ศศินารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนอกชานเมืองได้ 2 วันแล้ว โดยไร้เงาของฝ่ายตรงข้ามตามรังควาญ ทำให้น่านนทีมีเวลาเพียงพอเพื่อพักผ่อน
เปลือกตาที่ขยิบยิบๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะปิดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อม่านตาต้องแสงสว่างจ้าจากไฟนีออน หากก็ไม่ได้นิทราไร้สติอย่างเช่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา ก่อนที่จะพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นทีละนิด---อีกครั้ง เพื่อให้ม่านตาชินกับแสงสว่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลายวัน จนสามารถมองเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้าได้ชัดเจน ซึ่งมีเพียงแต่สีขาวเท่านั้น เยื้องไปทางด้านขวามือ คือหลอดไฟวงกลมติดฝ้าเพดาน ร่างกายยังคงอ่อนล้าเกินกว่าจะเขยื้อนส่วนใดได้ เหลือเพียงส่วนต้นคอที่ยังพอเหลียวมองรอบด้านได้ หากก็ลำบากยากยิ่ง
ศศินาสอดส่ายสายตาสำรวจรอบห้อง จนชะงักอยู่ที่ชายหนุ่มในชุดกางเกงยีนส์สีดำ กับเสื้อยืดสีเดียวกัน ไร้ลวดลายราวกับจะไว้ทุกข์ให้อะไรบางอย่างคนเดิม หากสภาพที่ไม่ได้ยืดอกอย่างสง่างาม เฉกเช่นคนที่อยู่ในแวดวงของผู้มีอิทธิพล ไม่ไว้มาดลูกเจ้าพ่อ และไม่ได้วางท่าเป็นหัวหน้าคุมมาเฟียที่ไหน ทำให้สภาพที่มองเห็นเป็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งอ่อนล้าเป็นเฉกเช่นปุถุชนทั่วไป ยังแต่เพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดชิดติดกันแม้ยามหลับ ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ผ่อนคลายที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
คนบนเตียงเผลอยิ้มทั้งน้ำตา โดยที่ไม่ทราบที่ไปที่มาว่าทำไมตนถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สายตาของศศินาสะกิดคนที่ตกเป็นเป้าสายตาอย่างง่ายดาย อาจจะด้วยกระแสสัมผัส หรืออาจจะด้วยความหวาดหวั่นตามสัญชาติญาณ
น่านนทีเปิดเปลือกตาขึ้นสบกับนัยน์ตาสีสนิมของหญิงสาว ก่อนที่รอยยิ้มจะผลิขึ้นที่มุมปากของคนทั้งคู่ ชายหนุ่มพยุงร่างกายอันอ่อนล้าเข้าไปหาหญิงสาว
“เป็นยังไงบ้าง?”
