ราตรีอับแสง (ตอนที่ 10)

กระทู้สนทนา
ควันบุหรี่กระจายทั่วทั้งห้องที่เย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศ หากไม่สามารถทุเลาความร้อนรุ่มกลุ้มใจของคนในห้องได้เลย

    นานนับค่อนวันแล้ว ที่ชายในสูทสีดำน่าเกรงขาม นั่งบนเก้าอี้นวมหนัง เหม่อสายตาออกนอกกระจกใสที่ปิดกั้นระหว่างห้องทำงานกับนอกตัวตึก

            “ได้เรื่องบ้างมั๊ย?” น้ำเสียงถาม คาดหวังคำตอบเอาการ หากก็ไม่ทิ้งมาดเจ้าพ่อไปเสีย การหายตัวไปอย่างปัจจุบันทันด่วนของบุตรสาวฝ่ายตรงข้าม เข้าหูเสี่ยอานนท์อย่างง่ายดาย หากเสียดายตรงที่เสี่ยอานนท์ไม่มีวันทราบว่า อัญญาหนีออกจากบ้านด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับบุตรชายของตน วันนี้ทางฝ่ายเสี่ยอานนท์จึงฉุกละหุกเกือบจะพอๆ กับฝ่ายตรงข้าม ‘เจ้าพ่อ’ คนที่เป็น ‘พ่อ’ เหมือนกัน ต่างต้องทำทุกอย่างเพื่อลูกของตน เสี่ยอานนท์สั่งลูกน้องตามหาอัญญาให้วุ่น เพื่อนำมาเป็นตัวต่อรอง เนื่องจากเสี่ยอานนท์ทราบดีว่าเฮียย้งรักบุตรสาวยิ่งกว่าชีวิต หากในทางกลับกัน เสี่ยอานนท์ก็รักน่านนทียิ่งกว่าดวงตาเช่นกัน เรื่องจะไม่ลงที่หญิงสาวตัวเล็กๆ ถ้าหากเฮียย้งไม่มายุ่งกับเนื้อหน่อของตนก่อน

    “มีหญิงอิสลามสองคนที่น่าสงสัย เดี๋ยวลูกน้องของผมจะแจ้งอีกที”

            “ลูกน้องของคุณที่ว่า...” เสี่ยอานนท์หรี่ตามองลูกน้อง พลางนึกถึง ‘ลูกน้อง’ ของคุณวรุตอีกทอดหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ พอใจ

    “ผู้หญิง...คุณอัญญาน่าจะไว้ใจผู้หญิงคนนั้น” ทางฝั่งเสี่ยอานนท์ทราบเป็นอย่างดีด้วยว่าอัญญาเป็นคนหัวอ่อน เชื่อคนง่าย ไม่เหลี่ยมร้ายเฉกเช่นบิดา

            “พอรู้ข่าวเจ้าน่านบ้างมั๊ย?”

    “เรื่องคุณน่านไม่ทราบข่าวเลยครับ”

            “ดี!” เสี่ยอานนท์พอโล่งอก ในเมื่อเขายังตามหาสายเลือดของตนไม่พบ นับประสาอะไรกับคนอื่น ถึงแม้การหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของน่านนที จะบันดาลให้ผู้เป็นบิดาไม่เป็นอันกินอันนอนก็ตาม

    เสียงโทรศัพท์ดังแทรกบทสนทนาของคุณวรุตและเสี่ยอานนท์ หมายเลขไม่คุ้นตาโชว์หรากลางหน้าปัด ในใจของเจ้าพ่อหวังลึกๆ ว่าจะเป็นบุตรชายติดต่อมา

    “สวัสดีครับ”

            “สวัสดีคะ” เสียงปลายสายทักตอบทันใด หากแปลกยิ่งกว่า ตรงที่เป็นเสียงผู้หญิง ทำให้คนฟังขมวดคิ้วมุ่น

    “คือว่า...หนูอลินเองนะคะ”

            “อืม...ว่าไง...อลิน?”

    “คือว่า...พี่น่าน...” คำพูดตะกุกตะกักของหญิงสาว กอปรกับชื่อบุตรชายที่หลุดออกจากปากฝ่ายนั้น ทำให้เสี่ยอานนท์นิ่งฟังราวกับโดนสะกด

            “น่าน...ทำไม?” เสี่ยอานนท์ถามย้ำอีกครั้ง เมื่อรู้สึกเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังซุบซิบคุยกับใครสักคนอย่างมีพิรุธ ไอ้ที่นิ่งฟังราวกับโดนสะกดในเมื่อครู่ จึงกลับกลายเป็นจับผิดทันที คนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการที่ ‘ฆ่าได้ หยามไม่ได้’ ทราบโดยประสบการณ์ว่าหญิงสาวคนนี้มีท่าทีแปลกๆ

