กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๘

กลร้าย อุบัติรัก บทที่ 7
เขียน... ขอจันทร์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    เรวัตเดินออกจากบ้านมาพร้อมน้ำหนึ่ง ส่วนดุจภูผาที่อาสามาส่งตั้งแต่แรกนั้นผลุบหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ หญิงสาวที่เดินอยู่ข้างเขาก็เอาแต่ตั้งใจกับการเดินเสียเหลือเกิน ไม่มอง ไม่สนใจสิ่งรอบข้างใดๆทั้งสิ้น เขาจึงเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

    “คุณน้ำหนึ่งเป็นเพื่อนกับมุกหรือครับ”

    “ค่ะ” หญิงสาวตอบรับเพียงสั้นๆ น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใดๆ

    “ผมเป็นเพื่อนกับมุกมาตั้งอนุบาล ไอ้มุกมันพูดเก่ง พูดมาก เข้ากับคนง่าย ใครอยู่กับมันไม่มีเหงาแน่”

    “ค่ะ”

    “คุณน้ำหนึ่งไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้หรือครับ”

    “ค่ะ” น้ำหนึ่งตอบรับแล้วนิ่งไป ไม่มีทีท่าว่าจะขยายความต่อ

    “แหะ ไม่รู้ว่าผมทำให้คุณน้ำหนึ่งไม่ชอบหน้าหรือเปล่านะครับ คุณถึงไม่ยอมมองหน้าผมเลยเอาแต่ก้มหน้ามองพื้น แล้วก็ตอบแค่ค่ะกับค่ะ แบบนี้” คุณหมอหนุ่มเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก มือหนึ่งดันแว่นขึ้นเหนือจมูก

    “ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ” น้ำหนึ่งรีบตอบ กลัวอีกฝ่ายจะเข้าใจผิด

    “ปกติหนึ่งก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วละคะ คุณหมออย่าเข้าใจผิดเลยนะคะ”

    “แหม ได้ยินอย่างนี้แล้วผมค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าจะโดนคนที่ตัวเองอยากคุยด้วยเหม็นหน้าซะแล้ว”

    “คะ..” น้ำหนึ่งหันไปมองหน้าผู้พูดทันที

    “เอ่อ คือ ผมหมายถึง...” คุณหมอหนุ่มเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก ยิ้มเห็นอีกฝ่ายจ้องมายิ่งทำหน้าไม่ถูกต้องยกมือขึ้นดันแว่นอีกครั้งก่อนเอ่ย “ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณน้ำหนึ่งนะครับ”

    หญิงสาวเห็นท่าทางเป๋อๆ แต่ดูจริงใจไม่มีพิษมีภัยของคนตรงหน้า จึงหลุดขำออกมา ก่อนเอ่ย

    “ได้สิคะ”

    “ครับ” ชายหนุ่มตอบรับ มองยิ้มสดใสที่เหมือนมีพลังเปล่งประกายทำเอาคนมองตาพร่า ท่าทางที่เหมือนจะเริ่มเพ้อของอีกฝ่าย น้ำหนึ่งเห็นแล้วก็ยิ่งขำเข้าไปใหญ่ แต่แล้วก็ต้องตกใจ ร้องอุทานเสียงหลง

    “เลือด! ว้าย ตายแล้ว คุณหมอเลือดกำเดาไหล..”

*********************************

    หลังจากได้พักผ่อนจนร่างกายเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้ว มุกรวีก็ขออนุญาตคุณนายจันทร์ฉายกลับไปทำงานตามเดิม แม้ว่าคุณนายจันทร์ฉายจะบ่นว่าอยากให้หญิงสาวพักต่ออีกสักนิด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้านอะไร

    “ไหวแน่นะคุณ ถ้ามาอ่อนแอ ปวกเปียก เป็นลมเป็นแล้งไปผมปล่อยทิ้งจริงๆนะ” เขมินท์แกล้งว่าขณะลงจากรถ เดินนำเข้าตัวสำนักงาน

    “จะให้ฉันลองต่อยคุณดูมั้ยละ จะได้รู้ว่ามีแรงมั้ย” มุกรวีโต้กลับ

    “เอะอะก็ใช้กำลังนะคุณเนี่ย”