“เพลีย...” ศศินาเค้นตอบเสียงแหบพร่า
“นอนพักให้เยอะๆ หายดีแล้วเราจะไปจากที่นี่กัน”
“น่าน...” หญิงสาวเรียกชื่อฝ่ายตรงข้าม แววตาที่เปี่ยมไปด้วยคำถามหลากหลายทำให้น่านนทีเข้าใจดี แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ผู้ป่วยขวัญเสีย เขาจึงทำได้เพียงแต่ยื่นมืออันอบอุ่น และเข้มแข็งกว่า เข้าไปประสานกับมืออันเย็นเยียบของอีกฝ่าย แผ่ความรู้สึกอันดีงามให้ โดยไร้คำพูดใดผ่านริมฝีปากนอกจากรอยยิ้ม ศศินายิ้มรับ ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะปิดลงอย่างเหนื่อยหนัก ต่างจากน่านนที ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมๆ กับรอยยิ้ม ใจชื้นขึ้นใช่น้อย เมื่อเห็น ‘เพื่อน’ ที่บัดนี้ต้องเติมคำว่า ‘ร่วมทุกข์’ พ่วงท้าย รู้สึกตัวเร็วเกินคาด ในขณะที่เขาเองไม่มีกะจิตกะใจจะนอนต่อแล้ว ปัญหาที่กำไว้ในใจมันยากเกินปล่อยคลาย ชายหนุ่มจึงกลับมานั่งลงบนโซฟาตัวเดิมที่ใช้เป็นเตียงนอนเมื่อครู่ เปิดหนังสือพิมพ์อ่านเล่นแก้เหงาไปพลาง
ข่าวพาดหน้าหนึ่งยังคงเป็นเรื่องการเมืองที่ดุเด็ดเผ็ดร้อนเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา เขาเปิดผ่านไป ไม่สนใจข่าวพวกนั้น ตั้งใจจะเปิดอ่านข่าวซุบซิบดาราให้หายเครียดเล่นๆ ทว่าสายตาพลันสะดุดที่หัวข่าวเล็กๆ
‘เฒ่าวัย 70 เจ้าของที่ดินนอกเมืองชลบุรีตายปริศนาในบ้าน’ เนื้อข่าวที่ปรากฏแทบจะไม่มีเนื้อความใดที่แน่ชัดและสำคัญ จับประเด็นใดๆ แทบไม่ได้ บรรทัดสุดท้ายจบลงที่ ‘ตำรวจรอการสืบสวนต่อไป’ เป็นอันจบข่าวชีวิตคน 1 คน ในราชอาณาจักรที่เงินสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด หากกลับทำให้คนที่กำลังอ่านตัวชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เฒ่าเจ้าของที่ดิน...” น่านนทีทวนหัวข้อข่าวที่เพิ่งอ่านจบ ก่อนจะรีบลุกลนออกจากห้อง ตรงไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะทันที เพื่อติดต่อกับผู้เป็นบิดา
“พ่อ...” ชายหนุ่มทักทันใดที่มีคนรับสาย เสียงปลายทางเงียบ
“น่านเองนะพ่อ”
“น่าน...”
“ใช่ครับพ่อ...น่านอยู่โรงพยาบาลแถบชานเมืองกรุงเทพฯ”
“ฟังพ่อนะ...หนีไปเก็บตัวให้ไกลที่สุด ทางพ่อก็ระวังตัวกันสุดๆ เหมือนกัน พ่อรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว”
“ทางเรามีไส้ศึก”
“พ่อรู้...แต่ตามหาอยู่ว่าใคร”
“ตาศักดิ์...” น่านนทีเอ่ยชื่อตาของศศินาเป็นคำถามในตัว ฝ่ายเสี่ยอานนท์เงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับจะตอบคำตอบบุตรชายด้วยความเงียบ ก่อนจะจบการสนทนาด้วยประโยคที่ราวกับมีดกรีดลงกลางใจของบุตรชาย
“ทางพ่อจะจัดการงานศพของตาศักดิ์ให้เอง!”
ชายหนุ่มพาร่างอันอ่อนล้าทั้งกายและใจขึ้นมาบนห้องพักรักษาตัวศศินา สายตาจับจ้องไปยังร่างผู้บริสุทธิ์ ที่บัดนี้ตกอยู่ทั้งในสถานะคนไข้ และในสถานะผู้ที่สูญเสียญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวไป ทำให้สองมือของชายหนุ่มกำแน่นเข้าหากัน ราวกับว่าเฮียย้งอยู่ในอุ้งมือของตนก็ไม่ปาน
“ไอ้หนุ่มสายตาคมเข้มเหมือนเสือเจ้าป่าเลยนะ” คำพูดของชายชราแว่วเข้าโสตสำนึก ‘ผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิต!’
“เสือเจ้าป่างั้นหรอ...” น่านนทีเปรย แสยะยิ้มให้กับตนเองเพียงแปลบปลาบ ก่อนที่ใบหน้าจะนิ่งขรึม ขบกรามจนนูนขึ้นมาอย่างขึ้งแค้น
“ผมไม่มีวันยอมให้ชีวิตของคุณตาเสียไปฟรีๆ แน่!”