    “คุณลุงพอจะรู้มั๊ยคะว่าพี่น่านหายไปไหน หนูโทร. หาพี่เค้าไม่ติดเลย...อุ๊ย!...” เสี่ยอานนท์ขมวดคิ้วเกือบเป็นเส้นตรง เมื่อมั่นใจว่าเสียงปลายสายไม่ได้โทร. มาถาม เหมือนอย่างจุดประสงค์ที่เจ้าหล่อนว่า หากแน่นอนว่ามีใครอีกคนอยู่ด้วย เพื่อบงการหล่อนอีกที ฟังจากน้ำเสียงที่ตะกุกตะกัก ระคนเสียงที่เหมือนคุยกับใครอีกคนไปด้วย---นั่นก็เพียงพอ

            “เมื่อกี้น่านเพิ่งโทร. มา แต่ว่าสายตัดไปเสียก่อน ไว้มีข่าวคืบหน้าลุงจะโทร. หานะ เบอร์นี้ใช่มั๊ย?” เสี่ยอานนท์ยกมุมปากยิ้ม

    “ชะ...ใช่คะ เบอร์นี้เลยคะ ขอบคุณคุณลุงมากเลยนะคะ”

            ทางฝ่ายหญิงสาววางสายไปเรียบร้อยแล้ว เสี่ยอานนท์หันมาสั่งคุณวรุตที่กำลังยืนนิ่งอยู่ไม่ห่าง

    “คุณวุรต...คุณสั่งให้คนตามติดความเคลื่อนไหวของผู้หญิงที่ชื่ออลินด้วยนะ”

            “คุณอลิน...”

    “ใช่...คนที่เจ้าน่านมันคอยปกป้องอยู่นานแรมปีนั่นแหละ!”


    ดอกหญ้าสีน้ำตาลอ่อนบ้าง แก่บ้าง ชูปลายพู่พลิ้วไสว ล้อแสงตะวันยามใกล้จะนิทรา สลับกับใบหญ้าคาสีเขียวอ่อนสูงเท่าเอว ความงดงามตามธรรมชาติ พอคลายความร้อนระอุในใจของผู้มาใหม่ได้บ้าง ถ้าหากที่นี่ไม่ใช่ที่ๆ น่านนทีเลือกเป็น ‘ที่หลบภัย’

หญิงสาวผู้ที่ไม่เคยสัมผัสอากาศบนดอยมาก่อน อมยิ้มอ่อนๆ ให้กับดวงอาทิตย์ที่อยู่ไกลสุดปลายตา หากความจริงนั้นอยู่ไกลออกไปเกือบจะอีกห้วงจักรวาลหนึ่ง แสงทองต้องกับผิวแก้มปลั่ง ยามไอเย็นของหมอกชโลมทั่วใบหน้า ผิวแก้มนั้นค่อยเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ ผมที่รวบตึงเผยให้เห็นส่วนประกอบบนใบหน้าชัดเจน


‘หน้า เนื้อ ผม ยามพิศชม สมสวยหน้า พิศเพียงตา พัดพาใจ ไกลเกินฝัน พิศเอวองค์ ทรวดทรงงาม ตามวัยวัน พิศเพียงนั้น มั่นตรึง ซึ้งนัยน์ตา’

น่านนทีเบือนสายตาออกมองทางอื่น เมื่อรู้ตัวว่าเลือดเริ่มซ่านขึ้นสู่ใบหน้า ยามแอบมองคนที่ต้องร่วมทุกข์สุขยากด้วย

“นาชอบที่นี่มั๊ย?”

“ชอบ...มาไกลขนาดนี้ พวกนั้นคงตามหาเราไม่เจอแล้วหละ” น่านนทีส่ายหน้าให้กับประโยคนั้น ทราบดีว่าไม่มีอะไร ‘ไกล’ เกินความต้องการของคนได้

“ที่นี่มีไว้แค่ให้เราตั้งหลักเท่านั้น ไม่ใช่ที่พักพิง ถ้าน่านคิดได้ว่าต้องทำยังไง น่านจะกลับไปเอาคืน”

“ทำไม เค้าต้องทำลายล้างน่านด้วย น่านไม่เกี่ยวนะ นาต่างหากที่ไม่ยอมขายที่ให้กับเค้า” น่านนทีถอนหายใจ พยายามนึกถึงเรื่องราวที่ปะติดปะต่อยังไงก็ขาดๆ ร่วงๆ อยู่ดี

“ไอ้เรื่องที่ดินมันคงไม่สำคัญเท่ากับการหยาม น่านคิดว่าเฮียย้งคงรู้แล้ว ว่าที่พ่อพยายามเสนอราคาตัดหน้าเพราะอะไร และน่านก็สงสัยด้วยว่าใครเอาเรื่องนี้ไปบอกฝ่ายนั้น” ศศินาถอนหายใจบ้าง

“มีใครรู้เรื่องนี้บ้าง?”

“พ่อ เราสองคน...ลิน...วัฒน์” น่านนทีลงเสียงหนักที่ชื่อสองคนหลัง ทำให้ศศินาต้องลอบมองเสี้ยวหน้าหนึ่งของน่านนที พลางนึกถึงสองคน
หลังนั่น ตามน้ำเสียงของอีกฝ่าย ก่อนจะโคลงศีรษะ เนื่องจากไม่มีใครที่น่าสงสัยได้นอกจากคนทั้งคู่

“ไม่มีคนอื่นแล้วหรอ?” ใจหนึ่งก็นึกขัดขึ้นด้วยไม่คิดว่าอลินกับถิรวัฒน์จะกล้าทำแบบนั้นได้ลงคอ

“ไม่มี...นาคิดว่าไง?”

