ม็อคค่าปาท่องโก๋ : อนาคตวงการหนัง {สัมภาษณ์อเล็กซ์และเจซซี่จาก ฮาชิมะ โปรเจกต์}

สวัสดีครับ

      ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ

เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1118



     “เนชั่นสุดสัปดาห์” ฉบับนี้ “ม็อคค่าปาท่องโก๋” ขอนำท่านผู้อ่านไปรู้จักกับตัวตนของนักแสดงหนุ่ม “อเล็กซานเดอร์ ไซม่อน” หรือ “นิรวิทย์  เรนเดลล์” ที่รู้จักกันในวงการว่าน้อง “อเล็กซ์” ซึ่งเป็นดารารุ่นใหม่ที่ร่ำเรียนเขียนอ่านมาทางด้านภาพยนตร์

     นอกจากมุ่งมั่นในเส้นทางวิชาการหนังที่เขาเพิ่งจบการศึกษาจากคณะนิเทศศาสตร์ ภาคภาษาอังกฤษ จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้ว “หนุ่มอเล็กซ์” ยังผ่านงานภาพยนตร์ไทยมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ คน ผี ปีศาจ 13 เกมสยอง หลุดสี่หลุด  รักมันใหญ่มาก ฯลฯ

        และผลงานเรื่องล่าสุด “ฮาชิมะ โปรเจคต์” นอกจากนี้ เขายังเคยกำกับ “หนังดังสุดสัปดาห์” เรื่อง “รักอันตราย” อีกด้วย โดย “ม็อคค่าปาท่องโก๋” จะพาไปฟังมุมมอง ความคิดเห็น และประสบการณ์เกี่ยวกับวงการหนังไทยของ “อเล็กซ์ เรนเดลล์”

Mr. Coffee :  การที่เรียนหนัง ช่วยให้งานแสดงขึ้นหรือไม่
อเล็กซ์ : แน่นอน  มันช่วยให้เราเข้าใจในเรื่องของการเป็นนักแสดง ว่ามันคืออะไร จริงๆ แล้วมันไม่ได้แตกต่างจากผู้กำกับ หรือคนดูแลเรื่องเสียง หรือคอสตูม เพียงแต่มีหน้าที่แสดง ต้องอยู่หน้ากล้อง ก็เลยดูเหมือนถูกยกย่องขึ้นมา แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ เพราะทุกคนต้องทำงานร่วมกัน ดังนั้น การที่เราเป็นนักแสดง มันไม่ใช่การมาขายเพียงหน้าตาหรือความเป็นเรา แบบที่คนทั่วไปเขาคิดกัน ผู้กำกับก็จะทำการบ้านของตนเองมาว่าจะกำกับอย่างไร ช่างกล้องก็จะทำการบ้านมาว่าจะถ่ายอย่างไร เราก็ทำการบ้านของการเป็นนักแสดงมาว่าจะแสดงอย่างไร เพียงแต่การที่เรียนหนังจะช่วยเสริมด้าน Acting มากขึ้น

Mr. Coffee :  ผู้กำกับต้องการอะไร ก็ทำให้ตรงกับความต้องการของเขา
อเล็กซ์ : ใช่  และเรารู้ว่ามันสำคัญขนาดไหนที่นักแสดงต้องทำให้ดี ไม่อย่างนั้นหนังมันจะดีได้ยากมาก

