สวัสดีครับ
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1114

กระทบไหล่ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” เจ้าพ่อ 3D คนแรกของไทย (ตอนจบ)
**** อ่านตอนแรกได้ที่นี่ครับ http://pantip.com/topic/31126568 ****
Mr.Coffee: เคยมีแผนที่จะนำองค์บากและต้มยำกุ้ง มาทำเป็น 3D ไหม
ปรัชญา: ส่วนตัวผมไม่เคยคิดครับ แต่ทางเสี่ยเจียงเคยบอกว่า มีบริษัทจากจีนติดต่อมาเสนอว่าจะนำหนัง 2 เรื่องนี้ไปทำเป็น 3D ให้ แต่ปัจจุบันก็ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว
Mr.Coffee: ช่วงที่ผ่านมาหนัง Action ไทยทำไมถึงสร้างกันน้อย
ปรัชญา: จริงๆ แล้ว หนัง Action หนังผี หนังตลก หนังเหล่านี้ง่ายต่อการดึงดูดคน และมีกลุ่มคนดูขนาดใหญ่ แต่หนัง Action เป็นหนังที่แพง ดังนั้น คนที่สร้างหนัง Action ถ้าไม่มีเงินหรือเงินไม่พอ มันจะไม่ถึง พอไม่ถึงคนก็จะไม่ดู ดังนั้นปัญหาของตลาดหนัง Action ในบ้านเรา ถ้าเงินไม่ถึง คนไม่ดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังไทย คนยิ่งไม่กล้าลงทุนเข้าไปใหญ่เพราะตลาดมันเล็ก ทำไม่ถึง คนก็ไม่ดู เลยดูเหมือนคนไม่อยากดูหนัง Action จริงๆไม่ใช่ เพราะปัญหาเกิดจากทำไม่ถึง ที่จริงหนังทุกแนวจะให้คนดู ต้องโดนใจ ถ้าหนังไม่โดนใจ จะเป็นหนังแนวไหนคนก็ไม่ดู เพียงแต่เราไปจำว่าหนัง Action โดยเฉพาะหนัง Action ไทย คนไม่ดูหรอก วิเคราะห์แบบนั้นไม่ถูก
Mr.Coffee: การที่โรงหนังเปลี่ยนจากการเก็บเงินค่าตั๋วหนังในราคา 3D มาเป็นการขายแว่น 3D และขายตัวหนังในราคา 2D ตรงนี้คาดว่าจะมีผลต่อส่วนแบ่งรายได้ของหนังต้มยำกุ้ง 2 อย่างไรบ้าง
ปรัชญา: ตรงนี้ผมยังไม่รู้เลย เออ ผมลืมคิดมุมนี้ไป แต่จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ เจ้าของหนังกับโรงหนังก็ถกเถียงกันมานานแล้วเรื่องค่าตั๋ว 3D คือทางโรงหนังบอกว่า ขอแบ่งแค่นี้เพราะทางโรงหนังต้องลงทุนเรื่องแว่น 3D แต่ทางค่ายหนังก็ลงทุนทำหนังเป็น 3D ไม่รู้ว่าจะยังเป็นคนละครึ่งอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะต้องมาแบ่งว่าลูกค้ามีแว่นมาเองหรือลูกค้ามาซื้อแว่นกันอีก
Mr.Coffee: ถ้าเป็นการขายแว่น 3D ส่วนแบ่งรายได้ค่าตั๋วของทางค่ายหนังก็ต้องลดลง เพราะราคาตั๋วถูกลง
ปรัชญา: เป็นคำถามที่ดีมาก ผมก็อยากรู้เหมือนกัน แต่พฤติกรรมคนดูหนัง ผมว่าคนดูก็อยากมีแว่นส่วนตัว คนดูน่าจะได้ประโยชน์ เพราะลงทุนครั้งเดียวและไม่ต้องใช้แว่นร่วมกับใคร
Mr.Coffee: ความสำเร็จของพี่มาก...พระโขนง มีผลต่อตลาดหนังไทยในแง่ไหนบ้าง
