________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๗ ...]
http://pantip.com/topic/30128977
ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************
บทที่ ๘
หลังจากรับตำแหน่งใหม่มาได้หลายวัน สัตยาก็เริ่มชินชากับระบบเช้าชามเย็นชาม ทั้งเรื่องความเคร่งครัดในเวลาเข้าออก และเรื่องระยะเวลาของการงานที่ได้รับมอบหมาย
เมื่อเร่งรัดอยู่ฝ่ายเดียว แล้วก็เกิดการหาเหตุบ่ายเบี่ยงกันไปต่างๆ นานา หนักเข้าเขาก็ต้องรามือไปเอง หลังจากกำชับสองครั้งสามครั้ง ก็ต้องปล่อยให้เลยตามเลย
ส่วนตัวเอง หลังจากคล้ายมีเรื่องวุ่นวายเพิ่มขึ้นทุกวี่วัน การงานที่เคยเข้าออกตรงเวลา ความมุมานะมุ่งมั่น ก็อ่อนล้าคลายความเข้มงวดลงไป
ยิ่งเห็นว่าปราโมทย์ ญาติผู้พี่ของภรรยา ที่รับหน้าที่ในกระทรวงใหญ่กว่าสำคัญกว่า ยังร่อนตะลอนไปทั่วได้ทั้งที่อยู่ในเวลาราชการ ตนก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจต้องทำตัวตามภาษิต “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” เสียบ้างกระมัง
ดูอย่างเมื่อหลังเที่ยง ทั้งที่เป็นเวลางานช่วงบ่าย กลับขึ้นมาในห้องทำงาน นั่งให้ข้าวกลางวันเรียงเม็ดได้พักเดียว ปราโมทย์ก็โผล่เข้ามา
“ผมทบทวนจนแน่ใจแล้วนะ คงไม่มีใครขโมยภาพวาดนั่นไปหรอก”
บทสนทนาก็ยังไม่พ้นเรื่องเดิม คือการหายไปของภาพวาดจากกระดาษหนังมนุษย์ภาพนั้น
“พี่ปราโมทย์นึกได้อย่างนั้นผมก็ยินดีด้วย ข้าคนในบ้านมันจะได้สบายใจ”
“ก็นั่นน่ะซี คืนนั้นไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง ไอ้สองคนนั่นมันก็รับใช้ไว้ใจมานาน เรื่องแบบนี้ผมไม่ยอมให้มาเสียคนกันเองหรอก”
“ใช่ครับ ผมเห็นด้วย เรื่องรูปวาดเรื่องกระดาษอะไรนั่น หากพี่ปราโมทย์อยากให้ผมรับใช้อะไรอีก ก็ยินดีเสมอ”
“แต่ที่คิดดูแล้ว มันก็น่าอัศจรรย์ใจอยู่ไม่น้อยละนะ”
ท่าทางของปราโมทย์กลับเป็นคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญ
“หรือว่ากระดาษหนังคนแผ่นนั้นจะมีอาถรรพ์อะไรจริงๆ ไม่ซี...ผมว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ พอมีคนไปก่อรูปก่อร่าง ได้มีตัวมีตนขึ้นก็ ก็เหมือนว่ากระดาษนั่นได้ใช้ต่างผิวหนัง ห่อหุ้มวิญญาณที่สิงสู่อยู่ก่อนหน้า”
“พี่ปราโมทย์คิดมากไปหรือเปล่าครับนี่...”
