อาทิตย์อับแสง (บทที่ 37)
และแม้จะรู้เช่นเห็นแจ้งอย่างนั้น แต่ใจของเขาก็อดคิดไม่ได้
อดไม่ได้ที่จะคิดถึง
อยากแม้เพียงได้เห็น ก็…ในเมื่ออยู่ใกล้กันแค่นี้
มือใหญ่กำถุงกระดาษใบงามแน่นจนเห็นเป็นนูนเส้นเลือด
เครื่องชุดเบญจรงค์ราคาเหยียบหมื่น ที่เขาเสาะหามาให้ กัดฟันซื้อ เพื่อทดแทนเซ็ทเก่าของเกษราที่ชินนภาอาละวาดทำแตกไปเมื่อหลายเดือนก่อนนั้นถูกห่ออย่างดี
ภูเก็ตตั้งใจเพียงว่าเอามาคืนตามคำมั่นสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับเกษรา
ไม่คิดจะแกล้ง ไม่คิดจะเอาเปรียบ
คิด…เพียงแต่ว่า ไม่อยากให้เกษรามองเขา…ไม่ดีมากเกินไปกว่านี้
มือของเขาก็สั่นเล็กน้อยเมื่อกดลิฟต์เรียกชั้น 31
ภูเก็ตอยากจะคิด…พยายามคิดหรอกว่าเขาต้องทำ เพราะคำสัญญา
เพราะข้อผูกมัดภาระที่เขาต้องชดเชย
แต่เขาย่อมรู้…เขามาก็เพื่อต้องการเจอ ทำตามคำสัญญาเพียงเพื่อให้เกษราเห็นใจ และใจอ่อน
ทว่าทำไม…ต้องพยายามขนาดนี้ ต้องทำแบบนี้
ทั้งๆ ที่มันควรจบกันไม่ใช่หรือ เพราะหญิงสาวเองก็ต้องการเช่นนั้น
คืนนั้นกับเกษรา ก็ควรเป็นเหมือนแต่ละคืนที่เขาใช้กับผู้หญิงคนอื่น ทุกวินาทีที่อยู่กับเกษราก็ไม่ควรต่างกับที่เขาเคยเสียเวลาอยู่กับผู้หญิงอีกนับสิบคน
มันควรจะเป็นความใคร่ที่จางหายไปพร้อมกับความสมหวังดั่งต้องการ
ควรเป็นการคลายเหงา เหมือนเช่นผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขามักใช้แก้เหงา และเขาเองก็เป็นแค่เพื่อนคลายเหงาของเธอเช่นกันไม่ใช่หรือ เพราะเกษราก็ยืนยันเช่นนั้น
‘ฉัน…ไม่ได้รักคุณด้วย คืนนั้นฉันอาจจะเหงา อาจจะแค่ต้องการใครสักคนแล้วคุณก็อยู่ตรงนั้นพอดี…’
มันควรจบเท่านั้น
เพียงแต่ว่า
…นานแล้วที่ภูเก็ตไม่เคยรู้สึกอาวรณ์เช่นนี้…นานเท่ากับช่วงเวลาที่เขาไม่มีระรินในชีวิตเลยทีเดียว
‘ถ้าหนูปีบต้องการเช่นนั้น ผมก็คงไม่ไม่มีทางเลือกอื่นใช่ไหม’
ในวันนี้เขามีทางเลือก ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนให้เลือก
รูป…เป็นทรัพย์ทำให้เขามีคนเข้ามาไม่เว้นวาย แต่ในวันนี้เขาเลือกที่จะมาหาเกษรา
มา…ตามคำมั่นสัญญา คืนสิ่งของที่เป็นของเกษรา
ชายหนุ่มหยุดกึกหน้าบานประตูใหญ่ที่แสนคุ้นเคย
ห้าวันมาแล้วหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้าย แต่แปลกที่แขนของเขายังซึมซับไออุ่นบางอย่างไม่เว้นวาย
แล้วยังกรุ่นกลิ่นหอมนั่นเล่า แตะติดจมูกจนเป็นความเคยชินเสียแล้วหรือ
แล้วยังเสียงเจื้อยแจ้วที่มักเอ่ยคำตัดเยื่อให้ขาดใย
…หนูปีบ…
‘ถ้าหนูปีบต้องการเช่นนั้น ผมก็คงไม่ไม่มีทางเลือกอื่นใช่ไหม’
ภูเก็ตไม่มีทางเลือก แต่ตราบในที่เขายังมีหนทาง เขาก็มักหาทางออกได้เสมอ และเส้นทางนี้ก็พาเขามาอยู่ห่างเพียงฟากประตูกั้นเช่นเคย
เขาเลือกที่จะกดออดเบาๆ เพียงสองครั้ง โดยที่ไม่หวังว่าประตูจะเปิด
เกษราอาจจะไม่อยู่ หรืออาจจะเลือกที่ไม่เปิดต้อนรับเขาก็เป็นได้ เมื่อคิดเช่นนั้น ภูเก็ตจึงตัดสินใจหันกลับ ทว่าเสียงประตูกุกกักดังขึ้นทำให้เขาพลันไม่กล้าแม้จะขยับตัว
