กลร้าย อุบัติรัก
เขียน ...ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/34058785
บทที่ ๒ http://pantip.com/topic/34061303
บทที่ ๓ http://pantip.com/topic/34064438
บทที่ ๔ http://pantip.com/topic/34066898
บทที่ ๕ http://pantip.com/topic/34400930
ความในใจ ผู้เขียน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ จะบอกว่าแต่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกคงไม่ถูกนัก ต้องเรียกว่าแต่งจบเป็นเรื่องแรกคงใช่กว่า 555
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ^ ^ ชอบไม่ชอบไม่เหมาะสมยังไง ติชม หรือเป็นกำลังใจก็ได้นะคะ
หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขมินท์จึงแวะเข้าห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่ใจกลางตัวเมือง ระหว่างที่กำลังเดินหาของที่มุกรวีฝากซื้อก่อนจะออกมา
“อ้าว เขมใช่มั้ยจ๊ะนั่น” เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้น เมื่อหันไปก็พบผู้หญิงสูงวัยรูปร่างอวบ ผิวขาวผ่อง ท่าทางใจดีมองมาอย่างไม่แน่ใจ
“ครับ ป้าสุนีย์ใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มทักขึ้นอย่างจำได้ ส่งผลให้อีกฝ่ายเดินยิ้มกว้างเข้ามา
“แหม ไม่เจอตั้งนานโตเป็นหนุ่มหล่อเชียวนะเรา”
“แต่ป้านีย์ดูไม่เปลี่ยนเลยนะครับ สวยยังไงก็ยังสวยอยู่อย่างนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยแซว ทำเอาอีกฝ่ายค้อนมาให้อย่างหมั่นไส้
“ปากหวานนักนะเรา”
“มาจากน่านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เขมินท์เอ่ยถาม เนื่องด้วยสุนีย์นั้นเป็นเพื่อนเก็จกระรัตน์ ทำให้เขาได้รู้จักหญิงสูงวัยคนนี้ตั้งแต่เด็ก รู้จักสนิทสนมกันเหมือญาติผู้ใหญ่ของเขาคนหนึ่ง เนื่องจากมีการไปมาหาสู่กันเป็นประจำ โดยส่วนใหญ่แล้วสุนีย์จะอาศัยอยู่ที่เมืองน่านเสียมากกว่าเนื่องจากมีครอบครัวแล้วธุรกิจเล็กๆอยู่ที่นั้น พอมีช่วงว่างสุนีย์ก็มักพาลูกๆกลับมาเยี่ยมบิดามารดาที่เชียงใหม่เสมอ
“มาได้สองสามวันแล้วจ๊ะ น้องปุ๊กลูกป้าก็มาด้วย เห็นแกร่ำๆว่าอยากเจอพี่เขม เสียดายวันนี้ป้าไม่ได้พาแกมาด้วย”
“เอาไว้ผมแวะไปหายายปุ๊กที่บ้านก็ได้ครับ”
“ไว้คราวหน้าแล้วกันจ๊ะ พอดีมีงานด่วน พรุ่งนี้ป้าก็ต้องรีบกลับแล้ว จริงสิ ป้ามีเรื่องต้องคุยกับเก็จเสียด้วย ป้าก็ลืมไปเลย”
“น้าเก็จคงกลับมาบ้านช่วงเย็นๆนะครับ”
“แย่จริง ป้าคงเข้าไปเจอไม่ได้แล้วละ งั้นป้าขอฝากเขมไปละกันนะ ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องของป้าหรอก แต่มีคนเขาฝากมาอีกทีนะจ๊ะ”
“ใครหรือครับ”
“จากทางบ้านสามีเก่าเขา พอดีคุณพิชิต สามีเก็จเขานะจ๊ะ พึ่งเสียเมื่อสามเดือนก่อน เห็นทางญาติเขาบอกว่าพยายามติดต่อเก็จแล้ว แต่เก็จไม่ตอบอะไรเขาไปเลย เลยไม่มีโอกาสได้บอก พอเขารู้ว่าป้าเป็นเพื่อนเก็จจะมาที่นี่เลยฝากให้มาบอก เผื่อว่าเขาอยากจะพาลูกไปกราบศพพ่อเขาก่อนที่จะเผา”
“พึ่งเสียไปเมื่อสามเดือนก่อนหรือครับ” ชายหนุ่มฟังแล้วขมวดคิ้วทันที
“จ๊ะ เห็นว่าเป็นมะเร็งลำไส้รักษากันมาเป็นปี สุดท้ายก็สู้ต่อไม่ไหว ยังไงก็ฝากบอกเก็จเขาหน่อยเถอะนะ ถึงจะเลิกรากันไปแล้วก็ไปเผาผีเขาเสียหน่อย แค่น่านนี่เองไม่ได้ไกลอะไรมากมาย”