“ผมนั่งคิดนอนคิดมานาน แล้วก็คิดว่าวิญญาณนั่นต้องเป็นฝ่ายดี คุณคิดดูซี ไม่อย่างนั้นจะออกมานั่งเป็นเพื่อนผมเรอะ ไม่เป็นไรๆ หล่อนอาจมีอะไรต้องทำ ผมขอสัญญาไว้แล้ว ว่าให้กลับมาอยู่กับผม นี่ก็จุดธูปจุดเทียน บวงสรวงเซ่นวักกลางแจ้งไปตั้งแต่เมื่อเช้า”
สัตยาเห็นท่าทางจริงจังของฝ่ายที่พูดแล้วก็ได้แต่ปลง ไม่อยากพูดจาขัดใจอะไรอีก
“อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะครับ คนอย่างพี่ปราโมทย์ เรื่องอย่างนี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว”
“สรุปว่าเราพักเรื่องรูปวาดอะไรนั่นไว้ก่อน แม่อัปสรายาใจนั่น เขาอยากจะกลับมาเมื่อไรก็คงกลับมาเอง แต่เราๆ นี่ซี ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป จริงไหมเล่า”
แล้วน้ำเสียงและท่าทางของปราโมทย์ ก็เปลี่ยนกลับไปเป็นแววของเจ้าหนุ่มรักสนุกเช่นที่เคย
“เรื่องนั้นมันก็จริงแท้แน่นอน”
“ไอ้ผมน่ะยังโสด ยังไปได้อีกหลายน้ำ แต่คุณนี่สิ อย่างที่เขาว่า มีภรรยาก็เหมือนมีห่วงผูกคอ พวกเรารู้ดีกันทั้งนั้นว่าน้องศิเขาเป็นคนอย่างไร”
“คุณศิเขาดีพร้อม ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง”
ไม่รู้คนพูดจะมาไม้ไหน สัตยาจึงต้องเอ่ยไปในทางดีไว้ก่อน
“คุณพูดอย่างนี้ผมก็ไม่กล้าชวนน่ะซี”
“ชวน...”
“ไม่เป็นไร ไว้เป็นธุระของผมเอง”
“เรื่องอะไรกันแน่ครับ”
“ก็คืนนี้ไงเล่า คณะนาฏศิลป์กัมพูชาเขามาจัดแสดง งานเชื่อมสัมพันธ์สองวัฒนธรรมนั่นไม่ใช่รึ”
“นั่นมันคืนพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือครับ”
ก็สัตยาอยู่ที่กรมกองนี้ มีหรือจะไม่รู้เกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่พยายามให้สองชาติสมานไมตรี มีการก่อผลประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าจะมากีดกันให้ต่างฝ่ายต่างได้รับความเสียหาย เรื่องการแต่งงานของคุณศรสวรรค์นั่นก็เหมือนกัน ก็เรียกว่าเป็นการแต่งงานเพื่อการเมืองดีๆ นี่เอง
“นั่นมันรอบทั่วไป ที่มาชวนเพราะนายโรงเขาจะจัดรอบพิเศษ ให้เราๆ ได้ยลโฉมพวกนางรำได้อย่างใกล้ชิด นี่แว่วๆ มาว่า ถ้าถูกใจนางไหน จะให้เขาช่วยอุ้มสมให้ก็ยังได้”
“ผมว่าไม่เหมาะกระมัง”
“ก็ถึงบอกว่าคุณแต่งงานแล้ว ก็ไม่เป็นไร ผมแค่มาชวนไปเป็นเพื่อน เรื่องจะติดตาต้องใจใคร ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ไว้เป็นธุระของผมเอง”
“งานผมยังมีอีกมาก”
สัตยาต้องบ่ายเบี่ยง เพราะพอจะอ่านลู่ทางออกแล้วว่า การแสดงรอบพิเศษนี้ น่าจะมีจุดประสงค์ไปในทางกามาเสื่อมทรามเสียมากกว่า