    “ก็กับคนกวนประสาทอย่างคุณเท่านั้นละ” มุกรวีว่า พลางยื่นมือจับลูกจะเปิดประตู แต่ประตูถูกดึงเปิดจากข้างในเสียก่อน ตัวมุกรวีจึงถูกดึงตามแรง จนเสียหลักเกือบจะล้มลงจับกบ ดีที่มีมือหนาเข้ามารับเอาไว้ได้ทัน

    “ขอบคุณนะ” มุกรวียืนขึ้นตั้งหลักได้ กล่าวขอบคุณอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะเป็นคนงานในไร่ ฝ่ายนั้น พอเห็นว่าหญิงสาวไม่เป็นอะไรก็รีบถอยตัวออกห่าง ไปยืนอยู่ด้านหลัง คนงานที่มุกรวีจำได้ว่าชื่อสุชาติ

    “สวัสดีครับนายเขม คุณมุก” นายสุชาติทักทายอย่างคุ้นเคย

    “อ้าว วันนี้มาถึงนี่เชียวหรือ”

    “ครับ พอดีผมเป็นตัวแทนมาคุยเรื่องที่จะย้ายพวกคนงานริมน้ำนะครับ อยากรู้ว่าเรื่องบ้านพักคนงานไปถึงไหนแล้ว”

    “อ๋อ คงต้องพักเรื่องนี้เอาไว้ก่อน ช่วงนี้มันยุ่งๆเรื่องที่ไฟไหม้โรงเก็บของ พวกอุปกรณ์อะไรก็อยู่ในนั้นหมด ถึงไม่ใช่ของสำคัญอะไร แต่ก็เสียหายไปพอสมควร”

    “แล้วยังมีเรื่องพวกมือบอนที่มาป่วนไร่ด้วยครับนาย ไอ้เราก็อุส่าดีใจเห็นหายไปได้อยู่หลายหลายวัน เมื่อวานมันเอาอีกแล้ว เล่นเทกระจาดองุ่นเสียหายไปซะหลายลัง ต้องให้คนงานเร่งกันเก็บใหม่ให้ทันส่งเขานะครับ” กำปอเดินเข้ามารายงาน

    “แล้วยามเฝ้าไร่ละ” เขมินท์ถาม

    “ไอ้พวกนั้นมันไม่เห็นอะไรเลยครับ”

    “จะไปเห็นได้ยังไง ก็มัวแต่กอดขวดเหล้าไปเฝ้าพระอินทร์นะสิ” เขมินท์ว่า

    “ไอ้พวกนี้มันใช้ไม่ได้ ไว้ผมจะไปกวดขันพวกมันให้นะครับ” กำปอรีบว่า ด้วยกลัวนายจะอารมณ์เสีย

    “คราวหน้าถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วไม่รู้ไม่เห็นกันอีก ฉันจะถีบส่งออกจากไร่เรียงตัว” น้ำเสียงเขมินท์เด็ดขาด ทั้งถึงสรรพนามที่ใช้เรียกเปลี่ยนไปก็รู้แล้วว่านายเอาจริง กำปอนึกเสียวแทนพวกลูกน้อง รีบรับคำอย่างรวดเร็ว นายชาติกับคนงานอีกคนที่ก้มหน้าอยู่เงียบๆ ขอตัวกลับไปทำงานก่อนมุกรวีมองตามทั้งคู่ไปอย่างสนใจ

    “เมื่อเช้ามีตำรวจมาครับนาย เขาบอกมีความเป็นไปได้ที่เราจะถูกวางเพลิง เพราะถังน้ำมันที่ไม่ได้ถูกไหม้ในโกดัง มีหลายถังเลยครับที่ถูกเปิดเอาไว้” กำปอรายงานให้ผู้เป็นนายฟัง

    “วางเพลิง” หญิงสาวพึมพำเบาๆ

    “ผมจะไปดูที่โกดังหน่อย” เขมินท์ว่าแล้วก็หมุนตัวออกจากสำนักงานไป มุกรวีเห็นรีบเดินตามไป

    “มีคนตั้งใจจะเผาโกดังจริงๆ” เขมินท์ว่า เดินดูรอบๆโกดังที่มีรอยไหม้เสียหายไปกว่าครึ่ง ทั้งกระป๋อง สายยางยังคงวางระเกะระกะอยู่ที่เดิมเนื่องจากชายหนุ่มสั่งเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนย้ายอะไรไปไหนทั้งสิ้น