เขมินท์ที่ยังงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่รับคำ ก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบร้อนขอตัวกลับไปก่อน ทิ้งให้ชายหนุ่มมองตามอย่างงๆ ถ้าเอาตามที่รู้มาคือสามีเก็จกระรัตน์ตายเธอจึงพาน้ำหนึ่งกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่จากที่สุนีย์พึ่งบอกมาหมายความว่าเก็จกระรัตน์โกหกมาตลอด แต่เธอจะทำเพื่ออะไรกันนี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ
เสร็จจากซื้อของเขมินท์ขับรถมาตามทางไม่ได้รีบร้อนหนัก ด้วยว่าสองข้างทางนั้นเริ่มมืด และอีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านของชายหนุ่มแล้ว มองผ่านกระจกหลังเห็นกองกระดาษสำหรับวาดภาพ อีกทั้งสีน้ำจำนวนหนึ่งที่กองอยู่ที่เบาะหลัง นึกไปถึงคนที่ฝากซื้อ
เออ ป่านนี้แล้วยายตัวแสบยังกลับไม่ถึงบ้านอีกหรือไง อุส่ากำชับนักหนาให้โทรหาทันทีที่ถึงบ้าน สงสัยคงลืม เอ หรือไอ้เก่งมันจะลืมนายหญิงมันทิ้งไว้ที่ไร่หรือเปล่าหนอเราก็อุส่าย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามลืม ...เถอะ ยายตัวแสบนั้น ถึงมีปัญหาอะไรก็คงดื้อจัดการเองอีกตามเคย ชายหนุ่มยิ้มพลางส่ายหัว
ฉับพลันความคิดของเขาก็สะดุดลง เมื่อเขานึกขึ้นได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง วันนี้เขาเผลอใจลอยไปหายายหนูมุกกี่ครั้งแล้วนะ...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของชายหนุ่ม ใจหนึ่งคิดว่าหญิงสาวคงจะกลับถึงบ้านแล้ว ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูเบอร์ก็ต้องผิดคาดเมื่อเป็นเบอร์ของนายเก่งลูกน้องคนสนิท
“ฮัลโหล ว่าไงเก่ง”
“นายเขม! นายอยู่ที่ไหนครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน จนเขาเริ่มสงสัยขึ้นมา
“ฉันกำลังจะถึงบ้านแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”
“ไฟไหม้โรงเก็บของครับนาย ไหม้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้กำลังช่วยกันดับไฟอยู่ครับ”
“เฮ้ย” ชายหนุ่มอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ความสุขุมนั้นทำให้พอตั้งสติได้ “ไฟแรงแค่ไหน เรียกรถดับเพลิงหรือยัง”
“กำลังโหมแรงเลยครับนาย น่ากลัวว่าจะลามไปอีกซีกหนึ่ง โทรเรียกดับเพลิงแล้ว ตอนนี้ให้คนไปตามกันมาช่วยดับไฟอยู่ครับ”
“คุณมุกละ.. คุณมุกเธออยู่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เธอปลอดภัยครับ... เอ๊ะ!” เสียงอีกฝ่ายชะงักไป เหมือนตกใจกับอะไรบางอย่าง
“

แล้ว ...คุณมุก!!” คราวนี้เสียงนายเก่งตะโกนดังลั่นมีแววตื่นตระหนกอย่างชัดเจน เขมินท์ก็พลอยแล้วมากรอกสายเสียงละล่ำละลักบอกผู้เป็นนายอย่างร้อนรน “คุณมุก! ท่าจะไม่ปลอดภัยแล้วครับนาย เธอวิ่งเข้าไปในโรงเก็บของ ทำ...”
เขมินท์ตัดการสนทนา ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไรต่อ โยนโทรศัพท์ส่งๆลงที่บนเบาะข้างตัว ไม่สนใจว่ามันจะกลิ้งหลุ่นๆตกลงไปอยู่ที่พื้น ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งบึ่งทยานอย่างน่ากลัว จนแทบจะกลายเป็นเหาะ ...ให้ตายเถอะ ขนาดคนบ้าเห็นไฟ ก็ยังกลัว แล้วนี่เธอเป็นคนบ้าหรือคนดีนะถึงได้กระโจนเข้ากองไฟไปแบบนั้น ยายหนูมุก!
