ม็อคค่าปาท่องโก๋ : กระทบไหล่ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” เจ้าพ่อ 3D คนแรกของไทย (ตอนแรก)

สวัสดีครับ

      ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ

เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1113

กระทบไหล่ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” เจ้าพ่อ 3D คนแรกของไทย

     “เนชั่นสุดสัปดาห์” และ “ม็อคค่า ปาท่องโก๋” ได้รับเกียรติอย่างยิ่งจากผู้กำกับหนังมือวางอันดับหนึ่งของไทย ผู้ที่เคยพาหนังไทย “ต้มยำกุ้ง” ไปติดอันดับ Box Office ในอเมริกามาแล้ว นั่นก็คือ “ปรัชญา ปิ่นแก้ว” กลับมาคราวนี้มาพร้อมกับภาพยนตร์แนวแอ็กชั่นภาคต่อ “ต้มยำกุ้ง 2” บทสัมภาษณ์จะดุเด็ดเผ็ดมันแค่ไหน เชิญติดตามอ่านได้เลยครับ!

Mr.Coffee: ต้มยำกุ้ง 2 สามมิติ เริ่มแผนการสร้างตั้งแต่เมื่อไร
ปรัชญา: Project  ต้มยำกุ้ง ภาค 2 มาเริ่มต้นจริงๆ เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ช่วงนั้นผมกำลังเตรียม Project หนัง ช็อกโกแลต ภาค 2 ก็คือทำบทเสร็จแล้ว หนังเรื่องนี้ต้องถ่ายทำที่ญี่ปุ่นทั้งเรื่อง ก็อยู่ในช่วงเตรียมจะไปดู Location ญี่ปุ่นก็มีปัญหาเรื่องสึนามิพอดี เลยต้องพับ Project ก็เลยเคว้ง ทางเสี่ยเจียง ก็เสนอว่า ทำไมไม่ทำงานร่วมกับ “จา พนม” คือ “ต้มยำกุ้ง ภาค 2” ก็เริ่มเรื่องบทจนปัจจุบันถ่ายทำเสร็จเรียบร้อยใช้เวลา 2 ปี ค่อนข้างนาน ปกติหนังทั่วไปใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี ประมาณ 7-8 เดือน

Mr.Coffee: ระยะเวลาที่ใช้ในการถ่ายทำต้มยำกุ้ง 2
ปรัชญา: ใช้เวลา 111 วันในการถ่ายทำครับ ปกติหนังทั่วไปใช้แค่ ประมาณ 10 – 30 วัน เท่านั้น แต่ก็เป็นการถ่ายไปหยุด บางช่วงหยุดถึง 2 เดือน เป็นช่วงที่ “จา” บาดเจ็บ และแต่งงาน ก็หยุดไป 1 เดือน

Mr.Coffee: ต้มยำกุ้ง 2 มีแผนที่จะถ่ายทำเป็น 3D ตั้งแต่แรกหรือไม่
ปรัชญา: ตั้งแต่แรกเลยครับ ตั้งแต่ตอนที่จะทำ ช็อกโกแลต 2 แล้ว เพราะผมมองว่าน่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม และผมก็มีความสนใจเป็นพิเศษกับระบบ 3D

Mr.Coffee: พี่ปรัชเป็นคนแรกของไทยที่ทำ MV สามมิติ คือเพลง “นานแสนนาน” ของ Hi-rock
ปรัชญา: ส่วนตัวผมสนใจเรื่อง 3D มาตั้งแต่ตอนเรียนหนังสือแล้ว เคยฝึกถ่ายรูปและเรียนรู้ด้วยตัวเองด้านการถ่ายภาพเป็น 3D มาด้วย พอมีโอกาสได้ทำ MV เพลง “นานแสนนาน” ของ Hi-rock ต้องบอกว่า จริงๆ 3D ในปัจจุบันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในระบบโทรทัศน์ปกติ ต้องมีการเปลี่ยนระบบดังนั้น ในสมัยนั้น ไม่มีทางเลยที่จะทำให้เป็น 3D ได้ แต่บังเอิญผมไปเห็นระบบ 3D ระบบหนึ่งที่ญี่ปุ่นและอเมริกา เป็นการถ่ายทำ 3D โดยใช้กล้องแค่ตัวเดียว เป็นวิทยาการใหม่ในตอนนั้น เลยทดลองทำดู แต่เป็นคนละระบบกับ 3D ในปัจจุบัน การดูต้องใช้ แว่นกันแดด ถอดเลนส์ออก 1 ข้าง เป็นระบบที่ประหลาดมาก ปัจจุบันไม่ค่อยมีใช้กันแล้วเพราะยุ่งยากและมีข้อจำกัด เพราะภาพต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลา ถึงจะดูเป็น 3D พอภาพนิ่งจะกลายเป็น 2D ดังนั้นจึงไม่เหมาะในการนำมาทำเป็นหนัง เพราะถึงอย่างไร ในหนังก็ต้องมีการแช่กล้องเป็นภาพนิ่งอยู่บ้าง