จนกระทั่งประตูบานใหญ่ถูกเปิด เสียงที่ต้อนรับ ไม่เชิงทำให้ผิดหวัง แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้
“คุณณณณภู!” พีทซี่ทักทายด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่ก็ไม่อาจกลบเสียงเปียโนที่แวว่มาจากด้านใน “อูย…คิดถึงแทบแย่ เป็นห่วงด้วยแต่ก็สบายใจนะที่ทั้งคุณธิและเกดบอกว่าคุณภูเคลียร์ตัวเองได้”
“ก็ต้องขอบคุณคุณพีทซี่ด้วยครับ ที่เชื่อมั่นในตัวผม เป็นกำลังใจ แถมช่วยเหลือด้านเอกสาร”
“อุ๊ย! ไม่เป็นไรหรอกคร่า พีทซี่ยินดีช่วยเสมอ คุณภูเองก็ไม่ผิด แต่ไอ้ณัฐโรคจิตนั่นน่ะซิ” การย่นจมูกเบ้หน้าบ่งบอกความรังเกียจชัดเจน “นี่พีทซี่น่ะไม่อยากให้เกดยอมความเลยค่ะ แต่รายนั้นเขาไม่อยากให้เป็นข่าวนานไปกว่านี้ ยังดีนะคะที่ไอ้บ้านั่นไม่รอดเรื่องปลอมแปลงลายเซ็น ปลอมเอกสาร แถมได้ข่าวว่าผู้เสียหายคนอื่นๆ ก็ไม่ยอมเหมือนกัน แอลทัสยอมไหมคะ”
“ผมไม่ทราบครับ ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของธนาคาร ส่วนผู้เสียหายคนอื่นๆ ก็ต้องดูว่าทางแอลทสเองจะตกลงยังไงด้วย”
“แล้วคุณภูก็ไม่ยอมใช่ไหมคะ ทั้งกับแอลทัสและไอ้ณัฐ”
“ครับ” รอยยิ้มอ่อนๆ ประดับบนใบหน้าเคร่งขรึมของคนที่มีหลายเรื่องให้คิด
“ดีแล้วค่ะ ดีมาก ไอ้คนแบบไอ้ณัฐเนี่ย…ยอมไม่ได้! ต้องจัดการเสียให้เช็ด จะได้ไม่ก่อเวรก่อกรรมอีก ถ้าเกดคิดได้แบบคุณภูก็ดี” พีทซี่ถอนหายใจยาวอย่างระอา “พีทซี่ก็ไม่อยากให้เกดเป็นเรื่อง แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว…แหม…มันน่านัก อุ๊ย…มัวแต่ชวนคุณภูคุยเพลิน เชิญเข้ามาก่อนซิคะ” ประโยคหลังอุทานเบาพร้อมเสียงหัวเราะคิก ก่อนที่เธอจะขยับเปิดประตูออกกว้าง ทำเสียงตื่นเต้น “เกดกำลังซ้อมเปียโนอยู่ พรุ่งนี้มีออกรายการทีวีเพื่อโปรโมตละครที่กำลังออนแอร์ค่ะ นี่ถ้าคุณภูเก็ตว่าง ไปดูเขาอัดรายการกันไหมคะ ไปเป็นกำลังใจให้เกดด้วย”
“จะดีเหรอครับ” ภูเก็ตเสียงอ่อนเพราะความไม่แน่ใจ ทั้งๆ ที่ใจอยากไปอยู่หรอก
“ดีซิคะ ทำไมจะไม่ดี ทั้งครูโรส ทั้งคุณภู อูย…เกดคงดีใจแย่” พีทซี่ยืนยัน พร้อมกับเสียงเปียโนที่แว่วขึ้นมาเป็นทำนองคุ้นเคยอีกครั้ง “ส่วนคุณภูน่ะ ก็เคยทั้งเล่นให้ฟัง ทั้งติ ทั้งสอนเกดบ้างประปราย”
“เพื่อนของคุณพีทซี่ก็มีครูเก่งอยู่แล้ว ผมจะไปสอนอะไรได้”
“โถ…อย่างน้อยคุณภูก็เป็นแรงบันดาลใจ พูดถึงครูเปียโน…แหม…พอดีเลยค่ะ เข้ามาซิคะคุณภู พีทซี่พาไปแนะนำ นี่ครูโรสกำลังติวเข้มเกดอยู่พอดี”
คนพูดไม่เพียงชักชวน แต่ยังจูงมืออีกฝ่ายเข้ามาด้านใน เพียงแต่ว่าเสียงเปียโนที่กังวาลขึ้นในทุกย่างก้าวที่เขาเดิน ทำให้ภูเก็ตชะงัก
วิธีการเล่น การลงโน็ต แล้วยังท่วงทำนองเสนาะ อ้อยอิ่งแฝงด้วยความหวัง และความฝันแบบนี้
We're after the same rainbows end
Waitin' 'round the bend
My Huckleberry Friend…