ปรัชญา: กรณีของพี่มาก...พระโขนง ต้องยอมรับว่าเป็นปรากฏการณ์ทางด้านดี ไม่มีใครในวงการนี้คาดเดาได้ ผมมั่นใจว่า กรณีของพี่มาก...พระโขนง 500 กว่าล้านบาท ผมมั่นใจว่าหนังไทยจะได้เงินระดับ 200 ล้านบาท ง่ายขึ้น ปรากฏการณ์ เหมือนตอนที่ นางนาก หนังของพี่อุ๋ย ทำรายได้แตะ 100 ล้านบาทเรื่องแรกของไทย ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่าหนังไทยจะทำรายได้ได้ถึงหลัก 100 ล้านบาท หลังจากนั้นทำให้เริ่มมีหนังไทย 100 ล้าน ได้ง่ายขึ้น ก่อนหน้า พี่มาก...พระโขนง ยังไม่มีหนังไทยเรื่องไหนผ่านหลัก 200 ล้านไปได้ ยกเว้นหนังท่านมุ้ย แต่พอมีปรากฏการณ์พี่มาก...พระโขนงเกิดขึ้น ผมมั่นใจว่า ต่อไปหนังไทยจะผ่านหลัก 200 ล้านได้ง่ายขึ้น
Mr.Coffee: แล้วผลกระทบของพี่มาก...พระโขนง ในแง่ของคนทำหนังล่ะครับ คนดูจะเอาพี่มาก...พระโขนง เป็นตัวตั้งหรือไม่ และคนที่ทำหนังผี หนังตลก หนังรัก จะทำงานยากขึ้นหรือไม่
ปรัชญา: อ๋อ อันนั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะถึง พี่มาก...พระโขนง จะไม่ได้เงินขนาดนี้ แต่เนื้อหายังเหมือนเดิม ผมก็ถือว่า มาตรฐาน ของหนังผีตลก มันก็ไปขนาดนั้นแล้ว อันนี้เป็นเรื่องปกติ คือคนทำหนังต้องดูหนัง ดูว่าประสบการณ์ของคนดูไปถึงไหนแล้ว คนดูก็มาจากหนังที่คนใหม่สร้างขึ้นมา และถือว่าคนดูได้ดูหนังทุกเรื่องไปแล้ว ดังนั้นถ้าจะทำหนังแนวเดียวกับพี่มาก...พระโขนง ก็ทำให้เจ๋งกว่า อันนั้นเป็นหน้าที่คนทำหนังที่ต้องทำให้ได้อยู่แล้ว ทุกคนจะต้องดีขึ้น เจ๋งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเกิดคุณสู้เขาไม่ได้ ก็ไม่รอด
Mr.Coffee: พี่ปรัชเคยสนใจที่จะทำหนังแนวอื่นนอกจากหนัง Action บ้างหรือไม่
ปรัชญา: ผมสนใจจะทำหนังทุกแนวครับ แต่โอกาสไม่ค่อยดี ไม่ได้ทำสักที ตอนนี้ก็มีแต่ Action อย่างเดียว จริงๆ ตอนนี้ผมเริ่มทำบทหนังเรื่องใหม่ไปแล้ว เป็นหนังผี และจะเป็นหนังผีที่จงใจเล่น 3D พูดง่ายๆ คือทำหนังเพื่อฉาย 4DX เลย คือถ้าจะดูให้สมบูรณ์ ก็ต้องดู 4DX สำหรับหนังผีเรื่องนี้ แล้วก็มีหนังรัก เป็นหนังเพลง ก็คิดว่าจะต้องมีโอกาสได้ทำเร็วๆ นี้แน่ๆ
Mr.Coffee: ถามจริงๆ ว่าพี่ปรัชชอบฟิล์มหรือดิจิทัล
ปรัชญา: ในมุมของผม ดิจิทัล ทำให้การทำงานง่ายขึ้นครับ ตั้งแต่เรื่องวิธีการทำงาน ไม่ต้องเปลี่ยนฟิล์มบ่อยๆ ไม่ต้องโหลดฟิล์มบ่อยๆ เสียเวลา รำคาญ และตอนถ่ายเรามี Monitor ถ้าเป็นฟิล์ม Monitor จะไม่คมชัด มันเป็น Video Assist แต่ถ้าเป็นดิจิทัล ก็จะเป็นสัญญาณ Video ชัดๆ เต็มๆ ผมทำจอใหญ่ยักษ์เลย ทีวีบ้านเราเดี๋ยวนี้ก็มีจอใหญ่ ผมก็เอาจอใหญ่มาเลย ยิ่งดูยิ่งชัด เราก็เห็นข้อผิดพลาดได้ง่าย ส่วนในเรื่องของงาน ผลของภาพที่ออกมา ผมมองว่าไม่แตกต่างกัน ผมว่าเวิร์กกว่าด้วย บางคนมองว่าเรื่องสีไม่ได้ดังใจ แต่จริงๆ แล้วตอนใช้ฟิล์ม ก่อนจะมาเป็นดิจิทัล เขาก็เอาฟิล์มไปแปลงเป็นดิจิทัล แล้วปรับสัญญาณผ่านดิจิทัล แล้วก็ได้สีดังใจ คือผมเป็นคนฝั่งเทคโนโลยี ชอบอยู่แล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่ติดเสน่ห์ของความเป็นฟิล์ม ซึ่งไม่ใช่ผม เพราะผมก็รู้สึกว่า ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เผลอๆ ผมท้าทายพวกที่ติดเสน่ห์ของฟิล์มว่า ผมให้คุณมาดูหนังเรื่องหนึ่ง คุณตอบผมได้ไหม ว่าถ่ายด้วยฟิล์มหรือดิจิทัล ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่เห็นจะต้องไปยึดติดอะไร