“อย่างนั้นผมไปชวนน้องศิก็ได้ คือ... แค่ไปเป็นเพื่อน คนเขาจะได้ไม่มองว่าผมฝักใฝ่เรื่องนั้นจนเกินงาม”
“อย่าไปรบกวนคุณศิเลยครับ ถ้าพี่ปราโมทย์อยากให้ไปด้วย ผมก็จะไป”
“ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้ว ชวนไปด้วยกันหมดนี้ละ จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย”
หลังจากนัดกับปราโมทย์ไว้ว่า จะไปเจอกันตอนเย็นหลังเลิกงาน แต่ขนาดที่ทำงานกับบ้านของสัตยา แทบจะเรียกว่าอยู่ตรงข้ามกับฟากแม่น้ำ พอกลับมาถึง ก็เห็นญาติผู้พี่ของภรรยานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“กระผมว่าเรื่องใจร้อนนี่คงไม่มีใครเกินพี่ปราโมทย์”
สัตยาอดพูดไม่ได้ แต่อีกฝ่ายจะรู้สึกขัดเคืองอะไรก็หาไม่
“อย่าว่าไปเชียวนาสัตยา คนอย่างผมนี่ละ ที่เจริญในหน้าที่การงานอยู่ได้ทุกวันนี้”
“ว่าแต่ ชวนคุณศิหรือยังครับ”
“โทร.มาชวนตั้งแต่ตอนเราแยกกันนั่นละ ไปเถอะ คุณก็ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน”
“ได้ครับ ผมขอตัวสักครู่”
ก่อนสัตยาจะผละมา ยังเรียกให้สาวใช้ช่วยเปลี่ยนน้ำร้อนน้ำชาให้อีกชุด ซึ่งก็คงถูกใจผู้มาเยือนไม่น้อย เพราะคนบริการคือนังจืด หญิงรับใช้ที่หูตาแพรวพราวสู้แสงอยู่ไม่ใช่ย่อย
พอเขาเข้ามาถึงห้อง ก็เห็นว่าภรรยากำลังชื่นชมต่างหูคู่งามเพลินอยู่
“ได้มาใหม่แล้วหรือจ๊ะ”
สัตยาหมายถึงต่างหูลูกมรกตคู่ในมือของศศิประภานั่นเอง
“คู่เดิมนั่นละค่ะ หากันแทบพลิกแผ่นดิน ที่แท้ก็ตกอยู่ตรงข้างขาโต๊ะนี้เอง”
“หรือว่าจืดมันเอามาวาง”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ พูดไปก็น่ากลัว คุณพี่เชื่อเรื่องผีบังตาไหมล่ะคะ”
“อย่าพูดเรื่องผีสางอีกเลยได้ไหม พี่ขอร้อง”
สัตยาชะงักมือจากที่คิดจะนวดไหล่ให้หล่อน เปลี่ยนเป็นถอยกลับไปนั่งบนที่นอน
“แสดงว่าคุณศิจะได้สวมให้เข้าชุดกันเสียที”
เขาจำได้ว่า ชุดที่ภรรยาสวมใส่ คือชุดเดียวกับเมื่อวานซืน ที่มีเรื่องต่างหูหาย จนหล่อนงอนไม่ยอมไปงานวันเกิดท่านผู้หญิงนั่นเอง
“ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ค่ะ พวกคณะนาฏศิลป์ เขาเป็นถึงตัวแทนจากประเทศโน้น”
“มัน... จะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี”
เสียงสัตยาเบาลง จนศศิประภาต้องลุกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มานั่งฟังอยู่ข้างๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วอย่างไหน...”
“ก็... เป็นพวกอย่างนางเอกละครกับท่านจอมพลผู้นำบ้านเรานี้ละ”
“หมายความว่า...”
