ท่ามกลางแสงแดดรำไรตัดกับไอหมอกขุ่นกำจาย เก๋งคันกลางเก่ากลางใหม่กำลังแล่นฉิวบนถนนสายเอเชีย สองข้างทางเต็มไปด้วยป่าเขาลำเนาไพร และสัมผัสอากาศที่เย็นลง ทำให้คนบนรถทราบดีว่าผ่านพ้นโซนอันตรายมาไกลโข แต่ก็ใช่ว่าจะใกล้จุดหมายปลายทางเข้าเสียเมื่อไร ถนนที่ลาดยางเป็นทางยาวไปข้างหน้า ฟ้องชัดว่าระยะทางนั้นคงไม่ใช่เมตร หรือกิโลเมตรกว่าจะเข้าถึงเชียงใหม่
ศศินาตัดสินใจออกจากโรงพยาบาลทันทีที่ถอดสายน้ำเกลือ ถึงแม้แพทย์เจ้าของไข้จะติงว่าควรพักฟื้นอีกสัก 2 วันก็ตาม สภาพของหญิงสาวในตอนนี้ จึงมีผ้าก๊อตขาวพันตรงต้นแขน
“อาการไกลความตายตั้งแยะ ก็ต้องรีบหนีตายสิ จะมัวนอนรอพวกเฮียย้งมาเก็บถึงโรงพยาบาลรึยังไง” หญิงสาวกล่าวกับน่านนทีด้วยความกลัว ตามสัญชาติญาณของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่แค่ไม่เคยหนีตายมาก่อน แต่ไม่เคยแม้กระทั่งสัมผัสกลิ่นคาวเลือดด้วยซ้ำ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้น่านนทียอมจำนนต่อหญิงสาว หลังจากทักท้วงว่าหล่อนยังไม่ควรไปไหน
“ถ้าถึงที่นั่นแล้ว ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกทีก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยังไม่วางใจในระบบกลไกของอีกฝ่าย
“เพลียไหม...ถ้าเพลียก็หลับไปเลยก็ได้” สายตาตวัดวาบเพียงปลาบเดียวไปยังคนข้างๆ ก่อนจะมองตรงไปยังทางข้างหน้า
“เพลีย...แต่หลับไม่ลง” ทัศนียภาพนอกกระจกรถ กระทบความรู้สึกเพียงประสาทการมองเห็น หากไม่ลึกซึ้งถึงสุนทรีย...ใดๆ ของคนเจ็บ
“ชมวิวจนเพลินเลยสิ”
“เราอยู่ไหนกันแล้ว?”
“ไม่แน่ใจ...น่าจะเข้าเขตภาคเหนือแล้วหละ”
“อากาศเย็นนะ หรือว่าอยู่กลางภูเขา?” น่านนทีหัวเราะในลำคอเบาๆ ให้กับคำถามของคนที่ไม่เคยขึ้นเหนือมาก่อน
“ไม่หรอก...ที่นี่เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วหนะสิ แต่ที่ชลบุรีฝนยังตกอยู่เลย” ศศินาพอยิ้มออกบ้าง
“ไม่คิดเลยว่าจะได้มาไกลถึงขนาดนี้”
“เป็นใครก็ไม่คิด”
นัยน์ตาสีสนิมจับจ้องมายังใบหน้าของชายหนุ่มแทน หลังจากที่หล่อนแน่ใจแล้วว่าด้านนอกนั้นคงไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้ตื่นใจ นอกจากภูเขา ต้นไม้ และรถที่สวนทางกันไปมา ก่อนจะปล่อยให้คำพูดใดผ่านออกจากริมฝีปากเล็กบางนั่น
“น่านก็เลยพลอยลำบากไปด้วย”
“ที่นาต้องเป็นแบบนี้ เพราะน่านห่วยแตก ปกป้องนาไม่ได้”
“น่านไม่เคยห่วยแตกในสายตาของนา” น่านนทีเจ็บวาบกับประโยคนั้น ทั้งๆ ที่ควรจะยินดีที่มีคนชม ถ้าหากศศินาทราบว่าตาของตัวเองตายแล้ว หล่อนยังจะคิดว่าเขาไม่ห่วยแตกอยู่หรือไม่
“นา...”