Mr.Coffee: ใน Hollywood ผู้กำกับแก่ๆ หลายคนกลายเป็นผู้อำนวยการสร้างไปหมด จุดนี้พี่ปรัชคิดยังไง
ปรัชญา: ที่จริง Producer ก็มีหลายแขนงนะครับ มีแบบที่ต้องผลักดันเรื่องต้นทุน หาทุน หาเงิน แต่ถ้าเป็นในแบบที่ผมเป็น Producer ก็ต้องบอกว่า ผมโชคดีที่ผมเป็นผู้กำกับมาก่อน ผมเลยรู้ว่า ผมจะให้ความสำคัญกับความฝันของผู้กำกับ คือเราจะไม่ไปยุ่งกับความฝันเค้ามากนัก หรือไปเปลี่ยนความฝันของเขา ต่อให้ความฝันของเขาเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบก็ตาม ต้องเชื่อว่านั้นคือสิ่งที่เขาชอบ แต่คือผมมองตรงที่ว่า คนนี้น่าจะได้ทำงานชิ้นนี้ หนังมันจะเกิด หรืออีกแบบคือ วงการหนังไทยน่าจะมีหนังแบบนี้ อีกมุมหนึ่งเราก็ต้องมามองเรื่องธุรกิจ กรณีที่เราจะเอาเงินทุนมาสร้าง ว่าเรามองว่าหนังเรื่องนี้วางไว้ตรงไหนของตลาด บางทีเราไม่ต้องทำหนังที่ได้เงินเยอะตลอด หนังที่ได้เงินน้อย ก็ต้องทำ แต่ที่แน่ๆ คือ เราต้องมองว่าหนังไม่ขาดทุน อันนี้ต้องระวังให้ผู้ลงทุน แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ผมทำหนังเยอะมาก หนังเรื่องนี้ผมก็รู้ว่าหนังไม่ได้เงิน อาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ แต่อยากให้มันเกิดก็มี พูดง่ายๆ ผมจะรักษาความเป็นผู้กำกับคนนั้นให้มากที่สุด รักษาความฝันของเขาให้มากที่สุด ผมเป็น Producer ที่จบลงบนโต๊ะ ไม่ไปที่กองถ่าย ไม่ไปยุ่ง แต่เพียงว่าบางทีสิ่งที่เขาคิดมาผมก็เอาเข้าไปเติม แต่เติมเพื่อตอบผลทางธุรกิจ เติมเท่าที่ผู้กำกับจะโอเคได้ เช่น ใส่อารมณ์ขันเพิ่ม หรือปรับเรื่องตัวแสดง แต่ถ้าสัมผัสได้ว่าผู้กำกับไม่เอาหรือไม่ชอบ ผมก็จะไม่ฝืน ไม่บังคับ
Mr.Coffee: ตลาดหนังไทยในต่างประเทศปัจจุบันเป็นอย่างไร เปิดกว้างมากขึ้นมากกว่าสมัยองค์บากหรือต้มยำกุ้งหรือไม่
ปรัชญา: มากกว่าครับ อย่างเมื่อก่อนเคยมีคนบอกว่า ถ้าจะทำหนังไปขายต่างประเทศ ต้องทำหนังมวยไทยอย่างเดียวเท่านั้น แต่สมัยนี้ หนังรักของเรา คนก็เริ่มยอมรับ และหนังที่กลายเป็นลายมือของเราแล้วก็คือหนังผี ว่าหนังผีไทยมันน่ากลัว เลยไปได้เยอะ แต่ก็อยู่ที่แต่ละประเทศ แต่ละโซนด้วย ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเรา ผมเคยทำข้อมูลเรื่องทัศนคติของตลาดต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ Hollywood พบว่าขึ้นอยู่กับทัศนคติจริง เคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงซื้อลิขสิทธิ์หนังของเราไป แต่ไม่ไปฉายวงกว้างแต่เอาไป Remake อย่างเช่น ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ เขาดูแล้วชอบมาก ว่าดีๆ แต่ไม่สามารถเอาไปฉายโต้งได้ เพราะเป็นดาราไทยเล่น เขาต้อง Remake คือทัศนคติคนดูหนังส่วนใหญ่ของเขายังไม่ยอมรับเรา เพราะฉะนั้น