Mr.Coffee: อยากขอความรู้เรื่อง 3D
ปรัชญา: 3D ในปัจจุบันจะแตกต่างกับในสมัยตอนที่ผมยังเป็นเด็ก  สมัยนั้น นานๆ ครั้งจะมีการสร้างหนัง 3D สักเรื่องหนึ่ง เป็นพิเศษขึ้นมา และคนจะไปดูเพราะความเป็น 3D คนดูไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเรื่องราวของหนังเป็นอย่างไร ไปดูเพราะความเป็น 3D เท่านั้น  แต่ว่าปัจจุบันเปลี่ยนไปเพราะทำในหนังได้ทุกเรื่อง และไม่ได้เน้นสิ่งที่จะพุ่งเข้าใส่คนดู หรือการเล่นกับคนดู จะเป็นแนวลึก มีมิติ สมจริงมากกว่า ที่จริงส่วนตัวผมชอบเล่นกับคนดู และผมเชื่อว่าคนดูส่วนใหญ่ เข้าใจว่า 3D จะเป็นแบบพุ่งเข้าหาคนดู แล้วทำไม Hollywood หนังของ “เจมส์ คาเมรอน” ของ “สตีเว่น สปิลเบิร์ก” ถึงไม่ค่อยเน้น ปัจจุบัน ผมก็ยังไม่ได้คำตอบที่แท้จริง แต่มีอยู่คำตอบหนึ่งที่เคยได้มาตั้งนานแล้วว่า หนังที่ดูในโรงเป็น 3D พอทำเป็น DVD เป็น 2D มันจะเสียไวยากรณ์หนัง อย่างเช่นฉากที่พุ่งออกมา พอดูเป็น 3D ทำไมต้องมีเฟรมภาพที่แช่อยู่อย่างนั้น มันจะสื่ออะไร ตรงนี้อาจจะเป็นคำตอบหนึ่งก็ได้ ดังนั้นพอผมมาทำต้มยำกุ้ง เลยต้องประนีประนอมทั้ง 2 แบบ ใช้แบบที่เล่นกับคนดูเท่าที่จำเป็นเท่านั้น

Mr.Coffee: “ต้มยำกุ้ง ภาค 2” พร้อมโกอินเตอร์อีก
ปรัชญา: แน่นอนครับ เพราะเรามีตลาดรออยู่แล้ว เพราะต้มยำกุ้งภาค 1 ไปได้ไกลมาก ได้ฉายกว่า 50 ประเทศ ตอนเปิดตัวที่อเมริกา ขึ้นติดอันดับถึง Box Office อันดับ 4 เป็นสถิติที่ช็อกมากๆ ไม่เคยคิดว่าหนังไทยจะไปได้ถึงตรงนั้น และมีแฟนๆ ของงานเรารออยู่แล้ว ต้องคิดถึงพวกเขาเลย และยิ่งเราเคยได้ไปสัมผัสเขาเหล่านั้น บอกได้เลยว่าคนดูหนังแต่ละที่รู้สึกอย่างไร ปฏิกิริยาตอบรับเป็นอย่างไร แตกต่างกันอย่างไร บางประเทศ ยิ่งรุนแรงยิ่งสะใจ ส่วนบางประเทศ รุนแรงมากๆ รับไม่ได้ เราจึงต้องมาปรับให้เหมาะสม หารสชาติให้มันพอดีๆ

Mr.Coffee: ผู้ชมจะพบอะไรที่แปลกใหม่แตกต่างไปจาก องค์บากและต้มยำกุ้งบ้าง
ปรัชญา: โทนหนังคล้ายเดิม ตัวละครเดิม เรื่องราวใหม่ ส่วนที่แตกต่างไปจากเดิมคือ ฉาก Action เพราะเราทำหนัง Action ต่อให้บทดีแค่ไหน แต่ฉาก Action ห่วย ก็คงไม่มีคนดูแน่ เรื่องนี้เราจึงเน้นตรงฉาก Action

Mr.Coffee: จะมีฉาก Long-take แบบที่เคยทำในต้มยำกุ้งหรือไม่
ปรัชญา: ตอนแรกมีครับ เป็น Long-take ที่ไม่ซ้ำทางด้วย เป็นแบบที่ใช้กล้องแทนสายตา โดยเอากล้อง 3D ไปติดที่คน