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามารำไร หญิงสาวที่อยู่บนเตียงนอนหนาหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วก็ต้องหยีตาเมื่อตายังไม่ชินกับแสง เมื่อตาเริ่มปรับกับแสงได้แล้วเธอจึงมองไปรอบๆตัวอย่างงุนงง พร้อมคำถามที่ผุดขึ้นในหัว
...เกิดอะไรขึ้น? เธอมานอนอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร หญิงสาวพยายามนึกย้อนไปเหตุการณ์ครั้งล่าสุดเท่าที่เธอจำได้ ไม่ทันไรความรู้สึกปวดก็แล่นจี๊ดขึ้นศีรษะแทบจะทันที
ประตูห้องเปิดออกปรากฏร่างสูงเดินเข้ามาตามด้วยหญิงสูงวัยที่หล่อนคุ้นตา
“คุณป้าจันทร์...” พูดไปแล้วก็ต้องแปลกใจที่เสียงที่เปล่งออกมานั้นแห้งผากเหลือเกิน หล่อนพยายามยันตัวลุกขึ้นจากที่นอน รู้สึกปวดแปลบบริเวณหัวไหล่ คุณจันทร์ฉายจึงรีบเข้ามาประคองหญิงสาวเอาไว้ รับน้ำจากเขมินท์มาป้อนให้หญิงสาวได้คลายความกระหายลงบ้าง
“เป็นยังไงบ้างลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกมึนๆ ...เกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวหันไปถาม เป็นเขมินท์ที่ชิงตอบขึ้นมาจ้องหญิงสาวด้วยสายตาวาววับที่ไม่มีแววความขี้เล่นเหมือนเคย
“ก็มีคนแถวนี้กระโจนเข้าไปในกองไฟหน้าตาเฉย คงคิดว่าตัวเองเป็นนางสีดาละมั้ง ถึงได้นึกอยากจะลองลุยไฟขึ้นมา”
มุกรวีนิ่งไป รู้สึกฉุนกับคำกระทบกระเทียบของอีกฝ่าย แต่ไม่มีแรงจะเอ่ยโต้ตอบกลับไป สมองประมวลผลเร็วจี๋ แล้วภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กลับคืนสู่ความทรงจำ
...หล่อนจำได้แล้ว ตอนนั้นที่ไฟไหม้โรงเก็บของ ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แล้วไม่รู้ตัวเองไปเอาความบ้าดีเดือดมาจากไหน เพียงแค่คิดว่าอาจจะยังมีคนอยู่ในนั้น หล่อนก็เสี่ยงวิ่งเข้าไปในโรงเก็บของที่ไฟกำลังลุกโหมด้วยตัวคนเดียว พอนึกออกตอนนี้แล้วก็อยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆสักที กับการกระทำเหมือนเด็กไม่รู้จักคิดแบบนั้น นี่หากคุณป๋าเธอรู้เข้า คงได้สวดหล่อนยาวข้ามปีเป็นแน่
.. แต่ก็โชคดีที่ได้เจอเด็กน้อยนั่งนั่งร้องไห้อยู่ในมุมลึกสุดของโรงเก็บของ ที่ตรงนั้นไฟยังเข้าไปไม่ถึง แต่ก็มีแผ่นไม้ที่คงตกลงมาจากด้านบนด้วยแรงของเปลวไฟขวางอยู่ หล่อนจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปเลาะลอดตามซากไม้นั้น เนื่องจากพิจารณาจากน้ำหนักกับกำลังตัวเองแล้ว มันคงหนักเกินกว่าที่จะยกออกได้ มุกรวีเข้าถึงตัวและโอบเด็กน้อยเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะร้อง ‘เยส’ ออกมาเบาๆ
‘ไม่เป็นไรแล้ว ไอ้หนู’
‘ช่วยด้วย ....แม่’ เด็กน้อยพูดพลางสะอื้นน้ำตาไหลพรากเต็มสองข้างแก้ม กอดตัวหญิงสาวเอาไว้แน่นราวกลับกลัวว่าหล่อนจะทิ้งเขาไป
‘เฮ้ย เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งสิ ไม่ร้อง ไป ออกไปหาแม่ข้างนอกกัน’ ว่าแล้วก็พยายามยกตัวเด็กชายให้ลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมร่วมมือยื้อตัวไว้สุดแรง
‘ผมกลัว...’ เด็กชายว่ายิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า
‘ไม่ต้องกลัว พี่มาช่วยแล้วนี่ไง’ มุกรวีพยายามปลอบ มองเปลวไฟที่ลามเข้าใกล้เข้าทุกทีอย่างกังวล
‘.. ฮือ’
‘ปัดโถ่ ไอ้หนูเอ้ย เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดพอดี’ มุกรวีว่าสมองพยายามหาทางออก แล้วก็นึกได้ขึ้นล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบของชิ้นเล็กๆ รูปร่างเป็นผีเสื้อยื่นออกมาตรงหน้าเด็กชาย
‘นี่ ลองเป่าตรงนี้สิ’ หญิงสาวชี้ไปที่รูเล็กๆตรงตูดผีเสื้อ เด็กชายแม้จะยังสะอื้นอยู่แต่ของเล็กๆสีสันสะดุดตาของมันก็เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี เด็กชายรับมาเป่าอย่างว่าง่าย
ลิ ลิง ลิ ลิง ลิ ลิง...