เขาจะไม่ยอมเสียเงินมาดูหนังที่คนไทยเล่น แต่กรณี องค์บาก ต้มยำกุ้ง นั้นเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นความสามารถเฉพาะตัว Remake ไม่ได้ พวกที่ Remake ได้ Remake หมด หาบทที่เขาชอบ เอาตัวละคร ที่เป็นกลิ่น เป็นรสชาติของเขา ใส่เข้าไป และการมองว่าเขามองคนต่างชาติยังไงมันอยู่ในหนัง เช่น คนญี่ปุ่นก็จะเป็นนักธุรกิจ คนจีนคนอาหรับก็จะเป็นตัวร้าย คนเกาหลีก็บันเทิงๆ คนอินเดียก็พวกนักคอมพิวเตอร์ แต่พอคนไทย โน่นโสเภณีเลย ไม่นับหนังที่มาถ่ายทำในเมืองไทยแล้วเอาคนไทยเล่นเป็นไทยนะ ส่วนใหญ่พอถ่ายเราก็เป็นโสเภณี ก็เค้ามองเราอย่างนั้น เป็นโจรยังไม่ได้เลย โจรต้องมีบารมี อย่างคนเม็กซิกันส่วนใหญ่ก็จะเป็นแรงงานข้ามชาติ ขนของเถื่อน ขายยา มาเป็นคนใช้ ของไทยเป็นคนใช้ยังไม่ได้เลย เหมือนว่าเขาไม่กล้าปล่อยลูกไว้กับเรา เป็นเพราะว่าเราไม่เคยทำอะไรให้เขายอมรับ การยอมรับเกิดจาการสร้างอะไรให้แก่โลก หรือเก่งด้านไหนจริงๆ ดังนั้นเขามองเราไม่ขึ้นแน่ๆ เหมือนเราลองนึกถึงประเทศที่เราไม่ยอมรับ แล้วมีหนังที่ดีที่สุดของเขามาให้เราดู แล้วเราดูไหม แต่พอไปดูเราจะขำ เราจะมีอคติไปหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครมาดูหนังไทย
Mr.Coffee: พี่ปรัชชอบดูหนังแนวไหน
ปรัชญา: ดูทุกแนวครับ แต่หนังอินดี้จะดูน้อย จะค่อนข้างเลือกดู หนังไทยที่ผมชื่นชอบก็จะเก่าหน่อย ส่วนใหญ่เป็นหนังของท่านมุ้ย เช่น ทองพูนโคกโพ มือปืน ครูสมศรี เสียดาย หรือท่านอื่นก็เช่น แผลเก่า ของพี่เชิด ทรงศรี หลังจากนั้นก็หนังของพี่อังเคิ่ล พี่ปื๊ด เช่น ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย ฉลุย หรือนางนาก ของพี่อุ๋ย ผมก็ชอบ ถ้ายุคใหม่เลย ก็เพื่อนสนิท แฟนฉัน หรือล่าสุดก็ พี่มาก...พระโขนงครับ
Mr.Coffee: คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากทำหนังไทย หรืออยากจะเข้ามาสู่ในวงการ
ปรัชญา: ผมจะตอบอยู่ 2 แบบนะครับ แบบแรก คำตอบคือ ถ้ารักจริง จะไม่ถามคำถามนี้ หมายถึงไม่ต้องแนะนำก็ได้ ถ้ารักจริงก็จะไปได้เอง เปรียบเสมือนไปรักผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้ารักจริง เราจะหาทางพิชิตใจเขาให้ได้ ถ้าเกิดเรายอมแพ้เมื่อไร แปลว่าเรารักไม่พอ ส่วนคำตอบอีกแบบหนึ่งคือก็ ดูหนังเยอะๆ และศึกษาข้อมูลในวงการว่าใครทำอะไรกันบ้าง สำหรับไอเดียหนังของเรา ต้องหาไอเดียที่ดี Present เป็น ต้องรู้ว่าจะ Present หนังให้นายทุนฟังยังไงให้สนใจ ไม่จำเป็นต้องไปเล่ายืดยาว เล่าสั้นๆ เอาจุดที่น่าสนใจบางอย่างไปให้เขาฟัง ส่วนเรื่องเขียนบทไปยื่น ผมว่ายาก ยากตรงหาคนอ่านบท เอาไอเดียสั้นๆ เลยว่าหนังคุณน่าสนใจตรงไหน Present ให้น่าสนใจในเวลาสั้นๆ ถ้ามันแรงจริง แล้วเค้าตาถลนอยากได้ขึ้นมา มั่นใจได้เลยว่าหนังเราสำเร็จแน่ๆ เพราะขนาดเขายังรู้สึกขนาดนี่ถ้าทำเป็นหนังต้องน่าสนใจแน่ๆ ทำหนังดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำหนังให้น่าดูด้วย ถ้าคุณทำหนังดี แต่ไม่น่าดู หรือดูไม่สนุก ต่อให้ดีอย่างไรก็เจ๊ง แม้ว่าจะดีแค่ไหนก็ตาม