Mr.Coffee: หมายถึงว่าเป็นมุมมองแบบบุคคลที่ 1 ใช่ไหมครับ
ปรัชญา: ใช่ครับ โดยเอามาบวกกับ Free running เลื่อนไหลตามดาดฟ้าตึก แต่มาเจอข้อจำกัดว่า มันปวดตา เพราะพบว่าทีมงานกว่าครึ่งมีปัญหาในการดู แค่ใน Monitor เล็กๆ ยังมึน ส่วนผมเป็นพวกไม่เป็นไร พอไปทดลองฉายจอใหญ่ ไม่ไหวครับ หลายคนทนดูจนจบไม่ได้ ชั่งใจอยู่นาน พยายามฟังเสียงจากคนส่วนใหญ่ สุดท้ายพบว่า คนส่วนใหญ่ไม่เอา เลยต้องตัดออกเหลือแค่สั้นๆ สั้นจนไม่เรียกว่า Long-take แล้ว แต่ตั้งใจว่าจะเอาไปใส่ไว้ใน DVD  special feature ให้ได้ดูกันแทน

Mr.Coffee: เทคนิคด้านการต่อสู้ของ “จา พนมใน” เปลี่ยนแปลงจากต้มยำกุ้ง ภาคแรก มากน้อยแค่ไหน
ปรัชญา: เรื่องนี้ขัดกับหลักความเป็นจริงเพราะที่จริงแล้ว ถ้าคนเราชำนาญวิธีการต่อสู้แบบไหน ก็มักจะใช้แบบนั้น แต่ในหนังถ้าใช้ท่าเดิม คนดูก็ไม่ดูแล้ว เราต้องใส่ท่าใหม่ๆ ลงไป บางครั้งก็เป็นท่าเดิมแต่เปลี่ยนองค์ประกอบใหม่ เพราะเราถือว่าคนดูไม่ได้เรียนมวยมา จำท่าเดิมไม่ได้ เป็นวิธีที่เราใช้บ่อย ปรับฉาก ปรับสถานที่ อย่างฉาก Action ในเรื่องนี้ ทาง “จา พนม” เป็นคนออกแบบเอง แต่ทาง “พันนา ฤทธิไกร” เป็นดูแลทั้งหมดอีกที อีกฉากหนึ่งที่น่าสนใจคือ ใช้ผ้าขาวม้าไทย ใช้เป็นอาวุธในการสู้ ผมว่ามันดูไทยๆ ดี และเราต่างก็รู้ว่า ผ้าขาวม้าไทยใช้ประโยชน์ได้รอบตัว ทำอะไรก็ได้ ผมว่าน่าจะเป็นภาพที่แปลกและน่าสนใจ ส่วน Action ที่ไม่ใช่การต่อสู้ เป็นประเภทขับรถ ความเร็ว ขับรถไล่ล่า เราก็มี อย่างตอน “องค์บาก” เรามีรถตุ๊กตุ๊ก ใน “ต้มยำกุ้ง” เป็นเรือหางยาว ส่วนภาคนี้จะเป็นอะไร ขออุบไว้ก่อน แต่รับรองว่าได้เห็นภาพแนวใหม่ๆ หรือประเภทงานเสี่ยงตายเรายังมีเหมือนเดิม

Mr.Coffee: ยังคงคอนเซ็ปต์ ไม่ใช้สลิง ไม่ใช้สแตนด์อิน อยู่เหมือนเดิมหรือเปล่าครับ
ปรัชญา: ยังเหมือนเดิมครับ เล่นจริง เจ็บจริง แต่เราไม่ได้ไปตอกย้ำ เพราตอนนี้คนยอมรับแล้ว แต่ทุกครั้งที่เราใช้สลิงหรือใช้ CG เราจะไม่ไปยุ่งกับความสามารถของเขา เช่น เราจะไม่ใช่สลิงทำให้เขากระโดดสูง การกระโดดที่เห็นเป็นความสามารถจริงๆ แต่ใช้เพื่อเซฟกันตกกันพลาด หรือใช้ CG ทำให้ดูว่าตีลังกาได้มากขึ้น แต่เอาไปทำฉากประกอบเพื่อความสวยงามมากกว่า ของเรามันต้อง Realistic จะว่าไปแล้วเราก็ใช้สลิง ใช้ CG มาตั้งแต่ภาคแรกแล้ว แต่เป็นการใช้เพื่อเซฟ หรือเพื่อองค์ประกอบ แต่ไม่ได้ไปเพิ่มความสามารถ หรือจริงๆ ตัวแสดงแทนก็ใช้ แต่ไม่ได้เอาตัวแสดงแทนไปเล่นแทนว่าเก่ง เราใช้ในฉากที่ต้องเจ็บตัว เช่นโดนถีบกระเด็นไปกระแทกฝา เราก็ใช้เพื่อเซฟนักแสดง เพราะผมอยากเห็นภาพแรงๆ

