กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๙

กลร้าย อุบัติรัก บทที่ 9
เขียน... ขอจันทร์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    วันถัดมาข่าวจากโรงพยาบาล แจ้งมาว่า เด็กชายต้อมหายตัวไปจากโรงพยาบาลอย่างไร้ร่องรอย ทันทีที่เขมินท์และมุกรวีรู้ข่าว ทั้งคู่ก็รีบมุ่งไปที่โรงพยาบาล ไปถึงทั้งคู่ก็พบแม่ของต้อมนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าห้องพัก

    “มาลี”

    “นาย! ช่วยฉันด้วยจ๊ะ ลูกฉันหายไป” มาลีปรี่เข้ามาหาผู้เป็นนายพร้อมน้ำตานองหน้า

    “ใจเย็นนะ มาลี บอกฉันสิว่าต้อมหายไปได้ยังไง” เขมินท์พยายามปลอบ

    “เมื่อตอนเช้ามืดฉันตื่นขึ้นมา ต้อมก็หายไปแล้ว”

    “ต้อมหายไปตอนไหน น้าไม่รู้สึกตัวเลยหรอ” มุกรวีถาม

    “ไม่รู้เลยจ๊ะ ตื่นมาเมื่อเช้าก็มึนๆ เหมือนนอนไม่พอทั้งที่หลับสนิทไม่รู้ตัวเลย”

    “น้าดูตาลอยๆนะ หน้าตาเหมือนคนโดนมอมยาเลย” มุกรวีจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจับสังเกต เขมินท์เองได้ยินอย่างนั้นลองพินิจดูก็เห็นจริงอย่างที่หญิงสาวว่า

    “ฉันว่ามาลีลองไปให้หมอตรวจดูดีกว่า” ชายหนุ่มว่า

    “ฉันไม่เป็นอะไรหรอกจ๊ะนาย แต่ว่าต้อม..”

    “เรื่องต้อมฉันจะจัดการเอง ตอนนี้มาลีต้องไปให้หมอตรวจก่อน เพราะมันอาจจะเกี่ยวกับที่ต้อมหายไป” ชายหนุ่มออกคำสั่ง ก่อนจะเรียกพยาบาลที่เดินผ่านมาให้ช่วยพาหล่อนไปตรวจร่างกาย มุกรวีมองหญิงกลางคนที่เดินออกไปกับพยาบาล หันมาหาคนตัวโตที่ยืนข้างๆ

    “คุณแน่ใจนะ ว่าคนงานของคุณไม่ได้เล่นยา”

    “จะบ้าหรอ คนงานของผมไม่มีประวัติยาเสพติดนะครับ” ชายหนุ่มตอบกลับแทบจะทันที หญิงสาวจึงเพียงแค่ยักไหล่

    “ก็แค่ลองถามดู” มุกรวีพึมพำเบาๆอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “แต่ที่แน่ๆ ถ้าต้อมหายตัวไปจริง มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่”

    “ไอ้มือเพลิงถ้ามันไม่โง่ มันก็คงคิดได้เหมือนเรา” ชายหนุ่มพูดอย่างเจ็บใจ

    “ขออย่าให้มันทำอะไรต้อมก็แล้วกัน”

    หลังจากนั้นทางโรงพยาบาลก็ช่วยกันตามหาเด็กชายต้อม โดยเขมินท์ขอให้เช็คภาพทางกล้องวงจรปิด แต่ไม่ได้ความคืบหน้าอะไร เนื่องจากโรงพยาบาลมีกล้องวงจรปิดเพียงบางจุด อีกทั้งช่วงที่เกิดเหตุเป็นช่วงกลางคืนถึงเช้ามืดจึงหาผู้เห็นเหตุการณ์ได้ยาก จึงทำได้เพียงไปแจ้งความไว้

    “ทำยังไงดีจ๊ะนาย ต้อมมันจะไปเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้” มาลีว่า เริ่มร้องไห้คร่ำครวญอีกครั้ง มุกรวีมองอย่างเห็นใจ

    “ทำใจดีๆไว้ก่อนนะน้า เรื่องมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้”