“หืม?...” นัยน์ตาคมเข้มของน่านนที บัดนี้แฝงเลศนัยแปลกแปร่ง จนศศินาเองต้องสะกดนิ่งอยู่ที่แววตาคู่นั้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระพริบตาถี่ หลบเลี่ยง---ซุกซ่อน---สิ่งใดไว้เล่า
“น่านมีเรื่องจะบอก ถ้าถึงเชียงใหม่แล้วจะบอก” หากก็ทิ้งปริศนาไว้เพียงแค่นั้น
หญิงสาวขมวดคิ้วทั้งที่สายตายังจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมคาย ก่อนจะเผลอยิ้มให้กับอีกฝ่ายที่อยู่ไกลจากปลายนิ้วแค่เอื้อม ร้อยวันพันปีไม่เคยเลยที่น่านนทีจะมาเกริ่นอะไรทำนองนี้
“เรื่องอะไรน้า...ชักอยากรู้แล้วหละสิ หรือว่า...ลินเลิกกับวัฒน์แล้ว” หญิงสาวทำเป็นเรื่องตลกไป ทั้งๆ ที่ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าจะได้รับคำตอบแบบไหน ก่อนที่มันจะร่วงลงตาตุ่มเมื่อสะกิดใจได้ว่าหลงรักเขาแค่ฝ่ายเดียว
คนโดนแซวเพียงแต่หัวเราะเลื่อนลอยในลำคอ สายตายังมองไปข้างหน้าเช่นเดิม
“ถ้าลินกับวัฒน์เลิกกัน มันเกี่ยวอะไรกับน่าน?” คำถามที่ย้อนเข้าให้ กลับทำให้หญิงสาวคิดว่ามันชวนงงมากกว่าไอ้เรื่องที่น่านนทีเกริ่นแกร่นอะไรนั่นเสียอีก
“ก็...ก็แบบว่า...” หญิงสาวอึกอัก
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก เอาเป็นว่าจะบอกเมื่อไปถึงจุดหมายแล้ว” น่านนทีตัดบท
“ตามใจน่านก็แล้วกัน...แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันหรอ บ้านพักของน่านหรอ” คนโดนถามส่ายศีรษะแทนคำตอบ
“เราจะไปหาบ้านเช่ากัน ขืนไปอยู่บ้านพัก พวกเฮียย้งตามเจอแน่ สืบเอาแป๊บเดี๋ยวก็รู้”
“นาคิดว่าขายที่ให้เขาไปเถอะ จะอะไรกันนักหนา”
“ขายหรือไม่ขายมีค่าเท่ากันแล้วหละ” น่านนทีเปรยเป็นนัยๆ ทำให้คนฟังชักหัวคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง
“หมายความว่าไง?”
แสงทองของดวงตะวันแผดจ้า ยามเวลาเอนล่วงเข้าสู่ช่วงบ่าย มอบความสว่าง นำทางให้ทุกสรรพสิ่ง หลังจากที่ถูกเมฆดำ และน้ำตาของท้องฟ้าบดบังติดต่อกันหลายวัน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงออกมาจากที่หลบซ่อนเพื่อรับแสงอำพัน ไม่เว้นแต่ปลายยอดของพืชพรรณ ที่ชูชันรับแสงธรรมชาติไว้สังเคราะห์กิ่งใบ
‘เดรัจฉานนั้นไซร้ ต้องการแสงอำไพ ไว้นำทาง แต่มนุษย์จักอ้างว้าง หากไร้ทางสว่าง แห่งใจ...’ เกิดเป็นมนุษย์หรือจะพอแค่ปัจจัย 4
“เฮ้ย!...ตรงนั้นไถให้เรียบเป็นระดับเดียวกันเลย” เสียงสั่งดังแข่งกับรถบดที่กำลังทำลายต้นหญ้าหน้าดินให้พนาราบเป็นหน้ากลอง
“ถึงไหนแล้ว?” ชายในชุดดำแทรกตัวเข้ามาท่ามกลางความวุ่นวาย
“กำลังไถหน้าดินครับ ไม่เกินเดือนคงวางแปลนได้แล้ว”
“อื้ม...” นายชรินธรพอใจกับคำตอบที่ได้รับ พลางสำรวจพื้นที่ที่นายของตนได้มาโดยการใช้อิทธิพลเข้ายึด และเขาก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการนี้ขาดรอย ยิ่งไม่มีไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นคอยขัด เหมือนทุกอย่างจะผ่านฉลุยได้ง่ายดาย และกว่าจะตามหาตัวมันเจอ ที่ตรงนี้คงกลายเป็นอาณาจักรอย่างที่เฮียย้งต้องการไปเรียบร้อย ทางฝ่ายเสี่ยอานนท์ก็เงียบไปอย่างแปลกประหลาด น่าฉงนใจใช่น้อย...