อัญญากระสับกระส่ายอยู่ในห้องที่โดนใส่กุญแจ เนื่องจากหล่อนทราบความจริงของน่านนทีทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของถิรวัฒน์กับอลิน หล่อนทำใจกำความลับอันคอขาดบาดตายนี้ไม่ได้ จึงพยายามหาหนทางหนีออกจากบ้านเพื่อไปบอกความจริงกับน่านนที หากก็โดนจับได้เสียก่อน
“พ่อทำแบบนี้เพราะพ่อรัก” หญิงสาวหวนนึกถึงคำพูดของผู้เป็นบิดาเมื่อเย็นวาน หลังจากที่เจ้าตัวถูกฉุดกระชากลากถูขึ้นมาบนห้องนอน เนื่องจากจะหนีออกไปข้างนอก โดยอ้างกับยามหน้าประตูบ้านว่าจะไปช้อปปิ้ง หากเขารู้ทัน จึงติดต่อกับผู้เป็นบิดา และผลก็ออกมาเป็นเช่นนี้
“พ่อรักหนูแบบไหน รักโดยการกักขังหนูเป็นนักโทษ ทำไมไม่ฆ่าหนูให้ตายเหมือนอริของพ่อแต่เลยหละ เอาสิ...ตอนนี้หนูก็ไม่ได้เข้าข้างพ่อนี่คะ หนูก็คืออริของพ่อคนหนึ่ง ฆ่าหนูสิ!” อัญญากรีดร้องอย่างเสียสติใส่ผู้เป็นบิดาเมื่อเย็นวาน ก่อนที่จะอาละวาด หยิบมีดปอกผลไม้ขึ้นมาแทงฟูกนอนจนนุ่นฟุ่นฟุ้งเต็มห้อง กดดันผู้เป็นบิดาด้วยวิธีการอย่างคนที่ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เมื่อทราบว่าไม่ได้ผลใดๆ เนื่องจากผู้เป็นบิดาได้แต่ยืนกอดอก ไม่สะทกสะท้าน หญิงสาวจึงจ่อปลายมีดเข้าที่คอหอยตนเอง และนั่นเองที่ทำให้เฮียย้งตาโต โผเข้าหาบุตรสาวอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยหนู! ปล่อย!...” อัญญาบิดข้อไม้ข้อมือเพื่อให้หลุดออกจากกำมือที่รัดแน่นหนา จนในที่สุดหญิงสาวตัดสินใจกระชากมือของตนออกมาอย่างแรง โดยไม่สนใจว่าปลายมีดหันไปทางไหน จึงทำให้มีดที่กวัดไปมาบาดเข้าอุ้งมือเฮียย้งเต็มๆ
“คุณพ่อ!” หญิงสาวร้องเสียงสูง พร้อมๆ กับมีดในมือที่ตกลงบนพื้นพรม เลือดสีแดงข้นบนปลายมีดหยดซึมลงบนพรมหนา ส่วนเฮียย้งนั้นมองบาดแผลในมือเพียงครู่เดียว ก่อนจะถลาเข้าไปเก็บมีดที่นอนนิ่ง หวั่นว่าบุตรสาวจะเก็บขึ้นมาทำร้ายตัวเองมากกว่าจะห่วงบาดแผลลึกตรงอุ้งมือ
“ดูแลคุณหนูให้ดี อย่าให้ออกไปไหนเพียงคนเดียว ทางที่ดีอย่าให้ออกจากห้องนี้ได้เป็นดีที่สุด” เฮียย้งหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนนิ่ง มองสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยใบหน้าเรียบขรึม ไร้อารมณ์ใดๆ ปรากฎ รอยเลือดและหยดน้ำตานั้น เขาเห็นจนชินชา
ราเอล
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 8)