ศศิประภาเข้าใจความหมายได้ทันที เพราะกิตติศัพท์ของท่านจอมพลผู้นำนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในเรื่องนี้ จนแทบจะเกิดเป็นลัทธิเอาอย่าง ในหมู่ข้าราชการหรือพวกชั้นสูงๆ ในคณะรัฐบาล
“ถึงว่า ร้อยวันพันปี พี่โมทย์ไม่เคยคิดอยากจะดูอะไรพรรค์หยั่งนี้”
ศศิประภาสะบัดลุก แกล้งทำเป็นงอนสามีพ่วงไปด้วย จนสัตยาต้องลุกตามมาง้อ
“พี่ไม่ได้อยากไปเลยสักนิด ติดตรงที่ว่า... ก็ต้องตามใจคุณปราโมทย์ คุณศิก็รู้”
เขากอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน กดจมูกลงที่ซอกคอเบาๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่า ผู้หญิงคนสำคัญที่สุดของตนนั้นอยู่ตรงไหน
“ชวนศิไปด้วยก็ดีแล้ว จะได้ไปคอยดู ว่ามีอินังเขมรหน้าไหน มันกล้ามาเล่นหูเล่นตากับคุณพี่”
คำว่านางเขมรนั้น คล้ายมีดเสียบเข้ากลางอก สัตยาถึงกับเผลอปล่อยศศิประภาจากอ้อมกอด
พอเห็นสามีชะงักไป หล่อนก็ได้ที
“ทำท่าเหมือนถูกแทงใจดำ ทำไมคะ หรือว่าคุณพี่ ไปเคยมีลูกมีเมียเป็นนังเขมร ขแมร์ที่ไหน”
พูดจบ ศศิประภาก็กระแทกตัวนั่งลง ที่พูดนั่น ก็คิดว่าแค่หยอกไปอย่างนั้นๆ เพราะใจนั้นมั่นใจ ว่าในหัวใจของสัตยา จะต้องไม่มีใครกล้ามาเป็นตัวแทนหล่อน
ทั้งที่เห็นว่าเก้าอี้ตัวกลม แทบชิดอยู่ข้างขาด้วยซ้ำ
แต่ศศิประภากลับผิดพลาด กลายเป็นทิ้งตัวลงกับอากาศเปล่า บั้นท้ายกระแทกกับพื้นดังตึง!
“อูยยย์...”
หล่อนคร่ำครวญยาวนาน เจ็บจนลุกไม่ขึ้น ต้องให้สัตยาเข้ามาช่วยประคอง
“ไหมล่ะ เคยบอกแล้วว่าให้งอนน้อยๆ หน่อย”
เขาพยายามพูดให้เห็นขัน
“เก้าอี้มันเลื่อนหนี...”
ที่ศศิประภาพูดเช่นนี้ ก็เพราะชำเลืองไปสำรวจ ว่าเก้าอี้โต๊ะตัวกลม ขยับจากที่เดิมจริงๆ
“ที่ไหนกันล่ะ ก็ตอนที่คุณศิล้ม คงดันให้มันเลื่อนไปเอง แล้ว... เจ็บตรงไหน”
“โอ๊ย! ตรงนั้น!”
ศศิประภาสะดุ้ง เมื่อสามีแตะตรงสะโพก
สัตยาต้องพาภรรยากลับมานั่งพักบนเตียง
“ตามหมอดีกว่านะ”
“คงแค่ขัดยอกหรอกมังคะ ให้หมายมานวดคงดีขึ้น”
“คราวหน้าคราวหลัง จะลุกจะนั่งก็ระมัดระวังนะจ๊ะ รู้ไหมว่าพี่ห่วงคุณศิแค่ไหน”
“เจ็บยังกับถูกผีผลัก”
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ พี่ขอแล้วไง อย่าพูดเรื่องผีสางอะไรอีกเลย”
สัตยาตั้งใจจะหอมภรรยาสักฟอดเป็นการแสดงความห่วงใย แต่มีเสียงจากข้างนอกดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“อะไรกันนักหนา ถ้าจะพลอดรักกัน รอไว้ทีหลังไม่ได้เรอะ เห็นใจคนไร้คู่บ้างเถอะ”
เป็นปราโมทย์ที่ตะโกนอยู่หลังประตูนี้เอง
“ถ้าไม่ออกมา จะเปิดเข้าไปละนะ”
เสียงข่มขู่ เป็นอย่างคนทะเล้นเต็มที่
“พี่คงต้องไปกับเขาเสียหน่อยแล้วละ”
ศศิประภาพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังว่า
“อย่าไปนานนักนะคะ”
“พี่ไม่ได้อยากไปอยู่แล้ว รับรองว่าจะไม่เถลไถล สายตาจะไม่มองใครเลยสักคน”
“สัญญานะคะ”
“จ๊ะ... สาบานเลยก็ได้ ถ้าพี่ผิดคำพูด ขอให้ไม่ได้ตายดีเลยซีเอ้า”
(ต่อคคห.ที่๑)