[Moon River” คำร้องโดย Johnny Mercer]
เขาไม่ได้ยินมากี่ปีแล้วหนอ
นานเท่าไรแล้วที่ท่วงทำนอนนี้ขาดหายไปจากชีวิต
เปียโนที่เล่น เสียงของเครื่องเปียโนอาจจะทุ้ม ไม่อ่อนหวานเฉดเช่นเครื่องเปียโนที่ชินหู แต่คนที่เล่นอยู่ในตอนนี้ก็ทำให้ทุกจังหวะ ทุกท่วงทำนองคุ้นเคย ราวว่าในความเป็นจริงแล้ว คนที่เคยบรรเลงเช่นนี้มิได้หนีหายจากไปไหน
“มาซิคะคุณภู ไม่เป็นไรหรอก”
แต่ภูเก็ตไม่ได้ยินเสียงนั่น การก้าวของเขา…ช้า ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ แต่ก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าเพราะความทรงจำที่ไม่เคยจางจากหัวใจทั้งผลัก ทั้งดัน
หัวใจเต้นแรง แต่ว่าชายหนุ่มกลับหายใจไม่คล่อง
เสียงเปียโนดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความทรงจำในอดีตที่ประดังเข้ามา
‘หมิงลงน้ำหนักนิ้วมากไปอีกแล้ว’ เสียงหวานก้องไม่วาย ไม่ต่างจากเสียงเปียโนที่เธอเล่นให้ได้ยินเป็นประจำทุกวัน
แล้วยังมือที่แตะอย่างละมุนบนมือของเขา บางคราจับ…ให้ความรู้สึก ให้ไออุ่นที่เขาถวิลหาอยู่เสมอ
‘ท่อนนี้เล่นเบาๆ เล่นด้วยความรู้สึกมันจะทำให้อ่อนหวานลึกซึ้ง’
เธอสอน แนะนำ แต่ไม่เคยบังคับ ภูเก็ตก็มักทำตาม พอเล่นได้…อ่อนเบา แต่ก็ไม่นุ่มนวลละมุนละไมเท่าครึ่งของความอ่อนและความหวานซึ้งที่เธอเล่น จนในที่สุดภูเก็ตมักยอมแพ้
‘ระรินเล่นให้ผมฟังดีกว่านะจ๊ะ’ รอยยิ้มมักประจบ
เขาฟังเธอบรรเลง บางทีระรินก็ร้องคลอ เสียงหวานแจ้วไม่แพ้เปียโนราคาแพง และภูเก็ตก็มักตั้งใจฟังเสมอ ไม่ว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน หูของเขาก็ยังได้ยิน
หลายคราที่ชายหนุ่มเอนนอนที่โซฟาด้านหลังของเปียโน ฟังเธอเล่นแล้วเขาก็เผลอหลับไป โดยที่ทั้งเสียงเปียโนและเสียงระรินยังแว่วเข้ามาในห้วงความฝัน
และเขามักจะตื่นขึ้นมา ถ้าไม่เพราะร่างเล็กที่เข้ามาแอบซุกในอ้อมแขน ก็เพราะเสียงใสๆ ปลุกเขาให้ลุกขึ้นตื่น
ชีวิตในห้วงของความสุขล้ำลึก ทำให้เขาคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นไปชั่วชีวิต เพียงแต่ว่า…ใครจะคิด วาสนาของเรามีเท่านั้น
ภูเก็ตมองภาพตรงหน้าเต็มตา ดวงตาคู่นั้นร้อนรุ่ม ลำคอตีบตันไปหมด หัวใจเต้นแรง
ตกใจ
ไม่คาดคิด
เพราะใครจะคิด!
และต่อให้เขาเห็นหน้าไม่ชัดเพราะเธอผู้นั้นหันข้าง
แต่ท่วงท่าของหญิงสาวที่กำลังบรรเลงทำนองเสนาะหน้าเปียโนใหญ่
ท่วงท่าเช่นนี้ ให้ผ่านมากี่ปีเขาก็ไม่เคยลืม
เหมือนเช่นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ
ภูเก็ตไม่สนใจใครคนอื่น
ไม่สนแม้รู้สึกหัวหมุน โลกหมุนจนเขาเซตัวเพียงเล็กน้อย
ไม่สนแม้เสียงสะอื้นเบาๆ ในลำคอของตัวเอง
มือที่สั่น ใจที่สั่น และนัยน์ตาที่สั่นสะท้าน ช่างไม่แตกต่างจากขาสั่นที่กำลังก้าวเข้าไปสองสามก้าว แล้วหยุดกึก
“ระริน…” เสียงแหบแทบไม่เป็นคำ เรียกออกมา หรือว่าเรียกเพียงในใจก็สุดรู้ “ระริน…ระริน!”