    “เท่านี้ก็ยืนยันได้แล้วว่าคุณมีศัตรูจริงๆ”

    “ไอ้หมาลอบกัด มันไม่เล่นกันซึ่งๆหน้า” ชายหนุ่มสบทอย่างหัวเสีย

    “พวกขี้ขลาดมันก็อย่างนี้ละ” หญิงสาวว่า นั่งยองๆลงหยิบสายยางที่มีคราบน้ำมันสีดำๆติดอยู่มาพินิจดู

    “วันนั้นคุณไม่เห็นอะไรผิดสังเกตเลยหรอ” เขมินท์ว่าพลางเดินมาหาหญิงสาว นั่งยองๆลงข้างๆ

    “ไม่นะ จำได้ว่าฉันกำลังจะกลับบ้าน แล้วอยู่ๆก็มีควันลอยมาจากทางโกดัง ฉันวิ่งไปดูตอนนั้นไฟก็โหมแรงแล้ว มันเร็วมาก”

    “เห็นคนน่าสงสัยบ้างมั้ย”

    “ไม่รู้สิ ฉันไม่ทันสังเกต พอเกิดเรื่องทุกอย่างมันก็ชุลมุนมาก จริงสิ คุณจำเด็กคนที่ฉันไปช่วยออกมาจากโกดังตอนไฟไหม้ได้มั้ย” มุกรวีฉุกคิดขึ้นมา

    “ได้ ” ชายหนุ่มตอบรับพลางนึกถึงเด็กชายตัวเล็ก

    “ตอนที่ไฟไหม้ เด็กคนนั้นอยู่ในโกดัง เขาอาจจะเห็นคนที่เผาโกดังก็ได้”

    “จริงสิ ทำไมผมถึงลืมไปได้นะ” ชายหนุ่มตบเข่าตัวเองเบาๆ

    “เราไปหาเด็กคนนั้นกันเถอะ” หญิงสาวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉุดมือคนตัวโตให้ลุกตามด้วย ชายหนุ่มลุกขึ้น แต่ยื้อแขนเอาไว้ ไม่เดินตาม หญิงสาวหันมาถามอย่างขัดใจ

    “อะไรอีก”

    “คุณรู้หรอว่าเด็กคนนั้นอยู่ที่ไหน” ชายหนุ่มถาม หญิงสาวจึงนิ่งไป

    “บ้านพักคนงานไง” มุกรวีคาดเดา แต่อีกฝ่ายส่ายหน้า เปลี่ยนมาจับข้อหญิงสาวแล้วพาเดินไปอีกทาง

    “คุณจะพาฉันไปไหนเนี่ย” มุกรวีถามเมื่อคนข้างตัว พาเธอขับรถออกจากตัวไร่ ซึ่งหญิงสาวจำได้ว่าเป็นเส้นทางเข้าสู่ตัวเมือง

    “พาไปขาย”

    “ตลก”

    “จริงสิ ผมลืมไป ขืนพาคุณไปขาย ผมคงต้องแถมข้าวสารให้อีกสักสองถัง ขาดทุนตาย” พูดจบมือเล็กๆก็บีบหมับเข้าสีข้าง ทำเอาคนตัวโตร้องโอดโอย

    “จอดรถแล้วลงไปต่อยกันเลยมะ” มุกรวีร้องท้าอย่างเริ่มหมดความอดทน อีกฝ่ายจึงหัวเราะร่วน

    “อย่าพึ่งอารมณ์เสียสิ ผมจะพาคุณไปหาเด็กคนนั้นอยู่นี่ไง”

    “ไปหาที่ไหน เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ไร่หรอ” มุกรวีหันไปถามอย่างแปลกใจ เขมินท์ไม่ตอบเพียงขับรถต่อไปเงียบๆ มุกรวีเองก็ขี้เกียจเซ้าซี้ จึงหันกลับไปมองสองข้างทางไปเรื่อยๆ

    ใช้เวลาพักหนึ่งรถก็วิ่งเข้าสู่ตัวเมืองตัวเมือง ก่อนจะขับไปเรื่อยๆ และเลี้ยวเข้าโรงพยาบาลใหญ่ พาหญิงสาวเดินเข้าตัวตึกโรงพยาบาล มาเรื่อยๆจนถึงห้องพักคนไข้รวม ชายหนุ่มเดินเข้าไปที่เตียงหนึ่ง    “มาลี ต้อมเป็นยังไงบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถามหญิงที่นั่งอยู่ข้างเตียง หญิงคนนั้นหันมองลุกขึ้นก่อนจะยกมือไหว้ผู้เป็นนาย รวมหญิงมุกรวีด้วย