________ร่ายนางรำ__________ [... บทที่ ๘ ...]
http://pantip.com/topic/30128977
ติดตาม "ร่ายนางรำ" ได้ทุกบทจากบล็อกนะครับ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=song982&month=01-2013&date=20&group=27&gblog=1
***********************************************************************************
บทที่ ๘
หลังจากรับตำแหน่งใหม่มาได้หลายวัน สัตยาก็เริ่มชินชากับระบบเช้าชามเย็นชาม ทั้งเรื่องความเคร่งครัดในเวลาเข้าออก และเรื่องระยะเวลาของการงานที่ได้รับมอบหมาย
เมื่อเร่งรัดอยู่ฝ่ายเดียว แล้วก็เกิดการหาเหตุบ่ายเบี่ยงกันไปต่างๆ นานา หนักเข้าเขาก็ต้องรามือไปเอง หลังจากกำชับสองครั้งสามครั้ง ก็ต้องปล่อยให้เลยตามเลย
ส่วนตัวเอง หลังจากคล้ายมีเรื่องวุ่นวายเพิ่มขึ้นทุกวี่วัน การงานที่เคยเข้าออกตรงเวลา ความมุมานะมุ่งมั่น ก็อ่อนล้าคลายความเข้มงวดลงไป
ยิ่งเห็นว่าปราโมทย์ ญาติผู้พี่ของภรรยา ที่รับหน้าที่ในกระทรวงใหญ่กว่าสำคัญกว่า ยังร่อนตะลอนไปทั่วได้ทั้งที่อยู่ในเวลาราชการ ตนก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจต้องทำตัวตามภาษิต “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” เสียบ้างกระมัง
ดูอย่างเมื่อหลังเที่ยง ทั้งที่เป็นเวลางานช่วงบ่าย กลับขึ้นมาในห้องทำงาน นั่งให้ข้าวกลางวันเรียงเม็ดได้พักเดียว ปราโมทย์ก็โผล่เข้ามา
“ผมทบทวนจนแน่ใจแล้วนะ คงไม่มีใครขโมยภาพวาดนั่นไปหรอก”
บทสนทนาก็ยังไม่พ้นเรื่องเดิม คือการหายไปของภาพวาดจากกระดาษหนังมนุษย์ภาพนั้น
“พี่ปราโมทย์นึกได้อย่างนั้นผมก็ยินดีด้วย ข้าคนในบ้านมันจะได้สบายใจ”
“ก็นั่นน่ะซี คืนนั้นไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง ไอ้สองคนนั่นมันก็รับใช้ไว้ใจมานาน เรื่องแบบนี้ผมไม่ยอมให้มาเสียคนกันเองหรอก”
“ใช่ครับ ผมเห็นด้วย เรื่องรูปวาดเรื่องกระดาษอะไรนั่น หากพี่ปราโมทย์อยากให้ผมรับใช้อะไรอีก ก็ยินดีเสมอ”
“แต่ที่คิดดูแล้ว มันก็น่าอัศจรรย์ใจอยู่ไม่น้อยละนะ”
ท่าทางของปราโมทย์กลับเป็นคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญ
“หรือว่ากระดาษหนังคนแผ่นนั้นจะมีอาถรรพ์อะไรจริงๆ ไม่ซี...ผมว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ พอมีคนไปก่อรูปก่อร่าง ได้มีตัวมีตนขึ้นก็ ก็เหมือนว่ากระดาษนั่นได้ใช้ต่างผิวหนัง ห่อหุ้มวิญญาณที่สิงสู่อยู่ก่อนหน้า”
“พี่ปราโมทย์คิดมากไปหรือเปล่าครับนี่...”