เหมือนว่าเสียงของเขาจะดังขึ้นเรื่อยๆ
และเหมือนคนที่บรรเลงเล่นเพลงไพเราะจะได้ยิน เพราะนิ้วเรียวที่ไล่ไปตามแป้นทอดช้าลงเรื่อยๆ จนหยุดพลัน
ราวว่าหัวใจจะหยุดเต้นไปพร้อมกัน
“ระริน!”
เมื่อนั้น โลกทั้งโลกเงียบสงัด ภูเก็ตยืนนิ่ง ราวชั่งใจ เห็นชัดว่า…ผู้หญิงคนนั้นไม่แม้แต่จะหันมา
ความสนใจของเขาจับอยู่เพียงที่เธอคนเดียวเท่านั้น ไม่สนใจร่างเล็กอีกร่างที่ผวาขึ้นมาทั้งตัว เขาไม่มองผู้หญิงที่นั่งอยู่บนม้านั่งข้างๆ อีกตัว
ไม่สนใจว่าเธอจะหันขวับมาโดยเร็ว ดวงตาเบิกขว้าง เขาไม่คิดจะสังเกตหรอกว่าเกษราจะมีท่าทีอย่างไร
ไม่แม้แต่จะหันมากพีทซี่ที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง ไม่สนใจความถามเบาๆ ของเธอ
“ระริน” เสียงมิใช่คำถาม แต่เป็นการยืนยัน แน่ใจนักว่า…ใช่!
ผู้หญิงที่เขารู้จัก และรู้ที่จะรักมาเกือบทั้งชีวิตของเขา ทำไมเขาจะจำไม่ได้
ภูเก็ตสาวเท้าเข้าไปเพียงก้าวเดียวสั้นๆ พร้อมๆ กับที่เธอคนนั้นลุกขึ้นพรวด เมื่อนั้นเขาจึงทิ้งถุงกระดาษที่ถือในมือลงทันที แล้วปรี่เข้าไปคว้าร่างนั้นไว้เข้ามาในอ้อมกอด…อีกครั้ง
ไม่ไยดีกับอาการเกร็งไปทั้งตัวของเธอ
ไม่ไยดีกับใครอื่นทั้งโลก
อ้อมแขนของเขารัดแน่นขึ้น นิ่งอยู่นาน จนในที่สุดรับรู้ว่าร่างเล็กบอบบางกว่าที่เขาจำได้มากนักนั้นค่อยๆ โอนอ่อนทิ้งร่างไว้ในอ้อมกอดของเขาอย่างสนิทใจนัก
ความเงียบยังคงปกคลุมเนิ่นนาน จนในที่สุดพีทซี่ที่คลายอาการตกใจได้เป็นคนแรก ถามเสียงสั่น
“นี่มันอะไรกันคะ ครูโรส คุณภู …” สายตามองสลับระหว่างคนสองคนกับเกษราที่หน้าขาวซีด แล้วลุกขึ้นถอยห่างออกไปเพียงนิดเดียว พอที่จะจับขอบเปียโนด้านบนไว้เพื่อพยุงตัว
เพียงแต่ว่าไม่มีคำตอบจากคนคู่นั้น พีทซี่เห็นเพียงศีรษะของ…ครูโรส…ที่ซบนิ่งกับแผ่นอกกว้างของภูเก็ต และเมื่อนั้นเธอจึงเดินจ้ำเข้าไปหาเกษรา
“เกด…”
คนเรียกกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง เห็นนางเอกสาวจ้องภาพตรงหน้าราวว่าเป็นสิ่งที่ช่างบาดใจเธอยิ่งนัก
ภาพ…ของภูเก็ตกอดครูโรสแน่น ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมด
ดวงตาของเขาปิดแน่น ราวไม่อยากลืมตาขึ้นเพราะกลัวว่าทุกอย่างจะจางหายไปไม่ต่างจากความฝัน
แล้วยังเสียงพร่า…ระริน
ก่อนที่ดวงตาที่ปิดสนิทของชายหนุ่มจะปรากฏหยดน้ำใสที่ซึมออกมา หากก็เพียงหยดเดียวเท่านั้น
แต่นั่นยังไม่ทำให้พีทซี่ตกใจเท่าตอนเอื้อมไปกุมมือเพื่อน… “เกด”
ความเย็นเฉียบจากมือเกษรา ราวว่ามันแผ่กระจายไปทั่วร่าง ดวงหน้าสวยของนางเอกสาวซีดเผือก
อาการนี้ทำให้พีทซี่สงสารจับใจ แต่อีกใจอยากจะตะโกนว่า…ปากแข็งดีนัก
ถ้าเป็นเวลาอื่น เธอคงค่อนเช่นนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้พีทซี่ทำได้เพียงกึ่งจูง กึ่งประคองเพื่อนรักให้ถอยห่างออกมา หันเดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้สองคนข้างนอก จมอยู่กับความหวัง ความฝัน และความทรงจำของอดีต