    “คุณก็พูดได้สิ คุณไม่ได้เป็นแม่คนอย่างฉันนี่ ลูกฉันหายไปทั้งคนจะทำใจเย็นยังไงไหว” หญิงกลางคนเริ่มตีโพยตีพายน้ำตานองหน้าจนพาลเอากับหญิงสาว

    “ใช่ ฉันไม่เคยเป็นแม่ใคร แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของแม่ที่เป็นห่วงลูก ฉันก็อยากจะให้น้าคร่ำครวญเสียให้พอใจหรอกนะ ถ้าไม่ติดที่ว่าเวลาแค่นาทีเดียวที่เสียไปมันก็อาจจะเกิดเรื่องร้ายๆกับต้อมก็ได้ ” มุกรวีว่าตรงๆ แม้จะเวทนาแต่ก็อดที่จะรู้สึกขัดใจไม่ได้ อีกฝ่ายจึงยอมสงบลง เขมินท์ดึงแขนหญิงสาวไว้เป็นเชิงเตือน

    “ผมว่าเรากลับไร่กันก่อนดีกว่า” เขมินท์หันไปบอกกับมุกรวี ซึ่งเธอเองก็เห็นด้วย แต่มาลีที่ฟังทั้งคู่อยู่เอ่ยแทรกขึ้นมาอย่างร้อนรน

    “แล้วลูกฉันละนาย นายจะไม่หาลูกฉันแล้วหรอ”

    “กลับไปคุยกันที่ไร่ก่อน ว่าควรจะทำยังไงต่อ ไม่แน่กลับไปเราอาจจะได้เจอต้อมที่นั่นก็ได้” เขมินท์พยายามปลอบทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่ตนพูดนั้นช่างเป็นไปได้ยากเหลือเกิน หญิงกลางคนพยักหน้ารับรู้ยอมเดินตามทั้งคู่ขึ้นรถไป

    เขมินท์ขับรถมุ่งกลับสู่ตัวไร่ สายตามองเบาะด้านหลังผ่านกระจกมองหลัง คนเป็นแม่ยังนั่งร้องไห้กระอืดๆ โดยมีมุกรวีที่นั่งอยู่ข้างๆหยิบทิชชู่ส่งให้เป็นระยะๆ คนมองอมยิ้มๆน้อยเมื่อเห็นท่าทางการปฏิบัติจะไม่ได้นุ่มนวลอ่อนโยนดูท่าจะปลอบคนไม่เก่งเท่าไหร่นัก

    ผ่านไปพักใหญ่รถก็แล่นเข้าสู่ตัวไร่ มาลีรีบวิ่งกลับไปที่บ้านพักคนงานอย่างรวดเร็ว หายไปไม่นาน ก็เดินออกมาพร้อมส่ายหน้า เขมินท์กับมุกรวีที่แยกย้ายกันไปดูรอบๆไร่ และสอบถามคนงานดู แต่ก็ไม่ได้อะไรเดินกลับมาสมทบ เขมินท์มองคนงานหญิงตรงหน้าอย่างหนักใจ
    “เดี๋ยวฉันจะขอให้พ่อช่วยใช้เส้นสายสืบหาอีกแรง ตอนนี้มาลีไปพักก่อนเถอะ”

    “ลูกฉันหายไปแบบนี้ฉันพักไม่ไหวหรอกจ๊ะนาย”

    “ต้องพักให้ได้ ถ้ามาลีล้มไปอีกคนคงวุ่นวายกันไปใหญ่” ชายหนุ่มพูดลักษณะเป็นการออกคำสั่งมากกว่าจะแนะนำ หญิงกลางคนจึงทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับ

    “น้าไว้ใจพวกเรานะ” มุกรวีว่าพลางบีบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ

    เขมินท์หันไปเรียกคนงานหญิงคนหนึ่งที่ยืนเมียงๆมองๆอยู่แถวนั้นพอดี ให้มาพามาลีไป แล้วจึงถอยออกมาพร้อมหญิงสาว