“ผมนั่งคิดนอนคิดมานาน แล้วก็คิดว่าวิญญาณนั่นต้องเป็นฝ่ายดี คุณคิดดูซี ไม่อย่างนั้นจะออกมานั่งเป็นเพื่อนผมเรอะ ไม่เป็นไรๆ หล่อนอาจมีอะไรต้องทำ ผมขอสัญญาไว้แล้ว ว่าให้กลับมาอยู่กับผม นี่ก็จุดธูปจุดเทียน บวงสรวงเซ่นวักกลางแจ้งไปตั้งแต่เมื่อเช้า”
สัตยาเห็นท่าทางจริงจังของฝ่ายที่พูดแล้วก็ได้แต่ปลง ไม่อยากพูดจาขัดใจอะไรอีก
“อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะครับ คนอย่างพี่ปราโมทย์ เรื่องอย่างนี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว”
“สรุปว่าเราพักเรื่องรูปวาดอะไรนั่นไว้ก่อน แม่อัปสรายาใจนั่น เขาอยากจะกลับมาเมื่อไรก็คงกลับมาเอง แต่เราๆ นี่ซี ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป จริงไหมเล่า”
แล้วน้ำเสียงและท่าทางของปราโมทย์ ก็เปลี่ยนกลับไปเป็นแววของเจ้าหนุ่มรักสนุกเช่นที่เคย
“เรื่องนั้นมันก็จริงแท้แน่นอน”
“ไอ้ผมน่ะยังโสด ยังไปได้อีกหลายน้ำ แต่คุณนี่สิ อย่างที่เขาว่า มีภรรยาก็เหมือนมีห่วงผูกคอ พวกเรารู้ดีกันทั้งนั้นว่าน้องศิเขาเป็นคนอย่างไร”
“คุณศิเขาดีพร้อม ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง”
ไม่รู้คนพูดจะมาไม้ไหน สัตยาจึงต้องเอ่ยไปในทางดีไว้ก่อน
“คุณพูดอย่างนี้ผมก็ไม่กล้าชวนน่ะซี”
“ชวน...”
“ไม่เป็นไร ไว้เป็นธุระของผมเอง”
“เรื่องอะไรกันแน่ครับ”
“ก็คืนนี้ไงเล่า คณะนาฏศิลป์กัมพูชาเขามาจัดแสดง งานเชื่อมสัมพันธ์สองวัฒนธรรมนั่นไม่ใช่รึ”
“นั่นมันคืนพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือครับ”
ก็สัตยาอยู่ที่กรมกองนี้ มีหรือจะไม่รู้เกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่พยายามให้สองชาติสมานไมตรี มีการก่อผลประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าจะมากีดกันให้ต่างฝ่ายต่างได้รับความเสียหาย เรื่องการแต่งงานของคุณศรสวรรค์นั่นก็เหมือนกัน ก็เรียกว่าเป็นการแต่งงานเพื่อการเมืองดีๆ นี่เอง
“นั่นมันรอบทั่วไป ที่มาชวนเพราะนายโรงเขาจะจัดรอบพิเศษ ให้เราๆ ได้ยลโฉมพวกนางรำได้อย่างใกล้ชิด นี่แว่วๆ มาว่า ถ้าถูกใจนางไหน จะให้เขาช่วยอุ้มสมให้ก็ยังได้”
“ผมว่าไม่เหมาะกระมัง”
“ก็ถึงบอกว่าคุณแต่งงานแล้ว ก็ไม่เป็นไร ผมแค่มาชวนไปเป็นเพื่อน เรื่องจะติดตาต้องใจใคร ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ไว้เป็นธุระของผมเอง”
“งานผมยังมีอีกมาก”
สัตยาต้องบ่ายเบี่ยง เพราะพอจะอ่านลู่ทางออกแล้วว่า การแสดงรอบพิเศษนี้ น่าจะมีจุดประสงค์ไปในทางกามาเสื่อมทรามเสียมากกว่า