ม็อคค่าปาท่องโก๋ : กระทบไหล่ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” เจ้าพ่อ 3D คนแรกของไทย (ตอนจบ)
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1114
กระทบไหล่ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” เจ้าพ่อ 3D คนแรกของไทย (ตอนจบ)
**** อ่านตอนแรกได้ที่นี่ครับ http://pantip.com/topic/31126568 ****
Mr.Coffee: เคยมีแผนที่จะนำองค์บากและต้มยำกุ้ง มาทำเป็น 3D ไหม
ปรัชญา: ส่วนตัวผมไม่เคยคิดครับ แต่ทางเสี่ยเจียงเคยบอกว่า มีบริษัทจากจีนติดต่อมาเสนอว่าจะนำหนัง 2 เรื่องนี้ไปทำเป็น 3D ให้ แต่ปัจจุบันก็ไม่รู้ว่าไปถึงไหนแล้ว
Mr.Coffee: ช่วงที่ผ่านมาหนัง Action ไทยทำไมถึงสร้างกันน้อย
ปรัชญา: จริงๆ แล้ว หนัง Action หนังผี หนังตลก หนังเหล่านี้ง่ายต่อการดึงดูดคน และมีกลุ่มคนดูขนาดใหญ่ แต่หนัง Action เป็นหนังที่แพง ดังนั้น คนที่สร้างหนัง Action ถ้าไม่มีเงินหรือเงินไม่พอ มันจะไม่ถึง พอไม่ถึงคนก็จะไม่ดู ดังนั้นปัญหาของตลาดหนัง Action ในบ้านเรา ถ้าเงินไม่ถึง คนไม่ดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังไทย คนยิ่งไม่กล้าลงทุนเข้าไปใหญ่เพราะตลาดมันเล็ก ทำไม่ถึง คนก็ไม่ดู เลยดูเหมือนคนไม่อยากดูหนัง Action จริงๆไม่ใช่ เพราะปัญหาเกิดจากทำไม่ถึง ที่จริงหนังทุกแนวจะให้คนดู ต้องโดนใจ ถ้าหนังไม่โดนใจ จะเป็นหนังแนวไหนคนก็ไม่ดู เพียงแต่เราไปจำว่าหนัง Action โดยเฉพาะหนัง Action ไทย คนไม่ดูหรอก วิเคราะห์แบบนั้นไม่ถูก
Mr.Coffee: การที่โรงหนังเปลี่ยนจากการเก็บเงินค่าตั๋วหนังในราคา 3D มาเป็นการขายแว่น 3D และขายตัวหนังในราคา 2D ตรงนี้คาดว่าจะมีผลต่อส่วนแบ่งรายได้ของหนังต้มยำกุ้ง 2 อย่างไรบ้าง
ปรัชญา: ตรงนี้ผมยังไม่รู้เลย เออ ผมลืมคิดมุมนี้ไป แต่จริงๆ แล้ว ก่อนหน้านี้ เจ้าของหนังกับโรงหนังก็ถกเถียงกันมานานแล้วเรื่องค่าตั๋ว 3D คือทางโรงหนังบอกว่า ขอแบ่งแค่นี้เพราะทางโรงหนังต้องลงทุนเรื่องแว่น 3D แต่ทางค่ายหนังก็ลงทุนทำหนังเป็น 3D ไม่รู้ว่าจะยังเป็นคนละครึ่งอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่อย่างนั้น ก็จะต้องมาแบ่งว่าลูกค้ามีแว่นมาเองหรือลูกค้ามาซื้อแว่นกันอีก
Mr.Coffee: ถ้าเป็นการขายแว่น 3D ส่วนแบ่งรายได้ค่าตั๋วของทางค่ายหนังก็ต้องลดลง เพราะราคาตั๋วถูกลง
ปรัชญา: เป็นคำถามที่ดีมาก ผมก็อยากรู้เหมือนกัน แต่พฤติกรรมคนดูหนัง ผมว่าคนดูก็อยากมีแว่นส่วนตัว คนดูน่าจะได้ประโยชน์ เพราะลงทุนครั้งเดียวและไม่ต้องใช้แว่นร่วมกับใคร
Mr.Coffee: ความสำเร็จของพี่มาก...พระโขนง มีผลต่อตลาดหนังไทยในแง่ไหนบ้าง