‘ชอบมั้ย’ เด็กชายพยักหน้าแทนคำตอบ
‘งั้นพี่ให้ แต่เราหยุดร้องแล้วทำตามที่พี่บอก ตกลงนะ’
‘ฮะ’
‘เยี่ยม!’ ว่าพลางยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ อดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ …ใครว่าหลอกเด็กเป็นเรื่องง่าย ไอ้มุกเถียงขาดใจจริงๆ เฮ้อ!
หญิงสาวลุกขึ้นและดึงเด็กน้อยให้ลุกตามอุ้มขึ้นโอบรอบเอว คราวนี้อีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนเอาผ้าชุบน้ำที่ถือมาด้วยปิดปากปิดจมูกหนูน้อยไว้ มองหน้ามองหลังอย่างลังเลก่อน แล้วค่อยๆเดินออกจากมุม
‘เฮ้ย!!’ มุกรวีร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆซากไม้ติดไฟท่อนใหญ่ก็หล่นลงมาเฉียดศรีษะหล่อนไปเพียงไม่กี่เซน จนตอนนี้ทางที่หล่อนเข้ามาปิดตายเสียแล้ว มุกรวีหันมองซ้ายขวามองหาทางออกตาสองข้างเริ่มแสบพร่า สมองเริ่มเบลอเพราะควันไฟ
ก่อนที่สติจะเริ่มลางเลือนเพราะรับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไป หญิงสาวหันไปเจอหน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดเอาไว้ หล่อนตรงเข้าไปอย่างไม่รีรอ มันคงเป็นหน้าต่างที่ไม่ได้เปิดใช้มานาน เพราะบานพับฝืดเสียจนดันแทบไม่ออก มุกรวีต้องวางเด็กชายลงแล้วใช้ทั้งหัวไหล่ และต้นแขนกระทุ้งหน้าต่างบานนั้นเต็มแรง จนสุดท้ายก็เปิดผลัวออกไปได้สำเร็จ
มุกรวีจัดการส่งตัวเด็กน้อยออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวเธอก็ปีนข้ามตามออกมาอย่างทุกลักทุเลเล็กน้อย
‘เรารอดแล้วเห็นมั้ย’
มุกรวีหันไปพูดกับหนุ่มน้อย ดันหลังให้เด็กชายวิ่งไป ตัวเองกำลังจะตามเด็กน้อยที่วิ่งนำไปแล้ว แต่อยู่ๆก็มีเสียงลั่น ดังเปรี๊ยะ ดังที่เหนือศีรษะเมื่อแหงนหน้าขึ้นมอง ท่อนไม้ขนาดใหญ่กำลังหล่นลงมาตรงตำแหน่งที่เธออยู่พอดิบพอดี!
หญิงสาวอยากจะก้าวหลบจากตรงนั้น แต่เหมือนโลกมืดดับลงไปแขนขาสองข้างก็อ่อนปวกเปียก ไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัว
และก่อนที่ร่างหญิงสาวจะทรุดลงไปกับพื้น หล่อนรู้สึกได้ถึงแขนใหญ่ตวัดโอบรอบตัวเธอเอาไว้ กระชากเธอพากันกลิ้งออกจากตรงนั้นได้อย่างฉิวเฉียดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
‘ยัยบ้าเอ๊ย!’