    ทั้งคู่เดินกันไปเรื่อยๆจนถึงตัวสำนักงาน มุกรวีที่นิ่งเงียบ ครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยถึงกับสะดุ้งเมื่อรู้สึกตัวอีกที ใบหน้าคมสันของเขมินท์ก็ยื่นหน้ามาจนเกือบจะชิดติดกับหน้าเธอ หญิงสาวผงะถอยหลังไป มือข้างหนึ่งก็ยกขึ้นฟาดลงข้างแก้มอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ เขมินท์ยืนค้างอยู่ท่าเดิมลืมตาขึ้นช้าๆ ส่งยิ้มเย็นๆให้อีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

    “ทำยังไงถึงจะแก้ไอ้นิสัยมือไวของคุณได้ซะทีนะ”

    “คุณก็อย่าทำให้ฉันตกใจสิ” หญิงสาวว่าเสียงอ่อย

    “ก็คุณนะ ใจลอยไปถึงไหน ผมทั้งเรียกทั้งจ้องคุณอยู่ตั้งนาน นี่ถ้าคุณรู้สึกตัวช้ากว่านี้อีกนิด ผมได้จูบคุณไปแล้ว”

    “จูบสิ ฉันต่อยตาแตกแน่”

    “อย่าเผลอละกัน” ชายหนุ่มว่า พลางยักคิ้วให้ ก่อนจะยืดตัวขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายอย่างจริงจังขึ้น

    “ตกลงว่ายังไง หรือคิดถึงไอ้หนุ่มที่ไหนอยู่”

    “เปล่า ฉันกำลังนึกถึงน้องสาวคุณอยู่”

    “ยายหนึ่งทำไม” ได้ยินชื่อน้องสาว คิ้วสองข้างก็ขมวดเข้าหากันทันที มุกรวีมองคนตัวโตอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกมา

    “ฉันถามหน่อยสิ เรื่องพวกมือบอนป่วนไร่นะ มันมักจะลงมือเวลาไหนหรอ”

    “ก็คงช่วงเย็นๆค่ำๆ เพราะปกติจะมาเจอก็ตอนเช้าแล้ว” เขมินท์แม้จะยัง งงๆ แต่ก็ตอบหญิงสาวแต่โดยดี

    “ช่วงเสาร์อาทิตย์มันเคยลงมือบ้างหรือเปล่า”

    “อืม ไม่นะ เอ ไอ้พวกนี้มันหยุดงานเสาร์อาทิตย์หรอ” ชายหนุ่มคาดเดาอย่างไม่จริงเป็นจังนัก

    “แปลกใช่มั้ย ทั้งๆที่วันหยุดน่าจะเป็นวันที่ลงมือได้ง่ายกว่า แต่มันกลับไม่ทำ”

    “คุณกำลังบอกอะไร” ชายหนุ่มถามขี้เกียจจะเล่นยี่สิบคำถามแล้ว จึงเอ่ยถามอีกฝ่ายตรงๆ มุกรวีมองหน้าคนตรงหน้า พลางถอนหายใจก่อนจะเอ่ย

    “คุณเคยคิดมั้ยว่าน้องสาวคุณอยู่แต่ที่บ้านหลังนั้นจริงๆหรือเปล่า”

    “นี่คุณหมายความว่า” ชายหนุ่มที่เข้าใจความหมายอีกฝ่ายได้ในทันที

    “เดี๋ยวๆๆ! ฉันไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น” มุกรวีขัดขึ้น ก่อนจะอธิบาย

    “ฉันแค่จะบอกว่า น้องสาวคุณนะไม่ได้นั่งซื่อๆอยู่บ้านอย่างเดียวอย่างที่คุณ แล้วก็ทุกคนคิดหรอกนะ”

    “คุณรู้ได้ยังไง” เขมินท์ถามอย่างสงสัย มุกรวีไม่ตอบแต่ดึงแขนอีกฝ่ายเดินไปที่ด้านหลังของสำนักงานแทน

    “ตอนที่ฉันมาที่นี่ครั้งแรก คุณบอกว่าตรงนี้คุณพึ่งให้คนงานมาทำเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่คุณหนึ่งที่ไม่เคยออกจากบ้านมาเกือบสองเดือน เธอกลับรู้ว่าที่นี่เปลี่ยนสภาพไปแล้ว”