ปรัชญา: กรณีของพี่มาก...พระโขนง ต้องยอมรับว่าเป็นปรากฏการณ์ทางด้านดี ไม่มีใครในวงการนี้คาดเดาได้ ผมมั่นใจว่า กรณีของพี่มาก...พระโขนง 500 กว่าล้านบาท ผมมั่นใจว่าหนังไทยจะได้เงินระดับ 200 ล้านบาท ง่ายขึ้น ปรากฏการณ์ เหมือนตอนที่ นางนาก หนังของพี่อุ๋ย ทำรายได้แตะ 100 ล้านบาทเรื่องแรกของไทย ก่อนหน้านี้ไม่มีใครเชื่อว่าหนังไทยจะทำรายได้ได้ถึงหลัก 100 ล้านบาท หลังจากนั้นทำให้เริ่มมีหนังไทย 100 ล้าน ได้ง่ายขึ้น ก่อนหน้า พี่มาก...พระโขนง ยังไม่มีหนังไทยเรื่องไหนผ่านหลัก 200 ล้านไปได้ ยกเว้นหนังท่านมุ้ย แต่พอมีปรากฏการณ์พี่มาก...พระโขนงเกิดขึ้น ผมมั่นใจว่า ต่อไปหนังไทยจะผ่านหลัก 200 ล้านได้ง่ายขึ้น
Mr.Coffee: แล้วผลกระทบของพี่มาก...พระโขนง ในแง่ของคนทำหนังล่ะครับ คนดูจะเอาพี่มาก...พระโขนง เป็นตัวตั้งหรือไม่ และคนที่ทำหนังผี หนังตลก หนังรัก จะทำงานยากขึ้นหรือไม่
ปรัชญา: อ๋อ อันนั้นมันเป็นเรื่องธรรมชาติอยู่แล้ว เพราะถึง พี่มาก...พระโขนง จะไม่ได้เงินขนาดนี้ แต่เนื้อหายังเหมือนเดิม ผมก็ถือว่า มาตรฐาน ของหนังผีตลก มันก็ไปขนาดนั้นแล้ว อันนี้เป็นเรื่องปกติ คือคนทำหนังต้องดูหนัง ดูว่าประสบการณ์ของคนดูไปถึงไหนแล้ว คนดูก็มาจากหนังที่คนใหม่สร้างขึ้นมา และถือว่าคนดูได้ดูหนังทุกเรื่องไปแล้ว ดังนั้นถ้าจะทำหนังแนวเดียวกับพี่มาก...พระโขนง ก็ทำให้เจ๋งกว่า อันนั้นเป็นหน้าที่คนทำหนังที่ต้องทำให้ได้อยู่แล้ว ทุกคนจะต้องดีขึ้น เจ๋งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเกิดคุณสู้เขาไม่ได้ ก็ไม่รอด
Mr.Coffee: พี่ปรัชเคยสนใจที่จะทำหนังแนวอื่นนอกจากหนัง Action บ้างหรือไม่
ปรัชญา: ผมสนใจจะทำหนังทุกแนวครับ แต่โอกาสไม่ค่อยดี ไม่ได้ทำสักที ตอนนี้ก็มีแต่ Action อย่างเดียว จริงๆ ตอนนี้ผมเริ่มทำบทหนังเรื่องใหม่ไปแล้ว เป็นหนังผี และจะเป็นหนังผีที่จงใจเล่น 3D พูดง่ายๆ คือทำหนังเพื่อฉาย 4DX เลย คือถ้าจะดูให้สมบูรณ์ ก็ต้องดู 4DX สำหรับหนังผีเรื่องนี้ แล้วก็มีหนังรัก เป็นหนังเพลง ก็คิดว่าจะต้องมีโอกาสได้ทำเร็วๆ นี้แน่ๆ
Mr.Coffee: ถามจริงๆ ว่าพี่ปรัชชอบฟิล์มหรือดิจิทัล
ปรัชญา: ในมุมของผม ดิจิทัล ทำให้การทำงานง่ายขึ้นครับ ตั้งแต่เรื่องวิธีการทำงาน ไม่ต้องเปลี่ยนฟิล์มบ่อยๆ ไม่ต้องโหลดฟิล์มบ่อยๆ เสียเวลา รำคาญ และตอนถ่ายเรามี Monitor ถ้าเป็นฟิล์ม Monitor จะไม่คมชัด มันเป็น Video Assist แต่ถ้าเป็นดิจิทัล ก็จะเป็นสัญญาณ Video ชัดๆ เต็มๆ ผมทำจอใหญ่ยักษ์เลย ทีวีบ้านเราเดี๋ยวนี้ก็มีจอใหญ่ ผมก็เอาจอใหญ่มาเลย ยิ่งดูยิ่งชัด เราก็เห็นข้อผิดพลาดได้ง่าย ส่วนในเรื่องของงาน ผลของภาพที่ออกมา ผมมองว่าไม่แตกต่างกัน ผมว่าเวิร์กกว่าด้วย บางคนมองว่าเรื่องสีไม่ได้ดังใจ แต่จริงๆ แล้วตอนใช้ฟิล์ม ก่อนจะมาเป็นดิจิทัล เขาก็เอาฟิล์มไปแปลงเป็นดิจิทัล แล้วปรับสัญญาณผ่านดิจิทัล แล้วก็ได้สีดังใจ คือผมเป็นคนฝั่งเทคโนโลยี ชอบอยู่แล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่ติดเสน่ห์ของความเป็นฟิล์ม ซึ่งไม่ใช่ผม เพราะผมก็รู้สึกว่า ไม่เห็นจะเป็นไรเลย เผลอๆ ผมท้าทายพวกที่ติดเสน่ห์ของฟิล์มว่า ผมให้คุณมาดูหนังเรื่องหนึ่ง คุณตอบผมได้ไหม ว่าถ่ายด้วยฟิล์มหรือดิจิทัล ถ้าตอบไม่ได้ก็ไม่เห็นจะต้องไปยึดติดอะไร