คนมากมายเข้ามามุงเธอกันเซงแซ่ มุกรวีรับรู้เพียงแรงเขย่าเบาๆ ก่อนที่อ้อมแขนนั้นช้อนตัวเธอลอยหวือขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วสติของเธอก็ดับวูบลง... นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่หล่อนจำได้
กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๖
เขียน ...ขอจันทร์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความในใจ ผู้เขียน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขมินท์จึงแวะเข้าห้างสรรพสินค้าแห่งใหญ่ใจกลางตัวเมือง ระหว่างที่กำลังเดินหาของที่มุกรวีฝากซื้อก่อนจะออกมา
“อ้าว เขมใช่มั้ยจ๊ะนั่น” เสียงหนึ่งเอ่ยทักขึ้น เมื่อหันไปก็พบผู้หญิงสูงวัยรูปร่างอวบ ผิวขาวผ่อง ท่าทางใจดีมองมาอย่างไม่แน่ใจ
“ครับ ป้าสุนีย์ใช่มั้ยครับ” ชายหนุ่มทักขึ้นอย่างจำได้ ส่งผลให้อีกฝ่ายเดินยิ้มกว้างเข้ามา
“แหม ไม่เจอตั้งนานโตเป็นหนุ่มหล่อเชียวนะเรา”
“แต่ป้านีย์ดูไม่เปลี่ยนเลยนะครับ สวยยังไงก็ยังสวยอยู่อย่างนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยแซว ทำเอาอีกฝ่ายค้อนมาให้อย่างหมั่นไส้
“ปากหวานนักนะเรา”
“มาจากน่านตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” เขมินท์เอ่ยถาม เนื่องด้วยสุนีย์นั้นเป็นเพื่อนเก็จกระรัตน์ ทำให้เขาได้รู้จักหญิงสูงวัยคนนี้ตั้งแต่เด็ก รู้จักสนิทสนมกันเหมือญาติผู้ใหญ่ของเขาคนหนึ่ง เนื่องจากมีการไปมาหาสู่กันเป็นประจำ โดยส่วนใหญ่แล้วสุนีย์จะอาศัยอยู่ที่เมืองน่านเสียมากกว่าเนื่องจากมีครอบครัวแล้วธุรกิจเล็กๆอยู่ที่นั้น พอมีช่วงว่างสุนีย์ก็มักพาลูกๆกลับมาเยี่ยมบิดามารดาที่เชียงใหม่เสมอ
“มาได้สองสามวันแล้วจ๊ะ น้องปุ๊กลูกป้าก็มาด้วย เห็นแกร่ำๆว่าอยากเจอพี่เขม เสียดายวันนี้ป้าไม่ได้พาแกมาด้วย”
“เอาไว้ผมแวะไปหายายปุ๊กที่บ้านก็ได้ครับ”
“ไว้คราวหน้าแล้วกันจ๊ะ พอดีมีงานด่วน พรุ่งนี้ป้าก็ต้องรีบกลับแล้ว จริงสิ ป้ามีเรื่องต้องคุยกับเก็จเสียด้วย ป้าก็ลืมไปเลย”
“น้าเก็จคงกลับมาบ้านช่วงเย็นๆนะครับ”
“แย่จริง ป้าคงเข้าไปเจอไม่ได้แล้วละ งั้นป้าขอฝากเขมไปละกันนะ ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องของป้าหรอก แต่มีคนเขาฝากมาอีกทีนะจ๊ะ”
“ใครหรือครับ”
“จากทางบ้านสามีเก่าเขา พอดีคุณพิชิต สามีเก็จเขานะจ๊ะ พึ่งเสียเมื่อสามเดือนก่อน เห็นทางญาติเขาบอกว่าพยายามติดต่อเก็จแล้ว แต่เก็จไม่ตอบอะไรเขาไปเลย เลยไม่มีโอกาสได้บอก พอเขารู้ว่าป้าเป็นเพื่อนเก็จจะมาที่นี่เลยฝากให้มาบอก เผื่อว่าเขาอยากจะพาลูกไปกราบศพพ่อเขาก่อนที่จะเผา”
“พึ่งเสียไปเมื่อสามเดือนก่อนหรือครับ” ชายหนุ่มฟังแล้วขมวดคิ้วทันที
“จ๊ะ เห็นว่าเป็นมะเร็งลำไส้รักษากันมาเป็นปี สุดท้ายก็สู้ต่อไม่ไหว ยังไงก็ฝากบอกเก็จเขาหน่อยเถอะนะ ถึงจะเลิกรากันไปแล้วก็ไปเผาผีเขาเสียหน่อย แค่น่านนี่เองไม่ได้ไกลอะไรมากมาย”