“อย่างนั้นผมไปชวนน้องศิก็ได้ คือ... แค่ไปเป็นเพื่อน คนเขาจะได้ไม่มองว่าผมฝักใฝ่เรื่องนั้นจนเกินงาม”
“อย่าไปรบกวนคุณศิเลยครับ ถ้าพี่ปราโมทย์อยากให้ไปด้วย ผมก็จะไป”
“ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้ว ชวนไปด้วยกันหมดนี้ละ จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย”
หลังจากนัดกับปราโมทย์ไว้ว่า จะไปเจอกันตอนเย็นหลังเลิกงาน แต่ขนาดที่ทำงานกับบ้านของสัตยา แทบจะเรียกว่าอยู่ตรงข้ามกับฟากแม่น้ำ พอกลับมาถึง ก็เห็นญาติผู้พี่ของภรรยานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“กระผมว่าเรื่องใจร้อนนี่คงไม่มีใครเกินพี่ปราโมทย์”
สัตยาอดพูดไม่ได้ แต่อีกฝ่ายจะรู้สึกขัดเคืองอะไรก็หาไม่
“อย่าว่าไปเชียวนาสัตยา คนอย่างผมนี่ละ ที่เจริญในหน้าที่การงานอยู่ได้ทุกวันนี้”
“ว่าแต่ ชวนคุณศิหรือยังครับ”
“โทร.มาชวนตั้งแต่ตอนเราแยกกันนั่นละ ไปเถอะ คุณก็ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน”
“ได้ครับ ผมขอตัวสักครู่”
ก่อนสัตยาจะผละมา ยังเรียกให้สาวใช้ช่วยเปลี่ยนน้ำร้อนน้ำชาให้อีกชุด ซึ่งก็คงถูกใจผู้มาเยือนไม่น้อย เพราะคนบริการคือนังจืด หญิงรับใช้ที่หูตาแพรวพราวสู้แสงอยู่ไม่ใช่ย่อย
พอเขาเข้ามาถึงห้อง ก็เห็นว่าภรรยากำลังชื่นชมต่างหูคู่งามเพลินอยู่
“ได้มาใหม่แล้วหรือจ๊ะ”
สัตยาหมายถึงต่างหูลูกมรกตคู่ในมือของศศิประภานั่นเอง
“คู่เดิมนั่นละค่ะ หากันแทบพลิกแผ่นดิน ที่แท้ก็ตกอยู่ตรงข้างขาโต๊ะนี้เอง”
“หรือว่าจืดมันเอามาวาง”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ พูดไปก็น่ากลัว คุณพี่เชื่อเรื่องผีบังตาไหมล่ะคะ”
“อย่าพูดเรื่องผีสางอีกเลยได้ไหม พี่ขอร้อง”
สัตยาชะงักมือจากที่คิดจะนวดไหล่ให้หล่อน เปลี่ยนเป็นถอยกลับไปนั่งบนที่นอน
“แสดงว่าคุณศิจะได้สวมให้เข้าชุดกันเสียที”
เขาจำได้ว่า ชุดที่ภรรยาสวมใส่ คือชุดเดียวกับเมื่อวานซืน ที่มีเรื่องต่างหูหาย จนหล่อนงอนไม่ยอมไปงานวันเกิดท่านผู้หญิงนั่นเอง
“ก็ไม่เสียหายอะไรนี่ค่ะ พวกคณะนาฏศิลป์ เขาเป็นถึงตัวแทนจากประเทศโน้น”
“มัน... จะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี”
เสียงสัตยาเบาลง จนศศิประภาต้องลุกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มานั่งฟังอยู่ข้างๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วอย่างไหน...”
“ก็... เป็นพวกอย่างนางเอกละครกับท่านจอมพลผู้นำบ้านเรานี้ละ”
“หมายความว่า...”