“ถ้าเป็นเหมือนที่นาคิดไว้ ก็ไม่สมควรมีชีวิตทั้งคู่!” หญิงสาวขมวดคิ้วชิดกัน แววตาวาวโรจน์ จนน่านนทีอดเอามือแตะบ่าปลอบไม่ได้ เขาไม่
เคยเห็นหญิงสาวโกรธขนาดนี้มาก่อน โกรธไม่ว่า แต่ไม่อยากให้หล่อนต้องคาดโทษใครด้วยชีวิตเช่นนั้น มันดูหมดมาดหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ไปโดยสิ้นเชิง

“เอาน่า...อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้” ศศินามองตาน่านนทีตามคำว่า ‘เรา’ ชายหนุ่มพยักหน้ายอมรับในคำถามที่ส่งมาทางแววตานั้น

“ก็แค่สงสัย...” เขาว่าต่อ

“คุณตา จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” น่านนทีหยุดสายตาไว้ที่ดวงตะวันสีส้มจัด เมื่อได้ยินหญิงสาวเปรยถึงญาติผู้ใหญ่ ที่บัดนี้โดนปลิดสังขาร สังเวยศักดิ์ศรีให้เฮียย้งเป็นที่เรียบร้อย

“ดูนั่นสิ” หญิงสาวเบนความสนใจไปที่ยายแก่ในชุดชาวเขา หัวขาวโพลน ใช้หลังโก่งค่อมของตนรองรับตะกร้าแบก ที่บัดนี้ไม่ยัก...มีผักอะไรพูนเต็ม เหมือนในภาพถ่ายตามโปสการ์ด ทว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นถุงยา และขวดแชมพู หลอดยาสีฟัน หากไม่ทำให้น่านนทีสนใจอะไรเกินไปกว่า---โล่งอก---ที่ได้เปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

ศศินายิ้มผูกมิตร ในขณะที่อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มเห็นฟันดำๆ ด่างๆ เพราะคนบนนี้ กินหมากแทนหมากฝรั่ง นัยน์ตามีแววสงสัยให้น่านนทีและศศินาโดยตรง

“จะไปไหนคะ?” คนโดนถามได้แต่ขมวดคิ้ว

“เค้าไม่เข้าใจภาษาไทยหรอกมั้ง” น่านนทีติง คราวนี้ศศินาขมวดคิ้วบ้าง

“กำลังจะกลับบ้าน” น่านนทีเดาผิด หากสำเนียงตอบของยายชาวเขาก็ยังคงแปร่งปร่า ไม่ชัดเจนทุกถ้อยคำเหมือนคนบนพื้นที่ราบ น่านนทียิ้มให้บ้าง

“บ้านอยู่ไหนครับ?”

“ก่อนถึงหมู่บ้าน”

“ก่อน ถึงหมู่บ้าน...งั้นก็ใกล้กับบ้านเราหนะสิ” ศศินาทวนคำ พลางนึกถึงบ้านที่ตนระหกระเหขึ้นมาเช่าเป็นที่พักพิง

บ้านหลังเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ก่อนถึงหมู่บ้านชาวเขาไม่ถึง 2 กิโลเมตร ถนนทางเข้าปลีกแยกจากถนนใหญ่ ทว่ามันแคบจนรถยนต์ไม่สามารถสวนทางกันได้ และคงไม่มีรถยนต์คันไหนสวนทางด้วย เนื่องจากสุดปลายทางคือบ้านที่หล่อนกับน่านนทีเช่าพักอยู่นั่นเอง ถนนหนทางเป็นลูกรังดินแดง สองฝั่งคือต้นไม้ และดงไมยราพทึบ ทั้งคู่ค้นพบบ้านหลังนี้ในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น น่านนทีติดต่อเจ้าของบ้านทันที ถ้าหากเป็นคนอื่นคงเบือนหน้าหนี เพราะแค่คำว่า ‘ดอยปุย’ นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับคำว่า ‘ไกล’ เจ้าของบ้านจึงฉงนใช่น้อยที่เขาติดต่อขอเช่า

“ไปด้วยกันไหมครับ บ้านผมก็ไปทางนั้น?” ชายหนุ่มชวน ยายชาวเขามีท่าทีลังเลอยู่บ้าง หากโดนศศินาคะยั้นคะยอ

“ไปด้วยกันเถอะคะ บ้านของพวกเราก็ไปทางนี้” คราวนี้คนแก่จึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะเดินขึ้นท้ายรถกระบะโฟวิล มีศศินาเดินตามต้อยๆ

“น่านขับรถนะ นาจะนั่งเป็นเพื่อนคุณยายเค้า อยากชมบรรยากาศด้วย”

ราเอล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่