้วโอบแขนทั้งสองขึ้นเพื่อโน้มคอเขาลงมา

เสน่ห์ของเธอมัดเขาได้เสมอ

เพียงแต่ว่าวันนี้

“ไม่เอาน่าเชอร์รี่”

คนที่มัก พ่ายแพ้ เพราะการยั่วยวนบอกเช่นนั้น แล้วก้าวถอยออกห่าง

“ทำไม? หรือว่าหมดแรงเพราะอีตัวที่นอนกกด้วยเมื่อคืน” ชินนภาถามหยันๆ มองคนที่ยืนนิ่งตาแข็งหากดูฉ่ำ

หญิงสาวเสยะยิ้มรู้ทัน ถ้าไม่เพราะฤทธิ์เหล้า ก็เพราะฤทธิ์…รัก

“อีนั่นมันเป็นใคร” เธอคาดคั้น ก่อนสายตาจะเบืองมองไปด้านหลังของอีกฝ่าย “เดี๋ยวนี้ทำอาหารให้มันกินด้วยเหรอ พิเศษขนาดนั้นเชียว แล้วนี่มันไปไหน อยู่ไหน”

ว่าแล้วหญิงสาวก็เดินพล่านไปทั่ว เข้าห้องโน้นออกห้องนี้อยู่ครู่ใหญ่ หากว่าไม่มีร่องรอยใดๆ ของใครคนอื่น

“มันกลับไปแล้วใช่ไหม” แววตาวาววับจ้องจับผิดคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า

“คุณกลับไปก่อนดีกว่าเชอร์รี่” ทว่าเขากลับกล่าวเรียบๆ เช่นนั้น “ไว้สงบสติอารมณ์แล้วเราค่อยมาคุยกัน”

“ไม่กลับ”

“ผมขอร้องล่ะ เอาไว้วันหลังได้ไหม”

อีกครั้งที่เขาอ้อนวอนขอร้อง และอีกครั้งที่หญิงสาวไม่สนใจคำขอร้องนั่น เธอผลักร่างของเขาออก แล้วพลันปัดจานชามที่วางเรียนเรียบร้อยบนโต๊ะกินข้าวลงกระจัดกระจาย

“เชอร์รี่! เลิกบ้าเสียที!” ชายหนุ่มแผดเสียงลั่นอย่างมีโทสะ ดวงตาคมแข็งกร้าวเย็นชา ทว่าประโยคต่อไปอ่อนล้า “มันจะมีประโยชน์อะไร สิ่งที่คุณทำมันไม่ได้ทำให้ผมรักคุณ แต่กลับจะรังเกียจเสียด้วยซ้ำ”

“คุณรังเกียจเหรอ? ผู้ชายอย่างคุณรังเกียจฉัน?”

“ผมไม่ใช่คนดีนัก แต่ผมก็เคยคิดจะรักคุณ พยายาม…แต่ตอนนี้ ไม่แล้ว เราคงไปด้วยกันไม่ได้ อย่าฝืนเลย” ร่างสูงในเสื้อคุมผ้าขนหนูสีขาวเดินไปเปิดประตูห้อง ดวงหน้าของเขาเรียบเฉยเมื่อบอก “พอกันที”

ชายหนุ่มยืนนิ่ง…สงบ ทั้งกายและสติอารมณ์ รอ…ภายใต้ความเงียบอันเนิ่นนานที่คล้ายจะวัดใจคนทั้งสอง

จนกระทั่งเห็นจากหางตาว่าชินนภาคว้ากระเป๋าราคาแพงของเธอ เขาจึงลอบถอนหายใจเบาๆ และพลันกลั้นหายใจเมื่อหญิงสาวผู้ไม่เป็นที่ปรารถนาเดินผ่านออกไปอย่างเร็ว

“จำไว้นะ ฉันเป็นคนบอกเลิกกับแก” เสียงตวาดแผดลั่นราวย้ำเพื่อให้เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย “ไอ้ผู้ชายเจ้าชู้ สารเลว”

“ครับ” การรับคำนิ่ง คล้ายๆ กับมือใหญ่แข็งแรงที่ปิดประตูห้องอย่างแผ่วเบา

มันจบแบบนี้…ไม่สวยนัก

ไม่สวยเลย…

และการจบแบบนี้กับคนอย่างชินนภาคงไม่แคล้วมีเรื่องปวดหัวที่เขาต้องเผชิญที่ออฟฟิศวันจันทร์นี้แน่ๆ

ถ้าชินนภาและครอบครัวไม่หาเรื่องรายงานเขา ก็คงต้องมีการถอนเงินออก หรือไม่ก็คงมีการข่มขู่อะไรสักอย่าง

‘แฟนแกน่ากลัวว่ะ คิดดีแล้วหรือ’ เพื่อนสนิทและเพื่อนร่วมงานอย่างสาธิณีเคยเตือน

เพียงแต่ว่าภูเก็ตไม่ฟัง เขาคิด แค่เล่นๆ ไม่จริงจัง

ผู้หญิงที่มาง่ายอย่างชินนภา ก็คงต้องไปง่ายๆ ได้เช่นกัน







(ต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่