เปลือกตาที่ขยิบยิบๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนที่จะปิดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อม่านตาต้องแสงสว่างจ้าจากไฟนีออน หากก็ไม่ได้นิทราไร้สติอย่างเช่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา ก่อนที่จะพยายามเปิดเปลือกตาขึ้นทีละนิด---อีกครั้ง เพื่อให้ม่านตาชินกับแสงสว่างที่ไม่ได้สัมผัสมานานหลายวัน จนสามารถมองเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้าได้ชัดเจน ซึ่งมีเพียงแต่สีขาวเท่านั้น เยื้องไปทางด้านขวามือ คือหลอดไฟวงกลมติดฝ้าเพดาน ร่างกายยังคงอ่อนล้าเกินกว่าจะเขยื้อนส่วนใดได้ เหลือเพียงส่วนต้นคอที่ยังพอเหลียวมองรอบด้านได้ หากก็ลำบากยากยิ่ง
ศศินาสอดส่ายสายตาสำรวจรอบห้อง จนชะงักอยู่ที่ชายหนุ่มในชุดกางเกงยีนส์สีดำ กับเสื้อยืดสีเดียวกัน ไร้ลวดลายราวกับจะไว้ทุกข์ให้อะไรบางอย่างคนเดิม หากสภาพที่ไม่ได้ยืดอกอย่างสง่างาม เฉกเช่นคนที่อยู่ในแวดวงของผู้มีอิทธิพล ไม่ไว้มาดลูกเจ้าพ่อ และไม่ได้วางท่าเป็นหัวหน้าคุมมาเฟียที่ไหน ทำให้สภาพที่มองเห็นเป็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งอ่อนล้าเป็นเฉกเช่นปุถุชนทั่วไป ยังแต่เพียงหัวคิ้วเท่านั้นที่ขมวดชิดติดกันแม้ยามหลับ ซึ่งเป็นการพักผ่อนที่ผ่อนคลายที่สุดสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง
คนบนเตียงเผลอยิ้มทั้งน้ำตา โดยที่ไม่ทราบที่ไปที่มาว่าทำไมตนถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ สายตาของศศินาสะกิดคนที่ตกเป็นเป้าสายตาอย่างง่ายดาย อาจจะด้วยกระแสสัมผัส หรืออาจจะด้วยความหวาดหวั่นตามสัญชาติญาณ
น่านนทีเปิดเปลือกตาขึ้นสบกับนัยน์ตาสีสนิมของหญิงสาว ก่อนที่รอยยิ้มจะผลิขึ้นที่มุมปากของคนทั้งคู่ ชายหนุ่มพยุงร่างกายอันอ่อนล้าเข้าไปหาหญิงสาว
“เป็นยังไงบ้าง?”
“เพลีย...” ศศินาเค้นตอบเสียงแหบพร่า
“นอนพักให้เยอะๆ หายดีแล้วเราจะไปจากที่นี่กัน”
“น่าน...” หญิงสาวเรียกชื่อฝ่ายตรงข้าม แววตาที่เปี่ยมไปด้วยคำถามหลากหลายทำให้น่านนทีเข้าใจดี แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมานั่งอธิบายเรื่องราวต่างๆ ให้ผู้ป่วยขวัญเสีย เขาจึงทำได้เพียงแต่ยื่นมืออันอบอุ่น และเข้มแข็งกว่า เข้าไปประสานกับมืออันเย็นเยียบของอีกฝ่าย แผ่ความรู้สึกอันดีงามให้ โดยไร้คำพูดใดผ่านริมฝีปากนอกจากรอยยิ้ม ศศินายิ้มรับ ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะปิดลงอย่างเหนื่อยหนัก ต่างจากน่านนที ที่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกพร้อมๆ กับรอยยิ้ม ใจชื้นขึ้นใช่น้อย เมื่อเห็น ‘เพื่อน’ ที่บัดนี้ต้องเติมคำว่า ‘ร่วมทุกข์’ พ่วงท้าย รู้สึกตัวเร็วเกินคาด ในขณะที่เขาเองไม่มีกะจิตกะใจจะนอนต่อแล้ว ปัญหาที่กำไว้ในใจมันยากเกินปล่อยคลาย ชายหนุ่มจึงกลับมานั่งลงบนโซฟาตัวเดิมที่ใช้เป็นเตียงนอนเมื่อครู่ เปิดหนังสือพิมพ์อ่านเล่นแก้เหงาไปพลาง