Mr. Coffee :  ระหว่างหนังกับละครแตกต่างกันในแง่ไหนบ้าง
อเล็กซ์ : ในด้านการแสดง Acting ของละครมันจะมีความเป็นเอกลักษณ์ของละคร และผมคิดว่าการแสดงละคร คุณจะไม่สามารถใช้ความรู้สึกได้อย่างเดียว คือบางคนจะใช้เทคนิคในการเล่นแต่ไม่มีความรู้สึก ซึ่งแบบนั้นสักพัก คนดูก็จะดูออก คนดูจะไม่อินกับตัวละครของเรา เพราะเราไม่ได้ใช้ความรู้สึกในการแสดง แต่ก็มีนักแสดงอีกแบบที่ใช้ความรู้สึกแค่เพียงอย่างเดียว ตรงนี้จะดีถ้าผู้กำกับสามารถช่วยเสริมและแนะนำด้านเทคนิคได้ แต่คนที่เรารู้สึกว่าเขาเก่งจริงๆ คือคนที่ใช้ทั้งความรู้สึกและรู้จักเทคนิคของละคร ทำให้ความรู้สึกนั้นถูกปล่อยออกมาในทางที่เห็นและชัด ในจอทีวีที่มีขนาดเล็กแต่มองเห็นได้ชัดเจน โดยส่วนมากคนที่ดูละครจะไม่ชอบคิดอะไร เพราะฉะนั้นจะเหมือนตัวละครจะคิดให้ แต่หนังจะเล่าด้วยภาพมากกว่า ดังนั้นในละครอาจจะสงสัยได้ว่า ทำไมตัวละครนี้พูดคนเดียว ทำไม่ต้องพูดออกมาด้วยว่าจะโทร.ไปหาใคร ในชีวิตจริงคนเราคงไม่พูดคนเดียวแบบนี้ ซึ่งในความเป็นจริงของละคร การทำแบบนั้นเป็นการทำให้คนดูเข้าใจว่าคิดอย่างไร เพราะหากคนดูละครไปเข้าห้องน้ำ กลับมาดูต่อก็ต้องเข้าใจเนื้อเรื่องต่อได้ หรือมีโฆษณามาคั่น ก็ต้องดูต่อได้ หรือไม่ได้ดูวันนี้ พรุ่งนี้ก็ยังต้องดูได้ แต่หนังเป็นการบังคับให้คนดูโฟกัส โรงหนังมืด คนดูก็ต้องจ้องที่จอฉาย Acting ของนักแสดงจึงไม่จำเป็นต้องเยอะขนาดนั้น

Mr. Coffee :  จริงหรือไม่ที่ละครจะต้องแสดงให้มากกว่าหนัง
อเล็กซ์ : ไม่เชิงจะเป็นอย่างนั้นไปทั้งหมด คือจะมีบางซีนที่ต้องแสดงให้มากกว่าปกติ มันจะมีบางอารมณ์ ถ้าเราเล่นให้เยอะทั้งเรื่อง ก็จะกลายเป็นคนที่ Over Acting ซึ่งก็จะเห็นกันได้ง่ายๆ แต่สำหรับคนที่เก่ง ผู้กำกับก็จะต้องรู้ว่าจะต้องเสริมตรงไหน เน้นตรงไหน เพื่อจะเอาให้อยู่มากขึ้นเพื่อความสนุกและความเข้มข้นของละคร เพราะคนไทยอยากดูอะไรที่มันเข้มข้น

Mr. Coffee :  ใน “สาปพระเพ็ง” ถือว่าพอใจในผลงานมากน้อยแค่ไหน
อเล็กซ์ : ผมว่ามันยังไม่ค่อยดี เพราะถ้าผมได้โกนหัวจริงๆ มันจะดีกว่านี้ แต่โกนไม่ได้เพราะมีงานอื่นที่ต้องทำ เพราะถ้าผมได้โกนหัวจริงๆ ผมจะสามารถเล่นเป็นตัวละครนั้นได้มากขึ้น เพราะว่า Bald Cap (วิกหัวล้าน) ขณะถ่ายทำก็ต้องคอยหลบมุม ไม่อย่างนั้นก็จะเห็นรอยย่น และพอตกเย็นก็จะเริ่มปวดเริ่มร้อน ไม่สามารถจะใช้สมองได้เต็มที่ 100% จริงๆ และที่จริง คนตาบอดจะใช้หูในการฟัง วิธีการเดินของเขาจะแปลก แต่ของเราไม่ได้ เพราะหากเราหันหูมาฟัง ก็จะเห็นรอยย่น มีข้อจำกัดค่อนข้างมาก  

Mr. Coffee :  หนังใหญ่ที่ผ่านมา จนมาถึงเรื่องนี้ คิดว่าตัวเราเองมีความแตกต่างและการพัฒนาไปในด้านไหนบ้าง
อเล็กซ์ : ผมว่าเป็นเรื่องของประสบการณ์ด้วย  การเป็นนักแสดงที่จะทำให้บทที่เล่นตรงนั้นออกมาได้ดีจริงๆ ไม่ง่าย  สำหรับผมที่มองรุ่นพี่ในวงการ มีนักแสดงไม่มากที่เรานึกชื่อขึ้นมาได้ทันที่ว่าเขาเก่งมาก คนเหล่านี้จะเข้าใจและใส่ใจในเรื่องของการแสดงเป็นหลัก ถ้าได้ย้อนกลับไปเล่น ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเล่นแบบเดิมหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าจะดีกว่าเพราะเราเข้าใจในเรื่องของการแสดงมากกว่าตอนนั้น รวมถึงการทำการบ้านก่อนการแสดงด้วย และที่จริง “ฮาชิมะ โปรเจคต์” เป็นหนังที่ Dark ด้วย การแสดงด้านในมันต้องเยอะ