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 37) โดย มานัส
และแม้จะรู้เช่นเห็นแจ้งอย่างนั้น แต่ใจของเขาก็อดคิดไม่ได้
อดไม่ได้ที่จะคิดถึง
อยากแม้เพียงได้เห็น ก็…ในเมื่ออยู่ใกล้กันแค่นี้
มือใหญ่กำถุงกระดาษใบงามแน่นจนเห็นเป็นนูนเส้นเลือด
เครื่องชุดเบญจรงค์ราคาเหยียบหมื่น ที่เขาเสาะหามาให้ กัดฟันซื้อ เพื่อทดแทนเซ็ทเก่าของเกษราที่ชินนภาอาละวาดทำแตกไปเมื่อหลายเดือนก่อนนั้นถูกห่ออย่างดี
ภูเก็ตตั้งใจเพียงว่าเอามาคืนตามคำมั่นสัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับเกษรา
ไม่คิดจะแกล้ง ไม่คิดจะเอาเปรียบ
คิด…เพียงแต่ว่า ไม่อยากให้เกษรามองเขา…ไม่ดีมากเกินไปกว่านี้
มือของเขาก็สั่นเล็กน้อยเมื่อกดลิฟต์เรียกชั้น 31
ภูเก็ตอยากจะคิด…พยายามคิดหรอกว่าเขาต้องทำ เพราะคำสัญญา
เพราะข้อผูกมัดภาระที่เขาต้องชดเชย
แต่เขาย่อมรู้…เขามาก็เพื่อต้องการเจอ ทำตามคำสัญญาเพียงเพื่อให้เกษราเห็นใจ และใจอ่อน
ทว่าทำไม…ต้องพยายามขนาดนี้ ต้องทำแบบนี้
ทั้งๆ ที่มันควรจบกันไม่ใช่หรือ เพราะหญิงสาวเองก็ต้องการเช่นนั้น
คืนนั้นกับเกษรา ก็ควรเป็นเหมือนแต่ละคืนที่เขาใช้กับผู้หญิงคนอื่น ทุกวินาทีที่อยู่กับเกษราก็ไม่ควรต่างกับที่เขาเคยเสียเวลาอยู่กับผู้หญิงอีกนับสิบคน
มันควรจะเป็นความใคร่ที่จางหายไปพร้อมกับความสมหวังดั่งต้องการ
ควรเป็นการคลายเหงา เหมือนเช่นผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เขามักใช้แก้เหงา และเขาเองก็เป็นแค่เพื่อนคลายเหงาของเธอเช่นกันไม่ใช่หรือ เพราะเกษราก็ยืนยันเช่นนั้น
‘ฉัน…ไม่ได้รักคุณด้วย คืนนั้นฉันอาจจะเหงา อาจจะแค่ต้องการใครสักคนแล้วคุณก็อยู่ตรงนั้นพอดี…’
มันควรจบเท่านั้น
เพียงแต่ว่า
…นานแล้วที่ภูเก็ตไม่เคยรู้สึกอาวรณ์เช่นนี้…นานเท่ากับช่วงเวลาที่เขาไม่มีระรินในชีวิตเลยทีเดียว
‘ถ้าหนูปีบต้องการเช่นนั้น ผมก็คงไม่ไม่มีทางเลือกอื่นใช่ไหม’
ในวันนี้เขามีทางเลือก ยังมีผู้หญิงอีกหลายคนให้เลือก
รูป…เป็นทรัพย์ทำให้เขามีคนเข้ามาไม่เว้นวาย แต่ในวันนี้เขาเลือกที่จะมาหาเกษรา
มา…ตามคำมั่นสัญญา คืนสิ่งของที่เป็นของเกษรา
ชายหนุ่มหยุดกึกหน้าบานประตูใหญ่ที่แสนคุ้นเคย
ห้าวันมาแล้วหลังจากที่เจอกันครั้งสุดท้าย แต่แปลกที่แขนของเขายังซึมซับไออุ่นบางอย่างไม่เว้นวาย
แล้วยังกรุ่นกลิ่นหอมนั่นเล่า แตะติดจมูกจนเป็นความเคยชินเสียแล้วหรือ
แล้วยังเสียงเจื้อยแจ้วที่มักเอ่ยคำตัดเยื่อให้ขาดใย
…หนูปีบ…
‘ถ้าหนูปีบต้องการเช่นนั้น ผมก็คงไม่ไม่มีทางเลือกอื่นใช่ไหม’
ภูเก็ตไม่มีทางเลือก แต่ตราบในที่เขายังมีหนทาง เขาก็มักหาทางออกได้เสมอ และเส้นทางนี้ก็พาเขามาอยู่ห่างเพียงฟากประตูกั้นเช่นเคย
เขาเลือกที่จะกดออดเบาๆ เพียงสองครั้ง โดยที่ไม่หวังว่าประตูจะเปิด