ข่าวพาดหน้าหนึ่งยังคงเป็นเรื่องการเมืองที่ดุเด็ดเผ็ดร้อนเฉกเช่นทุกวันที่ผ่านมา เขาเปิดผ่านไป ไม่สนใจข่าวพวกนั้น ตั้งใจจะเปิดอ่านข่าวซุบซิบดาราให้หายเครียดเล่นๆ ทว่าสายตาพลันสะดุดที่หัวข่าวเล็กๆ
‘เฒ่าวัย 70 เจ้าของที่ดินนอกเมืองชลบุรีตายปริศนาในบ้าน’ เนื้อข่าวที่ปรากฏแทบจะไม่มีเนื้อความใดที่แน่ชัดและสำคัญ จับประเด็นใดๆ แทบไม่ได้ บรรทัดสุดท้ายจบลงที่ ‘ตำรวจรอการสืบสวนต่อไป’ เป็นอันจบข่าวชีวิตคน 1 คน ในราชอาณาจักรที่เงินสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด หากกลับทำให้คนที่กำลังอ่านตัวชาวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“เฒ่าเจ้าของที่ดิน...” น่านนทีทวนหัวข้อข่าวที่เพิ่งอ่านจบ ก่อนจะรีบลุกลนออกจากห้อง ตรงไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะทันที เพื่อติดต่อกับผู้เป็นบิดา
“พ่อ...” ชายหนุ่มทักทันใดที่มีคนรับสาย เสียงปลายทางเงียบ
“น่านเองนะพ่อ”
“น่าน...”
“ใช่ครับพ่อ...น่านอยู่โรงพยาบาลแถบชานเมืองกรุงเทพฯ”
“ฟังพ่อนะ...หนีไปเก็บตัวให้ไกลที่สุด ทางพ่อก็ระวังตัวกันสุดๆ เหมือนกัน พ่อรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว”
“ทางเรามีไส้ศึก”
“พ่อรู้...แต่ตามหาอยู่ว่าใคร”
“ตาศักดิ์...” น่านนทีเอ่ยชื่อตาของศศินาเป็นคำถามในตัว ฝ่ายเสี่ยอานนท์เงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับจะตอบคำตอบบุตรชายด้วยความเงียบ ก่อนจะจบการสนทนาด้วยประโยคที่ราวกับมีดกรีดลงกลางใจของบุตรชาย
“ทางพ่อจะจัดการงานศพของตาศักดิ์ให้เอง!”
ชายหนุ่มพาร่างอันอ่อนล้าทั้งกายและใจขึ้นมาบนห้องพักรักษาตัวศศินา สายตาจับจ้องไปยังร่างผู้บริสุทธิ์ ที่บัดนี้ตกอยู่ทั้งในสถานะคนไข้ และในสถานะผู้ที่สูญเสียญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียวไป ทำให้สองมือของชายหนุ่มกำแน่นเข้าหากัน ราวกับว่าเฮียย้งอยู่ในอุ้งมือของตนก็ไม่ปาน
“ไอ้หนุ่มสายตาคมเข้มเหมือนเสือเจ้าป่าเลยนะ” คำพูดของชายชราแว่วเข้าโสตสำนึก ‘ผู้บริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิต!’
“เสือเจ้าป่างั้นหรอ...” น่านนทีเปรย แสยะยิ้มให้กับตนเองเพียงแปลบปลาบ ก่อนที่ใบหน้าจะนิ่งขรึม ขบกรามจนนูนขึ้นมาอย่างขึ้งแค้น
“ผมไม่มีวันยอมให้ชีวิตของคุณตาเสียไปฟรีๆ แน่!”