Mr.Coffee: ในฐานะที่พี่ปรัชอยู่ตรงกลางระหว่างเสี่ยเจียงกับจา พี่มีความรู้สึกอย่างไร
ปรัชญา: ในฐานะที่เป็นคนทำหนัง ก็รู้สึกไม่ชอบที่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้น เพราะเมื่อย้อนคิดไปถึงวันที่เราเริ่มต้นทำหนังมาด้วยกัน มันเป็นภาพที่สวยงามมาก ทุกคนมีฝันแล้วเอามารวมกัน ผมนึกถึงงานสร้างสรรค์ด้านอื่นๆ ที่ผู้สร้างสรรค์ได้สิทธิ์ในงานสร้างสรรค์นั้นไปตลอดชีวิต  เพราะว่าทุกคนช่วยกัน ไม่ใช่ว่าเขาสำเร็จรูปมาแล้ว ดีอยู่แล้ว แล้วบริษัทมาเซ็นสัญญา ถ้าอย่างนั้นจบหนังก็จบกันไป แต่ตอนเริ่มมา เขาไม่ได้เป็นอย่างนี้ ตอนเริ่มต้น มวยไทยก็ยังไม่เป็น เป็นแต่กังฟูหรือเป็นแต่มวยจีนมา แล้วพวกเราใส่มวยไทยเข้าไป ใส่ไอเดียเข้าไป ท่ามกลางการคัดค้านของคนในสังคมที่พอบอกว่ามวยไทย ก็เมินหน้าหนีกันหมด เราก็มองว่าเราเป็นผู้สร้างสรรค์ร่วมกัน แต่ทำไมปัจจุบันถึงต้องกลายเป็นแบบนี้  มีเรื่องอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง ก็รู้สึกไม่ค่อยชอบ ขออนุญาตตัดพ้อนิดๆ ส่วนในฐานะผลกระทบต่อตัวหนัง ผมก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เพราะปัญหามันเกิดขึ้นบ่อย จึงขอโฟกัสที่ตัวงานดีกว่า เพราะถ้าหนังน่าดู ยังไงคนก็ดู

Mr.Coffee: งบประมาณที่ใช้สร้างต้มยำกุ้ง 2 บานปลายไหม
ปรัชญา: งบในส่วน Production ประมาณ 200 ล้านบาท ไม่รวมงบด้าน CG ซึ่งตอนแรกตั้งไว้ที่ประมาณ 200 ล้านบาทเหมือนกัน แต่ตอนนี้เลยไปที่ 300 กว่าล้านบาทแล้ว ถ้าเราไม่มีตลาดต่างประเทศ เราไม่กล้าลงทุนขนาดนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ว่าเราขายล่วงหน้าไปก่อน แม้จะมีคนจองไว้แล้วเหมือนกัน ก็ทำให้เรามั่นใจกล้าลงทุนทำฉากใหญ่ได้ แต่ถ้าเทียบกับ Hollywood จริงๆ ก็แค่นิดเดียว คนละเรื่องกันเลย ยิ่งลงทุนมากยิ่งเห็นผล

Mr.Coffee: เป็นการลงทุนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์การสร้างหนังไทยแล้วหรือไม่
ปรัชญา: “นเรศวร” ของ “ท่านมุ้ย” น่าจะสูงกว่า แต่ถ้าคิดออกมาเป็นต่อเรื่อง เป็นไปได้ที่เรื่องนี้น่าจะสูงที่สุดแล้ว

Mr.Coffee: คาดเดารายได้ของหนังไว้อย่างไร
ปรัชญา: เรื่องนี้เคยทำรายได้อันดับที่ 1 ของหนังไทยถ้าไม่นับหนังของ “ท่านมุ้ย” ก็เกือบๆ 190 ล้านบาท ตอนนี้คงเป็นอย่างนั้นได้ยากแล้ว เพราะตอนนั้นยังใหม่และสด มีความหวือหวา ความแปลก แต่ ณ วันนี้มันไม่เฟรชแล้ว แถมมีเรื่องยุ่งๆ มีปัญหาอะไรมากมายเต็มไปหมด เศรษฐกิจก็แย่ คิดว่าแค่ได้ครึ่งหนึ่งของภาคที่แล้วก็ดีใจแล้วครับ
*** ตอนจบครับ http://pantip.com/topic/31133910 ***

ฝากบทความก่อนๆด้วยนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่