    “เมื่อเช้าตื่นขึ้นมาแปปหนึ่ง แล้วก็หลับอีกแล้วจ๊ะนาย” มุกรวีฟังแล้ว ก็ดึงแขนชายหนุ่มเบี่ยงไปอีกทางก่อนกระซิบถาม

    “เกิดอะไรขึ้นนะคุณ ไหนตอนนั้นคุณบอกฉันว่าเด็กคนนี้ปลอดภัยดีไง”

    “เดี๋ยวเล่าให้ฟัง” เขมินท์ว่าก่อน หันไปบอกหญิงคนงาน

    “ถ้าต้อมฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ โทรบอกฉันด้วยนะ ฉันจะมารับเอง”

    “ขอบคุณจ๊ะนาย”

    เขมินท์ยิ้มรับ หันไปมองเด็กชายอีกครั้ง ก่อนจะพาหญิงสาวเดินออกมา ทั้งสองคนเดินเรื่อยๆมาตามทางเดิน

    “ตอนไฟไหม้ต้อมไม่ได้บาดเจ็บอะไรหรอก แต่เมื่อวานต้อมไปเล่นอยู่แถวๆริมน้ำ แล้วก็ตกน้ำลงไป ดีที่มีคนมาช่วยไว้ทัน ก็เลยรีบพาส่งโรงพยาบาล”

    “มันจะซวยเกินไปหน่อยละมั้ง” มุกรวีว่า เขมินท์พยักหน้ารับก่อนว่าต่อ

    “ตอนแรกผมคิดว่าต้อมจะฟื้นได้วันนี้ เลยพาคุณมา แต่เป็นแบบนี้เราก็คงได้แค่รอ”

    “แค่จมน้ำ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็คงได้เรื่อง” มุกรวีว่าสีหน้าครุ่นคิด

    “แต่ฉันสงสัย บ้านต้อมอยู่ที่ริมน้ำหรอ”

    “เปล่า แม่กับต้อมอยู่ที่บ้านพักคนงาน”

    “งั้นต้อมไปทำอะไรถึงริมน้ำนั่น มันไกลกันโขเลยนะ”

    “ก็คงไปเล่นนั่นแหละ ปกติเด็กๆก็วิ่งเล่นไปทั่ว” ชายหนุ่มตอบปัดๆไป สายตาก็เหลือบไปเห็น ด้านหลังหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูคุ้นตา ชายหนุ่มเพ่งพินิจมองและจำได้จึงร้องเรียก

    “นิชา”

    “คุณเขม” นิชาหันมองตามเสียง แล้วก็อุทานอย่างตกใจ ก่อนจะเดินเข้ามาหา

    หญิงสาวมาใหม่ยิ้มทักทั้งคู่ด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ และอย่างเคยตามด้วยกลิ่นหอมแรงที่เหมือนเป็นเอกลักษณ์ของหญิงสาวตรงหน้า มุกรวีเผลอย่นจมูก นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เธอแตกต่างจากผู้หญิงทั่วๆไปคือ ไม่ว่าจะน้ำหอมมียี่ห้อ ราคาแพงอย่างไร เธอก็ไม่สามารถทำใจให้รู้สึกหอมได้อย่างชื่อเลยสักครั้ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสาวๆทั้งหลายจึงตั้งใจประพรม ประโคม หรือบางครั้งก็ถึงขั้นอาบกันนัก

    “คุณเขม กับคุณมุกมาทำอะไรที่นี่หรือคะ”

    “เมื่อวานมีลูกคนงานคนหนึ่งจมน้ำ เราเลยมาเยี่ยมนะ”

    “ตายจริง แล้วแกเป็นยังไงบ้างคะ” หญิงสาวยื่นมือไปจับแขนอีกฝ่ายอย่างตกใจ น้ำเสียงแสดงความห่วงใย เขมินท์ยิ้มก่อนว่า

    “ไม่เป็นไรแล้วครับ พรุ่งนี้ก็คงกลับบ้านได้ แล้วนิชาละมาทำอะไรที่นี่”