Mr. Coffee :  ถ้ามีหนังเข้ามาพร้อมๆ กันให้เลือกระหว่างหนัง ผี ตลก รัก Action ระทึกขวัญ จะเลือกอะไร
อเล็กซ์ : อยากเล่นหนังระทึกขวัญ  อย่างเรื่อง Countdown ผมชอบมุมมองและแนวคิดของผู้กำกับมากๆ  ที่จริงหนัง Action Comedy ก็อยากเล่นมาก  แนวอย่าง Bad Boy  

Mr. Coffee :  ถ้ามีโอกาสได้กำกับหนัง อยากทำแนวไหน
อเล็กซ์ : อยากทำหนัง Dark เกี่ยวกับสลัมในบ้านเรา  เหมือนกับ City of God เพราะผมคิดว่าสลัมบ้านเรามีลักษณะเฉพาะมาก  เล่าเรื่องแบบมีชั้นเชิง เล่าเรื่องความเป็นอยู่ของคนจนในบ้านเรา ผมอยากเล่าเรื่องนี้มาก  อย่างเด็กตีกันบนรถประจำทาง หรือเป็นชื่อของโรงเรียนบนเสื้อแล้วก็ฝากการมีเรื่องไป มันไม่มีที่ไหนในโลกที่เขาทำกันอย่างนี้  เขาตีกันทำไม ที่จริงผมมองว่าเขาก็มีเหตุผลของเขา แต่คนภายนอกก็มองว่าเด็กบ้าพวกนี้ตีกันทำไม หรืออย่างเด็กแว้นกับสก๊อยต์ เป็นสิ่งที่คนในสังคมเรียก แต่ที่จริงเขาก็คงมีความสุขในแบบของเขา แต่งมอเตอร์ไซค์ ทำท่อเสียงดังๆ คนไปดูถูกเขา เราก็เลยอยากเล่าเรื่องในมุมมองของเขา

Mr. Coffee :  นอกจากเรื่องของเงินทุนแล้ว อะไรที่ทำให้หนังไทยในปัจจุบัน ยังสู้หนังต่างประเทศไม่ได้
อเล็กซ์ : ผมว่าเป็นเรื่องของฐานการศึกษา  ผมมองว่าหนังที่ดีจริงๆ มักจะขายไม่ค่อยดี  หนังที่ใช้ความคิดทุกเฟรมทุกภาพ ถ้าเป็นหนังฝรั่งจะเป็นหนังแนวหนังรางวัล หนังไทยแนวหนักๆ พอเจ๊งบ่อยๆ คนก็ไม่ค่อยกล้าลงทุน ส่วนหนังตลกดูง่ายๆ สบายๆ จะทำรายได้ได้ดี

Mr. Coffee :  ละครมีผลหรือไม่กับการทำให้คนไทยไม่พัฒนาในด้านการดูหนัง
อเล็กซ์ : ก็เหมือนกัน  ซีรีย์ฝรั่ง คนดูหนังจะชอบเพราะเราพร้อมจะดูพร้อมจะติดตามตัวละคร แต่ถ้าคนที่ดูละครไปรีดผ้าไปแล้วต้องมาดู Prison Break ก็คงจะไม่มีทางเข้าใจได้อย่างแน่นอน ผมมองว่าคนที่ติดซีรีย์ฝรั่ง ก็คือคนที่ชอบดูหนังในโรง แต่คนที่ติดละคร และไม่ได้ดูซีรีย์ฝรั่ง ก็ไม่ใช่กลุ่มคนที่ดูหนังในโรง

Mr. Coffee :  มองว่าวงการหนังไทยยังขาดอะไร
อเล็กซ์ : ผมว่าคนไทยเก่งมาก  ไม่ได้เก่งน้อยกว่าคนชาติอื่น แต่ระบบมันยังไม่ค่อยใช่  การทำหนังออกมาเรื่องหนึ่งนั้นคือมุมมองของผู้กำกับ แต่การให้ความสำคัญกับผู้กำกับยังน้อยเกินไป การ Pre-Production ก่อนการถ่ายทำจริงน่าจะดีกว่านี้ ก็วนกลับมาปัญหาเรื่องทุนอยู่ดี แต่คนดูก็มีส่วน  อย่างอินเดีย คนมีวัฒนธรรมที่จะไปดูหนังอินเดียกับครอบครัว Bollywood ถึงเกิดขึ้นได้ แต่คนไทยต้องรออะไรที่สปาร์คจริงๆ ถึงจะไปดู