นายชรินธรขมวดคิ้ว ฉุกคิดถึงถิรวัฒน์ขึ้นมาทันใด ‘ไอ้

ที่คลานเข้าไปหาเงินวันนั้น...’ ไม่มีความคืบหน้าใดจากฝ่ายนั้นเลย แต่อย่าหวังว่าจะได้เงินไปฟรีๆ!
“ลูกพี่!...” เสียงเรียกปนสะเทือนตามฝีเท้าที่ลงส้นอย่างเร่งรีบ ทำให้คนที่ขึ้นชื่อว่า ‘ลูกพี่’ ต้องหันขวับไปยังต้นเสียงทันใด
“คุณอัญญาหายตัวไป!”
ความกลัวคืบคลานเข้าสู่ห้องชุดกว้างขวาง มีหญิงหนึ่งกำลังเปิดฝาแอลกอฮอล์ และชายหนึ่งกุมต้นแขนที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงเข้ม
“นี่แค่เป็นการเตือน!” น้ำเสียงราบเรียบ ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึม แฝงไปด้วยอาญาเมื่อครู่ ยังคงติดตาถิรวัฒน์ไม่จาง ลูกน้องของนายชรินธรได้ลงคมมีดอย่างชำนาญที่ต้นแขนของเขาเพื่อ ‘เตือน’
“ลิน...วัฒน์จะทำไงดี?”
“ลินติดต่อพี่น่านไม่ได้เลย” อลินไม่รู้ว่าสมควรดีใจหรือเสียใจที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ขาดการติดต่อกับน่านนที ทำให้หล่อนล้วงความลับมาประเคนคนรักไม่ได้ แต่ดูชะตากรรมของคนรักในตอนนี้สิ จะให้โทษใครเล่า ในเมื่อเขาทำตัวเอง “แล้วจะทำยังไงกันต่อไป!?!” ชายหนุ่มกระแทกเสียงดัง
“ลิน...ไม่รู้”
“ไปถามไอ้เสี่ยอานนท์สิว่าลูกมันอยู่ไหน”
“วัฒน์!...นั่นเค้าเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ทำไมต้องเล่นถึงพ่อด้วย?”
“ก็หรือจะปล่อยให้วัฒน์ตาย!?!” ทุกคำถามร้อนระอุด้วยความกลัวตายอย่างแท้จริง
ทั้งคู่นิ่งงันกันไปในวินาทีนั้น คนที่ไม่เคยพัวพันกับสังคมมืดมาก่อน ย่อมไม่ชำนาญในการคลำทางในที่มืด เว้นเสียว่าจะมีเทียนสักเล่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอลินที่เปรียบเสมือนเป็นเทียนเล่มนั้น ให้แสงสว่างริบหรี่จนมองแทบไม่เห็นทาง วินาทีแรกชายหนุ่มคิดว่าเรื่องมันน่าจะง่าย เพราะมีอลินเป็นนกสองหัวอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ด้วยว่าเคราะห์กรรมบาปใด ที่ทำให้ทุกอย่างมันยากแบบนี้ อีแค่โทรศัพท์หายเครื่องเดียว
“แล้วเราจะทำไงกันดี?” สุดท้ายก็วนกลับมายังคำถามเดิมที่หาคำตอบยากนัก
“ไม่รู้!” ถิรวัฒน์กระแทกจนสุดเสียง
“ทำไมต้องตวาดด้วย! ที่เป็นอยู่นี่วัฒน์ทำร้ายตัวเองนะ!”