ศศิประภาเข้าใจความหมายได้ทันที เพราะกิตติศัพท์ของท่านจอมพลผู้นำนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในเรื่องนี้ จนแทบจะเกิดเป็นลัทธิเอาอย่าง ในหมู่ข้าราชการหรือพวกชั้นสูงๆ ในคณะรัฐบาล
“ถึงว่า ร้อยวันพันปี พี่โมทย์ไม่เคยคิดอยากจะดูอะไรพรรค์หยั่งนี้”
ศศิประภาสะบัดลุก แกล้งทำเป็นงอนสามีพ่วงไปด้วย จนสัตยาต้องลุกตามมาง้อ
“พี่ไม่ได้อยากไปเลยสักนิด ติดตรงที่ว่า... ก็ต้องตามใจคุณปราโมทย์ คุณศิก็รู้”
เขากอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน กดจมูกลงที่ซอกคอเบาๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่า ผู้หญิงคนสำคัญที่สุดของตนนั้นอยู่ตรงไหน
“ชวนศิไปด้วยก็ดีแล้ว จะได้ไปคอยดู ว่ามีอินังเขมรหน้าไหน มันกล้ามาเล่นหูเล่นตากับคุณพี่”
คำว่านางเขมรนั้น คล้ายมีดเสียบเข้ากลางอก สัตยาถึงกับเผลอปล่อยศศิประภาจากอ้อมกอด
พอเห็นสามีชะงักไป หล่อนก็ได้ที
“ทำท่าเหมือนถูกแทงใจดำ ทำไมคะ หรือว่าคุณพี่ ไปเคยมีลูกมีเมียเป็นนังเขมร ขแมร์ที่ไหน”
พูดจบ ศศิประภาก็กระแทกตัวนั่งลง ที่พูดนั่น ก็คิดว่าแค่หยอกไปอย่างนั้นๆ เพราะใจนั้นมั่นใจ ว่าในหัวใจของสัตยา จะต้องไม่มีใครกล้ามาเป็นตัวแทนหล่อน
ทั้งที่เห็นว่าเก้าอี้ตัวกลม แทบชิดอยู่ข้างขาด้วยซ้ำ
แต่ศศิประภากลับผิดพลาด กลายเป็นทิ้งตัวลงกับอากาศเปล่า บั้นท้ายกระแทกกับพื้นดังตึง!
“อูยยย์...”
หล่อนคร่ำครวญยาวนาน เจ็บจนลุกไม่ขึ้น ต้องให้สัตยาเข้ามาช่วยประคอง
“ไหมล่ะ เคยบอกแล้วว่าให้งอนน้อยๆ หน่อย”
เขาพยายามพูดให้เห็นขัน
“เก้าอี้มันเลื่อนหนี...”
ที่ศศิประภาพูดเช่นนี้ ก็เพราะชำเลืองไปสำรวจ ว่าเก้าอี้โต๊ะตัวกลม ขยับจากที่เดิมจริงๆ
“ที่ไหนกันล่ะ ก็ตอนที่คุณศิล้ม คงดันให้มันเลื่อนไปเอง แล้ว... เจ็บตรงไหน”
“โอ๊ย! ตรงนั้น!”
ศศิประภาสะดุ้ง เมื่อสามีแตะตรงสะโพก
สัตยาต้องพาภรรยากลับมานั่งพักบนเตียง
“ตามหมอดีกว่านะ”
“คงแค่ขัดยอกหรอกมังคะ ให้หมายมานวดคงดีขึ้น”
“คราวหน้าคราวหลัง จะลุกจะนั่งก็ระมัดระวังนะจ๊ะ รู้ไหมว่าพี่ห่วงคุณศิแค่ไหน”
“เจ็บยังกับถูกผีผลัก”
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ พี่ขอแล้วไง อย่าพูดเรื่องผีสางอะไรอีกเลย”
สัตยาตั้งใจจะหอมภรรยาสักฟอดเป็นการแสดงความห่วงใย แต่มีเสียงจากข้างนอกดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“อะไรกันนักหนา ถ้าจะพลอดรักกัน รอไว้ทีหลังไม่ได้เรอะ เห็นใจคนไร้คู่บ้างเถอะ”
เป็นปราโมทย์ที่ตะโกนอยู่หลังประตูนี้เอง
“ถ้าไม่ออกมา จะเปิดเข้าไปละนะ”
เสียงข่มขู่ เป็นอย่างคนทะเล้นเต็มที่
“พี่คงต้องไปกับเขาเสียหน่อยแล้วละ”
ศศิประภาพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังว่า
“อย่าไปนานนักนะคะ”
“พี่ไม่ได้อยากไปอยู่แล้ว รับรองว่าจะไม่เถลไถล สายตาจะไม่มองใครเลยสักคน”
“สัญญานะคะ”
“จ๊ะ... สาบานเลยก็ได้ ถ้าพี่ผิดคำพูด ขอให้ไม่ได้ตายดีเลยซีเอ้า”
(ต่อคคห.ที่๑)