Mr.Coffee: ใน Hollywood ผู้กำกับแก่ๆ หลายคนกลายเป็นผู้อำนวยการสร้างไปหมด จุดนี้พี่ปรัชคิดยังไง
ปรัชญา: ที่จริง Producer ก็มีหลายแขนงนะครับ มีแบบที่ต้องผลักดันเรื่องต้นทุน หาทุน หาเงิน แต่ถ้าเป็นในแบบที่ผมเป็น Producer ก็ต้องบอกว่า ผมโชคดีที่ผมเป็นผู้กำกับมาก่อน ผมเลยรู้ว่า ผมจะให้ความสำคัญกับความฝันของผู้กำกับ คือเราจะไม่ไปยุ่งกับความฝันเค้ามากนัก หรือไปเปลี่ยนความฝันของเขา ต่อให้ความฝันของเขาเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบก็ตาม ต้องเชื่อว่านั้นคือสิ่งที่เขาชอบ แต่คือผมมองตรงที่ว่า คนนี้น่าจะได้ทำงานชิ้นนี้ หนังมันจะเกิด หรืออีกแบบคือ วงการหนังไทยน่าจะมีหนังแบบนี้ อีกมุมหนึ่งเราก็ต้องมามองเรื่องธุรกิจ กรณีที่เราจะเอาเงินทุนมาสร้าง ว่าเรามองว่าหนังเรื่องนี้วางไว้ตรงไหนของตลาด บางทีเราไม่ต้องทำหนังที่ได้เงินเยอะตลอด หนังที่ได้เงินน้อย ก็ต้องทำ แต่ที่แน่ๆ คือ เราต้องมองว่าหนังไม่ขาดทุน อันนี้ต้องระวังให้ผู้ลงทุน แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ผมทำหนังเยอะมาก หนังเรื่องนี้ผมก็รู้ว่าหนังไม่ได้เงิน อาจจะขาดทุนด้วยซ้ำ แต่อยากให้มันเกิดก็มี พูดง่ายๆ ผมจะรักษาความเป็นผู้กำกับคนนั้นให้มากที่สุด รักษาความฝันของเขาให้มากที่สุด ผมเป็น Producer ที่จบลงบนโต๊ะ ไม่ไปที่กองถ่าย ไม่ไปยุ่ง แต่เพียงว่าบางทีสิ่งที่เขาคิดมาผมก็เอาเข้าไปเติม แต่เติมเพื่อตอบผลทางธุรกิจ เติมเท่าที่ผู้กำกับจะโอเคได้ เช่น ใส่อารมณ์ขันเพิ่ม หรือปรับเรื่องตัวแสดง แต่ถ้าสัมผัสได้ว่าผู้กำกับไม่เอาหรือไม่ชอบ ผมก็จะไม่ฝืน ไม่บังคับ
Mr.Coffee: ตลาดหนังไทยในต่างประเทศปัจจุบันเป็นอย่างไร เปิดกว้างมากขึ้นมากกว่าสมัยองค์บากหรือต้มยำกุ้งหรือไม่
ปรัชญา: มากกว่าครับ อย่างเมื่อก่อนเคยมีคนบอกว่า ถ้าจะทำหนังไปขายต่างประเทศ ต้องทำหนังมวยไทยอย่างเดียวเท่านั้น แต่สมัยนี้ หนังรักของเรา คนก็เริ่มยอมรับ และหนังที่กลายเป็นลายมือของเราแล้วก็คือหนังผี ว่าหนังผีไทยมันน่ากลัว เลยไปได้เยอะ แต่ก็อยู่ที่แต่ละประเทศ แต่ละโซนด้วย ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับเรา ผมเคยทำข้อมูลเรื่องทัศนคติของตลาดต่างประเทศ โดยเน้นไปที่ Hollywood พบว่าขึ้นอยู่กับทัศนคติจริง เคยสงสัยไหมว่าทำไมถึงซื้อลิขสิทธิ์หนังของเราไป แต่ไม่ไปฉายวงกว้างแต่เอาไป Remake อย่างเช่น ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ เขาดูแล้วชอบมาก ว่าดีๆ แต่ไม่สามารถเอาไปฉายโต้งได้ เพราะเป็นดาราไทยเล่น เขาต้อง Remake คือทัศนคติคนดูหนังส่วนใหญ่ของเขายังไม่ยอมรับเรา เพราะฉะนั้น เขาจะไม่ยอมเสียเงินมาดูหนังที่คนไทยเล่น แต่กรณี องค์บาก ต้มยำกุ้ง