เกษราอาจจะไม่อยู่ หรืออาจจะเลือกที่ไม่เปิดต้อนรับเขาก็เป็นได้ เมื่อคิดเช่นนั้น ภูเก็ตจึงตัดสินใจหันกลับ ทว่าเสียงประตูกุกกักดังขึ้นทำให้เขาพลันไม่กล้าแม้จะขยับตัว
จนกระทั่งประตูบานใหญ่ถูกเปิด เสียงที่ต้อนรับ ไม่เชิงทำให้ผิดหวัง แต่ก็ทำให้เขายิ้มได้
“คุณณณณภู!” พีทซี่ทักทายด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่ก็ไม่อาจกลบเสียงเปียโนที่แวว่มาจากด้านใน “อูย…คิดถึงแทบแย่ เป็นห่วงด้วยแต่ก็สบายใจนะที่ทั้งคุณธิและเกดบอกว่าคุณภูเคลียร์ตัวเองได้”
“ก็ต้องขอบคุณคุณพีทซี่ด้วยครับ ที่เชื่อมั่นในตัวผม เป็นกำลังใจ แถมช่วยเหลือด้านเอกสาร”
“อุ๊ย! ไม่เป็นไรหรอกคร่า พีทซี่ยินดีช่วยเสมอ คุณภูเองก็ไม่ผิด แต่ไอ้ณัฐโรคจิตนั่นน่ะซิ” การย่นจมูกเบ้หน้าบ่งบอกความรังเกียจชัดเจน “นี่พีทซี่น่ะไม่อยากให้เกดยอมความเลยค่ะ แต่รายนั้นเขาไม่อยากให้เป็นข่าวนานไปกว่านี้ ยังดีนะคะที่ไอ้บ้านั่นไม่รอดเรื่องปลอมแปลงลายเซ็น ปลอมเอกสาร แถมได้ข่าวว่าผู้เสียหายคนอื่นๆ ก็ไม่ยอมเหมือนกัน แอลทัสยอมไหมคะ”
“ผมไม่ทราบครับ ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของธนาคาร ส่วนผู้เสียหายคนอื่นๆ ก็ต้องดูว่าทางแอลทสเองจะตกลงยังไงด้วย”
“แล้วคุณภูก็ไม่ยอมใช่ไหมคะ ทั้งกับแอลทัสและไอ้ณัฐ”
“ครับ” รอยยิ้มอ่อนๆ ประดับบนใบหน้าเคร่งขรึมของคนที่มีหลายเรื่องให้คิด
“ดีแล้วค่ะ ดีมาก ไอ้คนแบบไอ้ณัฐเนี่ย…ยอมไม่ได้! ต้องจัดการเสียให้เช็ด จะได้ไม่ก่อเวรก่อกรรมอีก ถ้าเกดคิดได้แบบคุณภูก็ดี” พีทซี่ถอนหายใจยาวอย่างระอา “พีทซี่ก็ไม่อยากให้เกดเป็นเรื่อง แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว…แหม…มันน่านัก อุ๊ย…มัวแต่ชวนคุณภูคุยเพลิน เชิญเข้ามาก่อนซิคะ” ประโยคหลังอุทานเบาพร้อมเสียงหัวเราะคิก ก่อนที่เธอจะขยับเปิดประตูออกกว้าง ทำเสียงตื่นเต้น “เกดกำลังซ้อมเปียโนอยู่ พรุ่งนี้มีออกรายการทีวีเพื่อโปรโมตละครที่กำลังออนแอร์ค่ะ นี่ถ้าคุณภูเก็ตว่าง ไปดูเขาอัดรายการกันไหมคะ ไปเป็นกำลังใจให้เกดด้วย”
“จะดีเหรอครับ” ภูเก็ตเสียงอ่อนเพราะความไม่แน่ใจ ทั้งๆ ที่ใจอยากไปอยู่หรอก
“ดีซิคะ ทำไมจะไม่ดี ทั้งครูโรส ทั้งคุณภู อูย…เกดคงดีใจแย่” พีทซี่ยืนยัน พร้อมกับเสียงเปียโนที่แว่วขึ้นมาเป็นทำนองคุ้นเคยอีกครั้ง “ส่วนคุณภูน่ะ ก็เคยทั้งเล่นให้ฟัง ทั้งติ ทั้งสอนเกดบ้างประปราย”
“เพื่อนของคุณพีทซี่ก็มีครูเก่งอยู่แล้ว ผมจะไปสอนอะไรได้”
“โถ…อย่างน้อยคุณภูก็เป็นแรงบันดาลใจ พูดถึงครูเปียโน…แหม…พอดีเลยค่ะ เข้ามาซิคะคุณภู พีทซี่พาไปแนะนำ นี่ครูโรสกำลังติวเข้มเกดอยู่พอดี”
คนพูดไม่เพียงชักชวน แต่ยังจูงมืออีกฝ่ายเข้ามาด้านใน เพียงแต่ว่าเสียงเปียโนที่กังวาลขึ้นในทุกย่างก้าวที่เขาเดิน ทำให้ภูเก็ตชะงัก
วิธีการเล่น การลงโน็ต แล้วยังท่วงทำนองเสนาะ อ้อยอิ่งแฝงด้วยความหวัง และความฝันแบบนี้