“ทำตัวเองงั้นหรอ ลินเคยรู้ไหมว่าวัฒน์เกลียดไอ้น่านนี่เพราะหึงลิน!” หญิงสาวโคลงศีรษะ เบือนหน้าหนีในวินาทีนั้น หากเป็นแต่ก่อน หล่อนคงแอบสำคัญตัวลึกๆ ที่คนรักหึงหวง ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าที่อีกฝ่ายกลัวเสียไป หากตอนนี้กลับตาลปัตร สิ่งที่ถิรวัฒน์ทำคือการเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้ายชัดๆ เหตุที่ว่าหึงนั้นจึงดูน้อยไปสำหรับต้นเรื่องทั้งหมด
ราเอล
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 9)
ศศินาตัดสินใจออกจากโรงพยาบาลทันทีที่ถอดสายน้ำเกลือ ถึงแม้แพทย์เจ้าของไข้จะติงว่าควรพักฟื้นอีกสัก 2 วันก็ตาม สภาพของหญิงสาวในตอนนี้ จึงมีผ้าก๊อตขาวพันตรงต้นแขน
“อาการไกลความตายตั้งแยะ ก็ต้องรีบหนีตายสิ จะมัวนอนรอพวกเฮียย้งมาเก็บถึงโรงพยาบาลรึยังไง” หญิงสาวกล่าวกับน่านนทีด้วยความกลัว ตามสัญชาติญาณของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่ใช่แค่ไม่เคยหนีตายมาก่อน แต่ไม่เคยแม้กระทั่งสัมผัสกลิ่นคาวเลือดด้วยซ้ำ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้น่านนทียอมจำนนต่อหญิงสาว หลังจากทักท้วงว่าหล่อนยังไม่ควรไปไหน
“ถ้าถึงที่นั่นแล้ว ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกทีก็แล้วกัน” ชายหนุ่มยังไม่วางใจในระบบกลไกของอีกฝ่าย
“เพลียไหม...ถ้าเพลียก็หลับไปเลยก็ได้” สายตาตวัดวาบเพียงปลาบเดียวไปยังคนข้างๆ ก่อนจะมองตรงไปยังทางข้างหน้า
“เพลีย...แต่หลับไม่ลง” ทัศนียภาพนอกกระจกรถ กระทบความรู้สึกเพียงประสาทการมองเห็น หากไม่ลึกซึ้งถึงสุนทรีย...ใดๆ ของคนเจ็บ
“ชมวิวจนเพลินเลยสิ”
“เราอยู่ไหนกันแล้ว?”
“ไม่แน่ใจ...น่าจะเข้าเขตภาคเหนือแล้วหละ”
“อากาศเย็นนะ หรือว่าอยู่กลางภูเขา?” น่านนทีหัวเราะในลำคอเบาๆ ให้กับคำถามของคนที่ไม่เคยขึ้นเหนือมาก่อน
“ไม่หรอก...ที่นี่เริ่มเข้าหน้าหนาวแล้วหนะสิ แต่ที่ชลบุรีฝนยังตกอยู่เลย” ศศินาพอยิ้มออกบ้าง
“ไม่คิดเลยว่าจะได้มาไกลถึงขนาดนี้”
“เป็นใครก็ไม่คิด”
นัยน์ตาสีสนิมจับจ้องมายังใบหน้าของชายหนุ่มแทน หลังจากที่หล่อนแน่ใจแล้วว่าด้านนอกนั้นคงไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้ตื่นใจ นอกจากภูเขา ต้นไม้ และรถที่สวนทางกันไปมา ก่อนจะปล่อยให้คำพูดใดผ่านออกจากริมฝีปากเล็กบางนั่น
“น่านก็เลยพลอยลำบากไปด้วย”
“ที่นาต้องเป็นแบบนี้ เพราะน่านห่วยแตก ปกป้องนาไม่ได้”
“น่านไม่เคยห่วยแตกในสายตาของนา” น่านนทีเจ็บวาบกับประโยคนั้น ทั้งๆ ที่ควรจะยินดีที่มีคนชม ถ้าหากศศินาทราบว่าตาของตัวเองตายแล้ว หล่อนยังจะคิดว่าเขาไม่ห่วยแตกอยู่หรือไม่
“นา...”