เขมินท์ที่ยังงงจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่รับคำ ก่อนที่อีกฝ่ายจะรีบร้อนขอตัวกลับไปก่อน ทิ้งให้ชายหนุ่มมองตามอย่างงๆ ถ้าเอาตามที่รู้มาคือสามีเก็จกระรัตน์ตายเธอจึงพาน้ำหนึ่งกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่จากที่สุนีย์พึ่งบอกมาหมายความว่าเก็จกระรัตน์โกหกมาตลอด แต่เธอจะทำเพื่ออะไรกันนี่คือสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ
เสร็จจากซื้อของเขมินท์ขับรถมาตามทางไม่ได้รีบร้อนหนัก ด้วยว่าสองข้างทางนั้นเริ่มมืด และอีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านของชายหนุ่มแล้ว มองผ่านกระจกหลังเห็นกองกระดาษสำหรับวาดภาพ อีกทั้งสีน้ำจำนวนหนึ่งที่กองอยู่ที่เบาะหลัง นึกไปถึงคนที่ฝากซื้อ
เออ ป่านนี้แล้วยายตัวแสบยังกลับไม่ถึงบ้านอีกหรือไง อุส่ากำชับนักหนาให้โทรหาทันทีที่ถึงบ้าน สงสัยคงลืม เอ หรือไอ้เก่งมันจะลืมนายหญิงมันทิ้งไว้ที่ไร่หรือเปล่าหนอเราก็อุส่าย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามลืม ...เถอะ ยายตัวแสบนั้น ถึงมีปัญหาอะไรก็คงดื้อจัดการเองอีกตามเคย ชายหนุ่มยิ้มพลางส่ายหัว
ฉับพลันความคิดของเขาก็สะดุดลง เมื่อเขานึกขึ้นได้ถึงความจริงข้อหนึ่ง วันนี้เขาเผลอใจลอยไปหายายหนูมุกกี่ครั้งแล้วนะ...
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัดความคิดของชายหนุ่ม ใจหนึ่งคิดว่าหญิงสาวคงจะกลับถึงบ้านแล้ว ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดูเบอร์ก็ต้องผิดคาดเมื่อเป็นเบอร์ของนายเก่งลูกน้องคนสนิท
“ฮัลโหล ว่าไงเก่ง”
“นายเขม! นายอยู่ที่ไหนครับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินอีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน จนเขาเริ่มสงสัยขึ้นมา
“ฉันกำลังจะถึงบ้านแล้ว มีอะไรหรือเปล่า”
“ไฟไหม้โรงเก็บของครับนาย ไหม้ไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้กำลังช่วยกันดับไฟอยู่ครับ”
“เฮ้ย” ชายหนุ่มอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ แต่ความสุขุมนั้นทำให้พอตั้งสติได้ “ไฟแรงแค่ไหน เรียกรถดับเพลิงหรือยัง”
“กำลังโหมแรงเลยครับนาย น่ากลัวว่าจะลามไปอีกซีกหนึ่ง โทรเรียกดับเพลิงแล้ว ตอนนี้ให้คนไปตามกันมาช่วยดับไฟอยู่ครับ”
“คุณมุกละ.. คุณมุกเธออยู่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เธอปลอดภัยครับ... เอ๊ะ!” เสียงอีกฝ่ายชะงักไป เหมือนตกใจกับอะไรบางอย่าง
“
เขมินท์ตัดการสนทนา ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไรต่อ โยนโทรศัพท์ส่งๆลงที่บนเบาะข้างตัว ไม่สนใจว่ามันจะกลิ้งหลุ่นๆตกลงไปอยู่ที่พื้น ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งบึ่งทยานอย่างน่ากลัว จนแทบจะกลายเป็นเหาะ ...ให้ตายเถอะ ขนาดคนบ้าเห็นไฟ ก็ยังกลัว แล้วนี่เธอเป็นคนบ้าหรือคนดีนะถึงได้กระโจนเข้ากองไฟไปแบบนั้น ยายหนูมุก!