We're after the same rainbows end
Waitin' 'round the bend
My Huckleberry Friend…
[Moon River” คำร้องโดย Johnny Mercer]
เขาไม่ได้ยินมากี่ปีแล้วหนอ
นานเท่าไรแล้วที่ท่วงทำนอนนี้ขาดหายไปจากชีวิต
เปียโนที่เล่น เสียงของเครื่องเปียโนอาจจะทุ้ม ไม่อ่อนหวานเฉดเช่นเครื่องเปียโนที่ชินหู แต่คนที่เล่นอยู่ในตอนนี้ก็ทำให้ทุกจังหวะ ทุกท่วงทำนองคุ้นเคย ราวว่าในความเป็นจริงแล้ว คนที่เคยบรรเลงเช่นนี้มิได้หนีหายจากไปไหน
“มาซิคะคุณภู ไม่เป็นไรหรอก”
แต่ภูเก็ตไม่ได้ยินเสียงนั่น การก้าวของเขา…ช้า ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ แต่ก็ยังคงก้าวไปข้างหน้าเพราะความทรงจำที่ไม่เคยจางจากหัวใจทั้งผลัก ทั้งดัน
หัวใจเต้นแรง แต่ว่าชายหนุ่มกลับหายใจไม่คล่อง
เสียงเปียโนดังขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความทรงจำในอดีตที่ประดังเข้ามา
‘หมิงลงน้ำหนักนิ้วมากไปอีกแล้ว’ เสียงหวานก้องไม่วาย ไม่ต่างจากเสียงเปียโนที่เธอเล่นให้ได้ยินเป็นประจำทุกวัน
แล้วยังมือที่แตะอย่างละมุนบนมือของเขา บางคราจับ…ให้ความรู้สึก ให้ไออุ่นที่เขาถวิลหาอยู่เสมอ
‘ท่อนนี้เล่นเบาๆ เล่นด้วยความรู้สึกมันจะทำให้อ่อนหวานลึกซึ้ง’
เธอสอน แนะนำ แต่ไม่เคยบังคับ ภูเก็ตก็มักทำตาม พอเล่นได้…อ่อนเบา แต่ก็ไม่นุ่มนวลละมุนละไมเท่าครึ่งของความอ่อนและความหวานซึ้งที่เธอเล่น จนในที่สุดภูเก็ตมักยอมแพ้
‘ระรินเล่นให้ผมฟังดีกว่านะจ๊ะ’ รอยยิ้มมักประจบ
เขาฟังเธอบรรเลง บางทีระรินก็ร้องคลอ เสียงหวานแจ้วไม่แพ้เปียโนราคาแพง และภูเก็ตก็มักตั้งใจฟังเสมอ ไม่ว่าอยู่ส่วนไหนของบ้าน หูของเขาก็ยังได้ยิน
หลายคราที่ชายหนุ่มเอนนอนที่โซฟาด้านหลังของเปียโน ฟังเธอเล่นแล้วเขาก็เผลอหลับไป โดยที่ทั้งเสียงเปียโนและเสียงระรินยังแว่วเข้ามาในห้วงความฝัน
และเขามักจะตื่นขึ้นมา ถ้าไม่เพราะร่างเล็กที่เข้ามาแอบซุกในอ้อมแขน ก็เพราะเสียงใสๆ ปลุกเขาให้ลุกขึ้นตื่น
ชีวิตในห้วงของความสุขล้ำลึก ทำให้เขาคิดว่าจะเป็นเช่นนั้นไปชั่วชีวิต เพียงแต่ว่า…ใครจะคิด วาสนาของเรามีเท่านั้น
ภูเก็ตมองภาพตรงหน้าเต็มตา ดวงตาคู่นั้นร้อนรุ่ม ลำคอตีบตันไปหมด หัวใจเต้นแรง
ตกใจ
ไม่คาดคิด
เพราะใครจะคิด!
และต่อให้เขาเห็นหน้าไม่ชัดเพราะเธอผู้นั้นหันข้าง
แต่ท่วงท่าของหญิงสาวที่กำลังบรรเลงทำนองเสนาะหน้าเปียโนใหญ่
ท่วงท่าเช่นนี้ ให้ผ่านมากี่ปีเขาก็ไม่เคยลืม
เหมือนเช่นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นเธอ
ภูเก็ตไม่สนใจใครคนอื่น
ไม่สนแม้รู้สึกหัวหมุน โลกหมุนจนเขาเซตัวเพียงเล็กน้อย
ไม่สนแม้เสียงสะอื้นเบาๆ ในลำคอของตัวเอง
มือที่สั่น ใจที่สั่น และนัยน์ตาที่สั่นสะท้าน ช่างไม่แตกต่างจากขาสั่นที่กำลังก้าวเข้าไปสองสามก้าว แล้วหยุดกึก
“ระริน…” เสียงแหบแทบไม่เป็นคำ เรียกออกมา หรือว่าเรียกเพียงในใจก็สุดรู้ “ระริน…ระริน!”