นั้นเป็นกรณีพิเศษ เพราะเป็นความสามารถเฉพาะตัว Remake ไม่ได้ พวกที่ Remake ได้ Remake หมด หาบทที่เขาชอบ เอาตัวละคร ที่เป็นกลิ่น เป็นรสชาติของเขา ใส่เข้าไป และการมองว่าเขามองคนต่างชาติยังไงมันอยู่ในหนัง เช่น คนญี่ปุ่นก็จะเป็นนักธุรกิจ คนจีนคนอาหรับก็จะเป็นตัวร้าย คนเกาหลีก็บันเทิงๆ คนอินเดียก็พวกนักคอมพิวเตอร์ แต่พอคนไทย โน่นโสเภณีเลย ไม่นับหนังที่มาถ่ายทำในเมืองไทยแล้วเอาคนไทยเล่นเป็นไทยนะ ส่วนใหญ่พอถ่ายเราก็เป็นโสเภณี ก็เค้ามองเราอย่างนั้น เป็นโจรยังไม่ได้เลย โจรต้องมีบารมี อย่างคนเม็กซิกันส่วนใหญ่ก็จะเป็นแรงงานข้ามชาติ ขนของเถื่อน ขายยา มาเป็นคนใช้ ของไทยเป็นคนใช้ยังไม่ได้เลย เหมือนว่าเขาไม่กล้าปล่อยลูกไว้กับเรา เป็นเพราะว่าเราไม่เคยทำอะไรให้เขายอมรับ การยอมรับเกิดจาการสร้างอะไรให้แก่โลก หรือเก่งด้านไหนจริงๆ ดังนั้นเขามองเราไม่ขึ้นแน่ๆ เหมือนเราลองนึกถึงประเทศที่เราไม่ยอมรับ แล้วมีหนังที่ดีที่สุดของเขามาให้เราดู แล้วเราดูไหม แต่พอไปดูเราจะขำ เราจะมีอคติไปหมด ดังนั้นจึงไม่มีใครมาดูหนังไทย
Mr.Coffee: พี่ปรัชชอบดูหนังแนวไหน
ปรัชญา: ดูทุกแนวครับ แต่หนังอินดี้จะดูน้อย จะค่อนข้างเลือกดู หนังไทยที่ผมชื่นชอบก็จะเก่าหน่อย ส่วนใหญ่เป็นหนังของท่านมุ้ย เช่น ทองพูนโคกโพ มือปืน ครูสมศรี เสียดาย หรือท่านอื่นก็เช่น แผลเก่า ของพี่เชิด ทรงศรี หลังจากนั้นก็หนังของพี่อังเคิ่ล พี่ปื๊ด เช่น ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย ฉลุย หรือนางนาก ของพี่อุ๋ย ผมก็ชอบ ถ้ายุคใหม่เลย ก็เพื่อนสนิท แฟนฉัน หรือล่าสุดก็ พี่มาก...พระโขนงครับ
Mr.Coffee: คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากทำหนังไทย หรืออยากจะเข้ามาสู่ในวงการ
ปรัชญา: ผมจะตอบอยู่ 2 แบบนะครับ แบบแรก คำตอบคือ ถ้ารักจริง จะไม่ถามคำถามนี้ หมายถึงไม่ต้องแนะนำก็ได้ ถ้ารักจริงก็จะไปได้เอง เปรียบเสมือนไปรักผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้ารักจริง เราจะหาทางพิชิตใจเขาให้ได้ ถ้าเกิดเรายอมแพ้เมื่อไร แปลว่าเรารักไม่พอ ส่วนคำตอบอีกแบบหนึ่งคือก็ ดูหนังเยอะๆ และศึกษาข้อมูลในวงการว่าใครทำอะไรกันบ้าง สำหรับไอเดียหนังของเรา ต้องหาไอเดียที่ดี Present เป็น ต้องรู้ว่าจะ Present หนังให้นายทุนฟังยังไงให้สนใจ ไม่จำเป็นต้องไปเล่ายืดยาว เล่าสั้นๆ เอาจุดที่น่าสนใจบางอย่างไปให้เขาฟัง ส่วนเรื่องเขียนบทไปยื่น ผมว่ายาก ยากตรงหาคนอ่านบท เอาไอเดียสั้นๆ เลยว่าหนังคุณน่าสนใจตรงไหน Present ให้น่าสนใจในเวลาสั้นๆ ถ้ามันแรงจริง แล้วเค้าตาถลนอยากได้ขึ้นมา มั่นใจได้เลยว่าหนังเราสำเร็จแน่ๆ เพราะขนาดเขายังรู้สึกขนาดนี่ถ้าทำเป็นหนังต้องน่าสนใจแน่ๆ ทำหนังดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องทำหนังให้น่าดูด้วย ถ้าคุณทำหนังดี แต่ไม่น่าดู หรือดูไม่สนุก ต่อให้ดีอย่างไรก็เจ๊ง แม้ว่าจะดีแค่ไหนก็ตาม