อัญญากระสับกระส่ายอยู่ในห้องที่โดนใส่กุญแจ เนื่องจากหล่อนทราบความจริงของน่านนทีทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของถิรวัฒน์กับอลิน หล่อนทำใจกำความลับอันคอขาดบาดตายนี้ไม่ได้ จึงพยายามหาหนทางหนีออกจากบ้านเพื่อไปบอกความจริงกับน่านนที หากก็โดนจับได้เสียก่อน
“พ่อทำแบบนี้เพราะพ่อรัก” หญิงสาวหวนนึกถึงคำพูดของผู้เป็นบิดาเมื่อเย็นวาน หลังจากที่เจ้าตัวถูกฉุดกระชากลากถูขึ้นมาบนห้องนอน เนื่องจากจะหนีออกไปข้างนอก โดยอ้างกับยามหน้าประตูบ้านว่าจะไปช้อปปิ้ง หากเขารู้ทัน จึงติดต่อกับผู้เป็นบิดา และผลก็ออกมาเป็นเช่นนี้
“พ่อรักหนูแบบไหน รักโดยการกักขังหนูเป็นนักโทษ ทำไมไม่ฆ่าหนูให้ตายเหมือนอริของพ่อแต่เลยหละ เอาสิ...ตอนนี้หนูก็ไม่ได้เข้าข้างพ่อนี่คะ หนูก็คืออริของพ่อคนหนึ่ง ฆ่าหนูสิ!” อัญญากรีดร้องอย่างเสียสติใส่ผู้เป็นบิดาเมื่อเย็นวาน ก่อนที่จะอาละวาด หยิบมีดปอกผลไม้ขึ้นมาแทงฟูกนอนจนนุ่นฟุ่นฟุ้งเต็มห้อง กดดันผู้เป็นบิดาด้วยวิธีการอย่างคนที่ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้ เมื่อทราบว่าไม่ได้ผลใดๆ เนื่องจากผู้เป็นบิดาได้แต่ยืนกอดอก ไม่สะทกสะท้าน หญิงสาวจึงจ่อปลายมีดเข้าที่คอหอยตนเอง และนั่นเองที่ทำให้เฮียย้งตาโต โผเข้าหาบุตรสาวอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยหนู! ปล่อย!...” อัญญาบิดข้อไม้ข้อมือเพื่อให้หลุดออกจากกำมือที่รัดแน่นหนา จนในที่สุดหญิงสาวตัดสินใจกระชากมือของตนออกมาอย่างแรง โดยไม่สนใจว่าปลายมีดหันไปทางไหน จึงทำให้มีดที่กวัดไปมาบาดเข้าอุ้งมือเฮียย้งเต็มๆ
“คุณพ่อ!” หญิงสาวร้องเสียงสูง พร้อมๆ กับมีดในมือที่ตกลงบนพื้นพรม เลือดสีแดงข้นบนปลายมีดหยดซึมลงบนพรมหนา ส่วนเฮียย้งนั้นมองบาดแผลในมือเพียงครู่เดียว ก่อนจะถลาเข้าไปเก็บมีดที่นอนนิ่ง หวั่นว่าบุตรสาวจะเก็บขึ้นมาทำร้ายตัวเองมากกว่าจะห่วงบาดแผลลึกตรงอุ้งมือ
“ดูแลคุณหนูให้ดี อย่าให้ออกไปไหนเพียงคนเดียว ทางที่ดีอย่าให้ออกจากห้องนี้ได้เป็นดีที่สุด” เฮียย้งหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนนิ่ง มองสถานการณ์เบื้องหน้าด้วยใบหน้าเรียบขรึม ไร้อารมณ์ใดๆ ปรากฎ รอยเลือดและหยดน้ำตานั้น เขาเห็นจนชินชา