เหมือนว่าเสียงของเขาจะดังขึ้นเรื่อยๆ
และเหมือนคนที่บรรเลงเล่นเพลงไพเราะจะได้ยิน เพราะนิ้วเรียวที่ไล่ไปตามแป้นทอดช้าลงเรื่อยๆ จนหยุดพลัน
ราวว่าหัวใจจะหยุดเต้นไปพร้อมกัน
“ระริน!”
เมื่อนั้น โลกทั้งโลกเงียบสงัด ภูเก็ตยืนนิ่ง ราวชั่งใจ เห็นชัดว่า…ผู้หญิงคนนั้นไม่แม้แต่จะหันมา
ความสนใจของเขาจับอยู่เพียงที่เธอคนเดียวเท่านั้น ไม่สนใจร่างเล็กอีกร่างที่ผวาขึ้นมาทั้งตัว เขาไม่มองผู้หญิงที่นั่งอยู่บนม้านั่งข้างๆ อีกตัว
ไม่สนใจว่าเธอจะหันขวับมาโดยเร็ว ดวงตาเบิกขว้าง เขาไม่คิดจะสังเกตหรอกว่าเกษราจะมีท่าทีอย่างไร
ไม่แม้แต่จะหันมากพีทซี่ที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง ไม่สนใจความถามเบาๆ ของเธอ
“ระริน” เสียงมิใช่คำถาม แต่เป็นการยืนยัน แน่ใจนักว่า…ใช่!
ผู้หญิงที่เขารู้จัก และรู้ที่จะรักมาเกือบทั้งชีวิตของเขา ทำไมเขาจะจำไม่ได้
ภูเก็ตสาวเท้าเข้าไปเพียงก้าวเดียวสั้นๆ พร้อมๆ กับที่เธอคนนั้นลุกขึ้นพรวด เมื่อนั้นเขาจึงทิ้งถุงกระดาษที่ถือในมือลงทันที แล้วปรี่เข้าไปคว้าร่างนั้นไว้เข้ามาในอ้อมกอด…อีกครั้ง
ไม่ไยดีกับอาการเกร็งไปทั้งตัวของเธอ
ไม่ไยดีกับใครอื่นทั้งโลก
อ้อมแขนของเขารัดแน่นขึ้น นิ่งอยู่นาน จนในที่สุดรับรู้ว่าร่างเล็กบอบบางกว่าที่เขาจำได้มากนักนั้นค่อยๆ โอนอ่อนทิ้งร่างไว้ในอ้อมกอดของเขาอย่างสนิทใจนัก
ความเงียบยังคงปกคลุมเนิ่นนาน จนในที่สุดพีทซี่ที่คลายอาการตกใจได้เป็นคนแรก ถามเสียงสั่น
“นี่มันอะไรกันคะ ครูโรส คุณภู …” สายตามองสลับระหว่างคนสองคนกับเกษราที่หน้าขาวซีด แล้วลุกขึ้นถอยห่างออกไปเพียงนิดเดียว พอที่จะจับขอบเปียโนด้านบนไว้เพื่อพยุงตัว
เพียงแต่ว่าไม่มีคำตอบจากคนคู่นั้น พีทซี่เห็นเพียงศีรษะของ…ครูโรส…ที่ซบนิ่งกับแผ่นอกกว้างของภูเก็ต และเมื่อนั้นเธอจึงเดินจ้ำเข้าไปหาเกษรา
“เกด…”
คนเรียกกะพริบตาปริบๆ ด้วยความงุนงง เห็นนางเอกสาวจ้องภาพตรงหน้าราวว่าเป็นสิ่งที่ช่างบาดใจเธอยิ่งนัก
ภาพ…ของภูเก็ตกอดครูโรสแน่น ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมด
ดวงตาของเขาปิดแน่น ราวไม่อยากลืมตาขึ้นเพราะกลัวว่าทุกอย่างจะจางหายไปไม่ต่างจากความฝัน
แล้วยังเสียงพร่า…ระริน
ก่อนที่ดวงตาที่ปิดสนิทของชายหนุ่มจะปรากฏหยดน้ำใสที่ซึมออกมา หากก็เพียงหยดเดียวเท่านั้น
แต่นั่นยังไม่ทำให้พีทซี่ตกใจเท่าตอนเอื้อมไปกุมมือเพื่อน… “เกด”
ความเย็นเฉียบจากมือเกษรา ราวว่ามันแผ่กระจายไปทั่วร่าง ดวงหน้าสวยของนางเอกสาวซีดเผือก
อาการนี้ทำให้พีทซี่สงสารจับใจ แต่อีกใจอยากจะตะโกนว่า…ปากแข็งดีนัก
ถ้าเป็นเวลาอื่น เธอคงค่อนเช่นนั้น เพียงแต่ว่าตอนนี้พีทซี่ทำได้เพียงกึ่งจูง กึ่งประคองเพื่อนรักให้ถอยห่างออกมา หันเดินเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้สองคนข้างนอก จมอยู่กับความหวัง ความฝัน และความทรงจำของอดีต
(ต่อ)