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามารำไร หญิงสาวที่อยู่บนเตียงนอนหนาหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วก็ต้องหยีตาเมื่อตายังไม่ชินกับแสง เมื่อตาเริ่มปรับกับแสงได้แล้วเธอจึงมองไปรอบๆตัวอย่างงุนงง พร้อมคำถามที่ผุดขึ้นในหัว
...เกิดอะไรขึ้น? เธอมานอนอยู่ในห้องนี้ได้อย่างไร หญิงสาวพยายามนึกย้อนไปเหตุการณ์ครั้งล่าสุดเท่าที่เธอจำได้ ไม่ทันไรความรู้สึกปวดก็แล่นจี๊ดขึ้นศีรษะแทบจะทันที
ประตูห้องเปิดออกปรากฏร่างสูงเดินเข้ามาตามด้วยหญิงสูงวัยที่หล่อนคุ้นตา
“คุณป้าจันทร์...” พูดไปแล้วก็ต้องแปลกใจที่เสียงที่เปล่งออกมานั้นแห้งผากเหลือเกิน หล่อนพยายามยันตัวลุกขึ้นจากที่นอน รู้สึกปวดแปลบบริเวณหัวไหล่ คุณจันทร์ฉายจึงรีบเข้ามาประคองหญิงสาวเอาไว้ รับน้ำจากเขมินท์มาป้อนให้หญิงสาวได้คลายความกระหายลงบ้าง
“เป็นยังไงบ้างลูก”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่รู้สึกมึนๆ ...เกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวหันไปถาม เป็นเขมินท์ที่ชิงตอบขึ้นมาจ้องหญิงสาวด้วยสายตาวาววับที่ไม่มีแววความขี้เล่นเหมือนเคย
“ก็มีคนแถวนี้กระโจนเข้าไปในกองไฟหน้าตาเฉย คงคิดว่าตัวเองเป็นนางสีดาละมั้ง ถึงได้นึกอยากจะลองลุยไฟขึ้นมา”
มุกรวีนิ่งไป รู้สึกฉุนกับคำกระทบกระเทียบของอีกฝ่าย แต่ไม่มีแรงจะเอ่ยโต้ตอบกลับไป สมองประมวลผลเร็วจี๋ แล้วภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็กลับคืนสู่ความทรงจำ
...หล่อนจำได้แล้ว ตอนนั้นที่ไฟไหม้โรงเก็บของ ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด แล้วไม่รู้ตัวเองไปเอาความบ้าดีเดือดมาจากไหน เพียงแค่คิดว่าอาจจะยังมีคนอยู่ในนั้น หล่อนก็เสี่ยงวิ่งเข้าไปในโรงเก็บของที่ไฟกำลังลุกโหมด้วยตัวคนเดียว พอนึกออกตอนนี้แล้วก็อยากจะเขกหัวตัวเองแรงๆสักที กับการกระทำเหมือนเด็กไม่รู้จักคิดแบบนั้น นี่หากคุณป๋าเธอรู้เข้า คงได้สวดหล่อนยาวข้ามปีเป็นแน่
.. แต่ก็โชคดีที่ได้เจอเด็กน้อยนั่งนั่งร้องไห้อยู่ในมุมลึกสุดของโรงเก็บของ ที่ตรงนั้นไฟยังเข้าไปไม่ถึง แต่ก็มีแผ่นไม้ที่คงตกลงมาจากด้านบนด้วยแรงของเปลวไฟขวางอยู่ หล่อนจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปเลาะลอดตามซากไม้นั้น เนื่องจากพิจารณาจากน้ำหนักกับกำลังตัวเองแล้ว มันคงหนักเกินกว่าที่จะยกออกได้ มุกรวีเข้าถึงตัวและโอบเด็กน้อยเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะร้อง ‘เยส’ ออกมาเบาๆ
‘ไม่เป็นไรแล้ว ไอ้หนู’
‘ช่วยด้วย ....แม่’ เด็กน้อยพูดพลางสะอื้นน้ำตาไหลพรากเต็มสองข้างแก้ม กอดตัวหญิงสาวเอาไว้แน่นราวกลับกลัวว่าหล่อนจะทิ้งเขาไป
‘เฮ้ย เป็นลูกผู้ชายต้องเข้มแข็งสิ ไม่ร้อง ไป ออกไปหาแม่ข้างนอกกัน’ ว่าแล้วก็พยายามยกตัวเด็กชายให้ลุกขึ้น แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมร่วมมือยื้อตัวไว้สุดแรง
‘ผมกลัว...’ เด็กชายว่ายิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า
‘ไม่ต้องกลัว พี่มาช่วยแล้วนี่ไง’ มุกรวีพยายามปลอบ มองเปลวไฟที่ลามเข้าใกล้เข้าทุกทีอย่างกังวล
‘.. ฮือ’
‘ปัดโถ่ ไอ้หนูเอ้ย เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดพอดี’ มุกรวีว่าสมองพยายามหาทางออก แล้วก็นึกได้ขึ้นล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อหยิบของชิ้นเล็กๆ รูปร่างเป็นผีเสื้อยื่นออกมาตรงหน้าเด็กชาย
‘นี่ ลองเป่าตรงนี้สิ’ หญิงสาวชี้ไปที่รูเล็กๆตรงตูดผีเสื้อ เด็กชายแม้จะยังสะอื้นอยู่แต่ของเล็กๆสีสันสะดุดตาของมันก็เรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี เด็กชายรับมาเป่าอย่างว่าง่าย
ลิ ลิง ลิ ลิง ลิ ลิง...