    “บางที ผม.. หรือใครอาจเล่าให้หนึ่งฟัง” เขมินท์พยายามแก้ต่าง ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก

    “เธอบอกฉันว่า ที่ตรงนี้เคยมีดอกทานตะวันบานสวย เพราะตรงนี้เป็นที่ที่รับแสงได้ดี แต่ตอนนี้โดนถางออก เอาแสลนมากาง เอาเก้าอี้เก่าๆมาวางเต็มไปหมด ไม่รู้เอาไว้ทำอะไร” มุกรวีพูดตามที่จดจำเอาไว้ได้แม่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งฟัง จึงค่อยๆเอ่ยต่อ

    “สิ่งที่เธอพูด แสดงว่าเธอไม่ได้รับรู้มาจากการได้ยิน แต่เธอรับรู้มาจากการมองเห็นด้วยตาตัวเอง” มุกรวีสรุปเสร็จ มองปฏิกิริยาจากอีกฝ่าย

    “แต่ผมไม่คิดว่าหนึ่งจะเป็นคนเผาโรงเก็บของหรอกนะ” ชายหนุ่มว่า ยกมือขึ้นกอดอก

    “หนึ่งไม่ใช่เด็กใจแข็ง”

    “ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเธอจะทำ เท่าที่ฉันดูเธอไม่ใช่คนใจแข็ง แต่แววตาของเธอก็ไม่ใช่คนอ่อน”

    “คุณพึ่งมารู้จักหนึ่งไม่นาน”

    “ใช่ แต่คุณรู้อะไรมั้ยรูปวาดสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของคนได้ อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่สิ่งที่มันแสดงออกมาไม่มีทางโกหกได้แน่”

    “รูปนั่นมันบอกอะไรละ” ชายหนุ่มถามพลางเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้น

    “ความโดดเดี่ยว ภายใต้ท่าทางโอนอ่อน เธอกำลังมีความคิดต่อต้าน คล้ายๆกับกบฏอะไรบางอย่างอยู่ในใจ”

    “ก็แค่รูปภาพ คุณจะไปเอาจริงเอาจังอะไร”

    “โอเค มันก็แค่รูปภาพ” หญิงสาวยอมรับ

    “แต่เรื่องที่เธอแอบหนีออกมาจากบ้านไม่ใช่เรื่องเล่นแน่” มุกรวีว่า ถอยออกมาเล็กน้อย ยกมือขึ้นกอดออก มองอีกฝ่ายอย่างท้าทายก่อนเอ่ย

    “คุณไม่อยากรู้หรือว่าน้องคุณมาทำอะไร”

******************************

    เมื่อศรัณรับทราบเรื่องราวคร่าวๆจากเขมินท์แล้ว การประสานงานไปทางตำรวจแล้วยัง หน่วยงานต่างๆในการช่วยกันค้นหาเด็กชายต้อมก็เป็นไปอย่างง่ายดาย นั่นทำให้ทั้งเขมินท์และมุกรวีหายห่วงไปเรื่องหนึ่ง

    แต่ตกบ่ายวันนั้นมีเรื่องโกลาหลกันยกใหญ่ เมื่อแม่มณีแม่วัวพันธุ์ดีเกิดจะคลอดลูก แต่เจ้าลูกวัวดันไปติดอยู่ตรงเชิงกรานออกมาไม่ได้ เสียงร้องโหยหวนด้วยความทรมานของแม่วัวดังไปทั่วบริเวณจนมุกรวีรู้สึกขนลุก เธอไม่มีความรู้ในเรื่องนี้จึงได้แต่ส่งกำลังใจอยู่ห่างๆให้ทั้งแม่มณี และเจ้าของไร่ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำคลอดให้แม่วัว ท่าทางทุกคนดูเป็นกังวลเนื่องจากอาการของแม่วัวพันธ์ดี ดูจะแย่ลงเรื่อยๆ

    เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงมุกรวีที่มองคนวิ่งเข้าวิ่งออกจากคอกกันวุ่นวาย ในที่สุดเสียงที่ทุกคนรอคอยก็ดังออกมา เป็นเสียงของเจ้าลูกวัวตัวน้อยที่หลุดออกมาจากท้องแม่ได้สำเร็จ เสียงโห่ร้องดีใจดังขึ้นรอบตัว ทั้งแม่วัว ลูกวัวปลอดภัย มุกรวียิ้มออกมาอย่างโล่งใจ ยกนิ้วโป้งให้ เจ้าของไร่หนุ่มที่กำลังยิ้มทั้งตาทั้งปาก มองชีวิตใหม่ที่เกิดมาอย่างภูมิใจ

    “เก่งมากแม่มณี” ชายหนุ่มตบเบาๆที่ข้างลำตัว ส่งให้คนงานจัดการต่อ ส่วนตัวเองก็ลุกออกจากคอกมาอย่างทุลักทุกเลทั้งตัวเปื้อนทั้งเลือด น้ำคร่ำ ทั้งยังเศษดินเต็มไปหมด เดินมาหาหญิงสาว

    “เห็นลูกวัวหรือยัง”

    “ลูกวัวไม่เห็น เห็นแต่หัวคนเต็มไปหมด” หญิงสาวว่า คนตัวโตจึงหัวเราะจูงหญิงสาวมาที่คอกชี้ให้เห็นลูกวัวตัวลีบผอมเกร็งกำลังดูดนมจากเต้าแม่มัน มุกรวีมองภาพนั้นอย่างเอ็นดู พอดีชายคนหนึ่งก็เดินเข้ามาส่งผ้าขนหนูให้

    “เยี่ยมเลยครับนาย ตอนแรกผมก็นึกว่าแม่มณีจะไม่รอดแล้วซะอีก” ว่าพลางยื่นผ้าขนหนูผืนเล็กให้

    “แม่ลูกดวงยังไม่ถึงฆาตร เออ เดี๋ยวฝากชาติดูแม่มณีทีนะ ดูอาการยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ชายหนุ่มรับผ้าขนหนูมาเช็ดตามเนื้อตัวอย่างลวกๆ แล้วส่งคืนให้อีกฝ่าย

    “ได้ครับนาย” ชาติรับคำแล้วหันไปร้องสั่งคนงานคนหนึ่ง ที่มุกรวีจำได้ว่าเป็นคนที่เคยเจอที่สำนักงาน

    “คนงานคนนั้นเขาชื่ออะไรหรอ” มุกรวีเอ่ยถาม ชาติหันไปตามที่หญิงสาวบุ้ยหน้าไป

    “อ๋อ ไอ้นี่มันชื่อลิตร คุณมุกมีอะไรกับมันหรือครับ”

    “เปล่า แต่เห็นดูท่าทางชอบหลบหน้าหลบตาชอบกล”

    “อ๋อ มันก็เป็นอย่างนี้ละครับ เป็นคนขี้อาย แต่เห็นอย่างนี้มันขยันเอาการเอางานใช้ได้เลยนะครับ” นายชาติออกตัวแทน มุกรวีพยักหน้ารับรู้

    “ไปเถอะคุณ เรามีเรื่องต้องทำอีก” ชายหนุ่มว่าเดินนำหญิงสาวไป

    “ตกลงว่ายังไง”

    “เรียบร้อย ฉันโทรบอกเธอแล้วว่าวันนี้คงไม่ได้เข้าไปหา เพราะมีดินเนอร์กับคู่หมั้นสุดเลิฟอย่างคุณ ทีนี้ก็เหลือแต่รอ เดาใจเธอจะแอบออกมามั้ย”

    “ผมไม่อยากทำแบบนี้เท่าไหร่ มันเหมือนผมกำลังจับผิดน้องสาวตัวเอง”

    “คิดมากนะคุณ เราไม่ได้จับผิดซะหน่อย เรากำลังการพิสูจน์ความจริงต่างหาก” มุกรวีปั้นหน้าจริงจัง เดินไปหยุดเคาะป๊อกๆ ที่กระจกรถ เขมินท์จึงต้องเดินตามขึ้นรถ ก่อนจะขับออกไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่