    “อ้อ ธุระของผู้หญิงนะคะ เสริมความงามนิดหน่อย” นิชาว่าแล้วก็ขยิบตาให้อีกฝ่ายอย่างน่ารัก ก่อนหันมาทางมุกรวี

    “คุณมุกสนใจมั้ยคะ ศูนย์ความงามของที่นี่ขึ้นชื่อมากเลยนะคะ ยิ่งวันอาทิตย์แบบนี้มีคอร์สพิเศษด้วย นิชามาประจำเลยละคะ”

    “เอ่อ... ไม่เป็นไรดีกว่าคะ”

    “จะพาหนูมุกไปเสริมสวย จับลิงแต่งตัวยังง่ายกว่านะนิชา” เขมินท์พูดพลางยิ้มขำ

    “เดี๋ยวก็ปากแตกหรอก” มุกรวีหันขวับอย่างเอาเรื่อง นิชามองทั้งสองคนคนอย่างพินิจก่อนเอ่ย

    “คุณเขม พูดจาใจร้ายมากเลยนะคะ” นิชาว่าตีลงเบาๆที่แขนชายหนุ่ม

    “คุณมุกเป็นคนสวยอยู่แล้ว ไม่ต้องแต่งก็สวย” นิชาชม ทำเอาคนถูกชมไปต่อไม่ถูกได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆกลับไปให้

    “คุณเขมจะไปไหนต่อหรือเปล่าคะ”

    “ก็คงกลับเข้าไร่เลย นิชามีอะไรหรือเปล่า”

    “นิชาจะชวนคุณไปดูลูกม้าที่ฟาร์มลุงประสิทธิ์ค่ะ แล้วก็เห็นว่าพึ่งสั่งพ่อพันธ์ตัวใหม่มาจากเมืองนอกด้วย เหมือนที่เราชอบไปด้วยกันเมื่อตอนเด็กๆไงคะ เอ่อ คุณมุกไปด้วยกันก็ได้นะคะ”

    “ไม่ดีกว่าค่ะ ตอนเย็นฉันมีธุระ”

    “ถ้าอย่างนั้นเราไปกันสองคนก็ได้นะคะ”  นิชาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง มุกรวีมองท่าทีกระตือรือร้นนั้นพลางส่ายหน้าน้อยๆ เห็นสองคนพูดคุยฉอเลาะกันแล้วรู้สึกฉุนๆขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จึงเอ่ยขึ้นตัดรำคาญ

    “คุณสองคนไปกันเลยก็ได้ เดี๋ยวฉันกลับเอง” มุกรวีว่าพลางหมุนตัวกำลังจะเดินออกไป แต่เขมินท์คว้าแขนหญิงสาวเอาไว้ซะก่อน

    “แล้วคุณจะกลับยังไง”

    “พวกคนงานเคยบอกว่ามีรถสองแถวจากในเมืองเข้าไปที่ตัวไร่อยู่” และเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะแย้ง ก็พูดต่อเร็วๆ

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ยังไงฉันก็หาทางกลับไปจนได้ละนา” เธอบอกดึงแขนตัวเองออก แล้วโบกมือให้ทั้งคู่ ก่อนหมุนตัวเดินออกไป  

    มุกรวีเดินเรื่อยๆออกมาจากตัวโรงพยาบาล จนถึงถนนใหญ่พลางสอดส่ายสายตาหารถที่ดูน่าจะเป็นรถสองแถวที่พวกคนงานว่า แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว หันซ้ายหันขวาไม่เห็นทางไป จึงหันไปสะกิดผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ริมฟุตบาท

    “น้าจ๊ะ น้ารู้มั้ยว่าถ้าจะขึ้นรถสองแถวไปไร่จันทร์ฉายต้องไปขึ้นตรงไหน”

    “เดินไปอีกหน่อย หน้าปั๊มนั่นละ มีคิวรถอยู่ออกทุกครึ่งชั่วโมง”

    “อ้อ ขอบใจนะน้า”

    “ไม่เป็นไร อะ ไหนๆก็ไหนๆละ” ว่าแล้วก็หยิบแผ่นสามสี่แผ่น ยื่นให้หญิงสาว “รับๆไปหน่อยนะหนู น้าแจกมาตั้งแต่เช้าละ ไม่หมดละที”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่