Mr. Coffee :  ในฐานะคนเรียนหนังมา จะทำอย่างไรให้คนไทยหันมาดูหนังไทย
อเล็กซ์ : ผมมองว่าอยู่ที่การโปรโมท และต้องมีโอกาสให้กับผู้กำกับที่ทำหนังได้ดีถึงแม้จะพลาดในเรื่องรายได้ ให้ได้ทำหนังเรื่องต่อๆ ไป แต่ตอนนี้ถ้าทำไม่ดี ก็เปลี่ยนคนใหม่มา แล้วประสบการณ์จะหาได้จากไหน

Mr. Coffee :  ส่วนตัวเลือกดูหนังไทยจากอะไร
อเล็กซ์ : ผมดูตัวอย่างก็พอจะเดาทางหนังได้  ถ้าดูแล้วน่าสนใจก็จะดู แต่ถ้าดูแล้วไม่ชอบ ดูแล้วสงสัยว่าหนังแบบนี้จะมีคนดู จะมีคนชอบด้วยหรือ ผมก็ไม่ดู


ล้อมกรอบ
คุยกับ “ลูกเทียรี่”

      “ลูกเทียรี่” หรือ “เจสซี่ เมฆ เมฆวัฒนา” เป็นลูกไม้หล่นใต้ต้น เพราะเขาเป็นทายาทของคุณพ่อเทียรี่ เมฆวัฒนา สมาชิกคนสำคัญของวง “คาราบาว” กับคุณพ่อจุ๋ม อุทุมพร ศิลาพันธุ์ ที่พบรักกันเมื่อครั้งร่วมแสดงภาพยนตร์ไทยเรื่อง “เสียงเพลงแห่งเสรีภาพ”

      ปัจจุบัน “เจสซี่ ศึกษาอยู่ที่คณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาภาพยนตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชั้นปีที่ 2

Mr. Coffee : การแสดงในหนัง “ยังบาว” กับเรื่อง “ฮาชิมะ โปรเจคต์” แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
เจสซี่ : ต่างกันมาก  เพราะ “ยังบาว” ไม่มีบทพูดเลย การแสดงอารมณ์ก็แตกต่างกัน  ใน “ยังบาว” ผมเล่นเป็นคุณพ่อตอนเด็กๆ และก็ไม่ได้แสดงอะไรมากนัก โดยรวมเล่นแค่ประมาณ 3 นาที  แต่ใน “ฮาชิมะ โปรเจคต์” มีบทพูด มีการแสดงอย่างเต็มที่ มีฉากหนักๆ ฉากแสดงอารมณ์มากมาย

Mr. Coffee :  ถ้ามีหนังเข้ามาพร้อมๆ กัน ให้เลือกระหว่างหนัง ผี ตลก รัก Action ระทึกขวัญ
เจสซี่ : อยากเล่นหนังตลกกับหนังระทึกขวัญ

Mr. Coffee :  ถ้ามีโอกาสได้กำกับหนัง อยากกำกับแนวไหน
เจสซี่ : หนังแนวโปรดที่อยากทำมากที่สุดคือแบบ “ทิม เบอร์ตัน” แต่ในเมืองไทยน่าจะลำบาก

Mr. Coffee :  นอกจากเรื่องของเงินทุนแล้ว อะไรที่ทำให้หนังไทยในปัจจุบัน ยังสู้หนังต่างประเทศไม่ได้
เจสซี่ : หนังต่างประเทศ เขาคิดอะไรแล้วเขาทำได้จริง  อย่าง Lord of the Rings ลงทุนสร้างเมือง สร้างฉาก แต่ของไทย แค่ระเบิดก็ยังดูไม่ค่อยเนียนตา

Mr. Coffee :  ละครมีผลหรือไม่กับการทำให้คนไทยไม่พัฒนาในด้านการดูหนัง
เจสซี่ : ผมว่าเกี่ยวเหมือนกัน  ละครพล็อตจะซ้ำๆ แต่ถ้าเป็นซีรีย์ของฝรั่ง จะทำได้ดีมาก

Mr. Coffee :  ในฐานะคนเรียนหนังมา จะทำอย่างไรให้คนไทยหันมาดูหนังไทย
เจสซี่ : ผมว่าต้องมีหนังที่มีความแตกต่างและแปลกออกไปจากที่มีอยู่ ไม่ซ้ำแบบเดิมๆ เพิ่มทางเลือกให้มากขึ้น

Mr. Coffee :   ส่วนตัวเลือกดูหนังไทยจากอะไร
เจสซี่ : ดูจาก พล็อตเรื่อง ทีเซอร์ ตัวอย่างหนัง

ฝากบทความก่อนๆด้วยนะครับ

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่