“หืม?...” นัยน์ตาคมเข้มของน่านนที บัดนี้แฝงเลศนัยแปลกแปร่ง จนศศินาเองต้องสะกดนิ่งอยู่ที่แววตาคู่นั้น ก่อนที่ชายหนุ่มจะกระพริบตาถี่ หลบเลี่ยง---ซุกซ่อน---สิ่งใดไว้เล่า
“น่านมีเรื่องจะบอก ถ้าถึงเชียงใหม่แล้วจะบอก” หากก็ทิ้งปริศนาไว้เพียงแค่นั้น
หญิงสาวขมวดคิ้วทั้งที่สายตายังจ้องอยู่ที่ใบหน้าคมคาย ก่อนจะเผลอยิ้มให้กับอีกฝ่ายที่อยู่ไกลจากปลายนิ้วแค่เอื้อม ร้อยวันพันปีไม่เคยเลยที่น่านนทีจะมาเกริ่นอะไรทำนองนี้
“เรื่องอะไรน้า...ชักอยากรู้แล้วหละสิ หรือว่า...ลินเลิกกับวัฒน์แล้ว” หญิงสาวทำเป็นเรื่องตลกไป ทั้งๆ ที่ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าจะได้รับคำตอบแบบไหน ก่อนที่มันจะร่วงลงตาตุ่มเมื่อสะกิดใจได้ว่าหลงรักเขาแค่ฝ่ายเดียว
คนโดนแซวเพียงแต่หัวเราะเลื่อนลอยในลำคอ สายตายังมองไปข้างหน้าเช่นเดิม
“ถ้าลินกับวัฒน์เลิกกัน มันเกี่ยวอะไรกับน่าน?” คำถามที่ย้อนเข้าให้ กลับทำให้หญิงสาวคิดว่ามันชวนงงมากกว่าไอ้เรื่องที่น่านนทีเกริ่นแกร่นอะไรนั่นเสียอีก
“ก็...ก็แบบว่า...” หญิงสาวอึกอัก
“ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก เอาเป็นว่าจะบอกเมื่อไปถึงจุดหมายแล้ว” น่านนทีตัดบท
“ตามใจน่านก็แล้วกัน...แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันหรอ บ้านพักของน่านหรอ” คนโดนถามส่ายศีรษะแทนคำตอบ
“เราจะไปหาบ้านเช่ากัน ขืนไปอยู่บ้านพัก พวกเฮียย้งตามเจอแน่ สืบเอาแป๊บเดี๋ยวก็รู้”
“นาคิดว่าขายที่ให้เขาไปเถอะ จะอะไรกันนักหนา”
“ขายหรือไม่ขายมีค่าเท่ากันแล้วหละ” น่านนทีเปรยเป็นนัยๆ ทำให้คนฟังชักหัวคิ้วเข้าหากันอีกครั้ง
“หมายความว่าไง?”
แสงทองของดวงตะวันแผดจ้า ยามเวลาเอนล่วงเข้าสู่ช่วงบ่าย มอบความสว่าง นำทางให้ทุกสรรพสิ่ง หลังจากที่ถูกเมฆดำ และน้ำตาของท้องฟ้าบดบังติดต่อกันหลายวัน สิ่งมีชีวิตทั้งหลายจึงออกมาจากที่หลบซ่อนเพื่อรับแสงอำพัน ไม่เว้นแต่ปลายยอดของพืชพรรณ ที่ชูชันรับแสงธรรมชาติไว้สังเคราะห์กิ่งใบ
‘เดรัจฉานนั้นไซร้ ต้องการแสงอำไพ ไว้นำทาง แต่มนุษย์จักอ้างว้าง หากไร้ทางสว่าง แห่งใจ...’ เกิดเป็นมนุษย์หรือจะพอแค่ปัจจัย 4
“เฮ้ย!...ตรงนั้นไถให้เรียบเป็นระดับเดียวกันเลย” เสียงสั่งดังแข่งกับรถบดที่กำลังทำลายต้นหญ้าหน้าดินให้พนาราบเป็นหน้ากลอง
“ถึงไหนแล้ว?” ชายในชุดดำแทรกตัวเข้ามาท่ามกลางความวุ่นวาย
“กำลังไถหน้าดินครับ ไม่เกินเดือนคงวางแปลนได้แล้ว”
“อื้ม...” นายชรินธรพอใจกับคำตอบที่ได้รับ พลางสำรวจพื้นที่ที่นายของตนได้มาโดยการใช้อิทธิพลเข้ายึด และเขาก็ได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการนี้ขาดรอย ยิ่งไม่มีไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นคอยขัด เหมือนทุกอย่างจะผ่านฉลุยได้ง่ายดาย และกว่าจะตามหาตัวมันเจอ ที่ตรงนี้คงกลายเป็นอาณาจักรอย่างที่เฮียย้งต้องการไปเรียบร้อย ทางฝ่ายเสี่ยอานนท์ก็เงียบไปอย่างแปลกประหลาด น่าฉงนใจใช่น้อย...