‘ชอบมั้ย’ เด็กชายพยักหน้าแทนคำตอบ
‘งั้นพี่ให้ แต่เราหยุดร้องแล้วทำตามที่พี่บอก ตกลงนะ’
‘ฮะ’
‘เยี่ยม!’ ว่าพลางยกนิ้วหัวแม่โป้งให้ อดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ …ใครว่าหลอกเด็กเป็นเรื่องง่าย ไอ้มุกเถียงขาดใจจริงๆ เฮ้อ!
หญิงสาวลุกขึ้นและดึงเด็กน้อยให้ลุกตามอุ้มขึ้นโอบรอบเอว คราวนี้อีกฝ่ายทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนเอาผ้าชุบน้ำที่ถือมาด้วยปิดปากปิดจมูกหนูน้อยไว้ มองหน้ามองหลังอย่างลังเลก่อน แล้วค่อยๆเดินออกจากมุม
‘เฮ้ย!!’ มุกรวีร้องเสียงหลงเมื่ออยู่ๆซากไม้ติดไฟท่อนใหญ่ก็หล่นลงมาเฉียดศรีษะหล่อนไปเพียงไม่กี่เซน จนตอนนี้ทางที่หล่อนเข้ามาปิดตายเสียแล้ว มุกรวีหันมองซ้ายขวามองหาทางออกตาสองข้างเริ่มแสบพร่า สมองเริ่มเบลอเพราะควันไฟ
ก่อนที่สติจะเริ่มลางเลือนเพราะรับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไป หญิงสาวหันไปเจอหน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดเอาไว้ หล่อนตรงเข้าไปอย่างไม่รีรอ มันคงเป็นหน้าต่างที่ไม่ได้เปิดใช้มานาน เพราะบานพับฝืดเสียจนดันแทบไม่ออก มุกรวีต้องวางเด็กชายลงแล้วใช้ทั้งหัวไหล่ และต้นแขนกระทุ้งหน้าต่างบานนั้นเต็มแรง จนสุดท้ายก็เปิดผลัวออกไปได้สำเร็จ
มุกรวีจัดการส่งตัวเด็กน้อยออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวเธอก็ปีนข้ามตามออกมาอย่างทุกลักทุเลเล็กน้อย
‘เรารอดแล้วเห็นมั้ย’
มุกรวีหันไปพูดกับหนุ่มน้อย ดันหลังให้เด็กชายวิ่งไป ตัวเองกำลังจะตามเด็กน้อยที่วิ่งนำไปแล้ว แต่อยู่ๆก็มีเสียงลั่น ดังเปรี๊ยะ ดังที่เหนือศีรษะเมื่อแหงนหน้าขึ้นมอง ท่อนไม้ขนาดใหญ่กำลังหล่นลงมาตรงตำแหน่งที่เธออยู่พอดิบพอดี!
หญิงสาวอยากจะก้าวหลบจากตรงนั้น แต่เหมือนโลกมืดดับลงไปแขนขาสองข้างก็อ่อนปวกเปียก ไม่มีแม้แต่แรงจะทรงตัว
และก่อนที่ร่างหญิงสาวจะทรุดลงไปกับพื้น หล่อนรู้สึกได้ถึงแขนใหญ่ตวัดโอบรอบตัวเธอเอาไว้ กระชากเธอพากันกลิ้งออกจากตรงนั้นได้อย่างฉิวเฉียดชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
‘ยัยบ้าเอ๊ย!’
คนมากมายเข้ามามุงเธอกันเซงแซ่ มุกรวีรับรู้เพียงแรงเขย่าเบาๆ ก่อนที่อ้อมแขนนั้นช้อนตัวเธอลอยหวือขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วสติของเธอก็ดับวูบลง... นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่หล่อนจำได้