นายชรินธรขมวดคิ้ว ฉุกคิดถึงถิรวัฒน์ขึ้นมาทันใด ‘ไอ้
“ลูกพี่!...” เสียงเรียกปนสะเทือนตามฝีเท้าที่ลงส้นอย่างเร่งรีบ ทำให้คนที่ขึ้นชื่อว่า ‘ลูกพี่’ ต้องหันขวับไปยังต้นเสียงทันใด
“คุณอัญญาหายตัวไป!”
ความกลัวคืบคลานเข้าสู่ห้องชุดกว้างขวาง มีหญิงหนึ่งกำลังเปิดฝาแอลกอฮอล์ และชายหนึ่งกุมต้นแขนที่ชุ่มโชกไปด้วยโลหิตสีแดงเข้ม
“นี่แค่เป็นการเตือน!” น้ำเสียงราบเรียบ ภายใต้ใบหน้าเคร่งขรึม แฝงไปด้วยอาญาเมื่อครู่ ยังคงติดตาถิรวัฒน์ไม่จาง ลูกน้องของนายชรินธรได้ลงคมมีดอย่างชำนาญที่ต้นแขนของเขาเพื่อ ‘เตือน’
“ลิน...วัฒน์จะทำไงดี?”
“ลินติดต่อพี่น่านไม่ได้เลย” อลินไม่รู้ว่าสมควรดีใจหรือเสียใจที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ขาดการติดต่อกับน่านนที ทำให้หล่อนล้วงความลับมาประเคนคนรักไม่ได้ แต่ดูชะตากรรมของคนรักในตอนนี้สิ จะให้โทษใครเล่า ในเมื่อเขาทำตัวเอง “แล้วจะทำยังไงกันต่อไป!?!” ชายหนุ่มกระแทกเสียงดัง
“ลิน...ไม่รู้”
“ไปถามไอ้เสี่ยอานนท์สิว่าลูกมันอยู่ไหน”
“วัฒน์!...นั่นเค้าเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ ทำไมต้องเล่นถึงพ่อด้วย?”
“ก็หรือจะปล่อยให้วัฒน์ตาย!?!” ทุกคำถามร้อนระอุด้วยความกลัวตายอย่างแท้จริง
ทั้งคู่นิ่งงันกันไปในวินาทีนั้น คนที่ไม่เคยพัวพันกับสังคมมืดมาก่อน ย่อมไม่ชำนาญในการคลำทางในที่มืด เว้นเสียว่าจะมีเทียนสักเล่มหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอลินที่เปรียบเสมือนเป็นเทียนเล่มนั้น ให้แสงสว่างริบหรี่จนมองแทบไม่เห็นทาง วินาทีแรกชายหนุ่มคิดว่าเรื่องมันน่าจะง่าย เพราะมีอลินเป็นนกสองหัวอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่รู้ด้วยว่าเคราะห์กรรมบาปใด ที่ทำให้ทุกอย่างมันยากแบบนี้ อีแค่โทรศัพท์หายเครื่องเดียว
“แล้วเราจะทำไงกันดี?” สุดท้ายก็วนกลับมายังคำถามเดิมที่หาคำตอบยากนัก
“ไม่รู้!” ถิรวัฒน์กระแทกจนสุดเสียง
“ทำไมต้องตวาดด้วย! ที่เป็นอยู่นี่วัฒน์ทำร้ายตัวเองนะ!”
“ทำตัวเองงั้นหรอ ลินเคยรู้ไหมว่าวัฒน์เกลียดไอ้น่านนี่เพราะหึงลิน!” หญิงสาวโคลงศีรษะ เบือนหน้าหนีในวินาทีนั้น หากเป็นแต่ก่อน หล่อนคงแอบสำคัญตัวลึกๆ ที่คนรักหึงหวง ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าที่อีกฝ่ายกลัวเสียไป หากตอนนี้กลับตาลปัตร สิ่งที่ถิรวัฒน์ทำคือการเอาชีวิตไปแขวนบนเส้นด้ายชัดๆ เหตุที่ว่าหึงนั้นจึงดูน้อยไปสำหรับต้นเรื่องทั้งหมด