กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๕

กระทู้สนทนา
กลร้าย อุบัติรัก
เขียน ...ขอจันทร์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    มุกรวีทำงานเป็นผู้ช่วยของเขมินท์มาได้สามสี่วันแล้ว งานทุกอย่างเธอก็เรียนรู้ได้และเริ่มเข้าที่เข้าทาง เช่นเดียวตัวหล่อนเริ่มที่จะเป็นมิตรกับชายหนุ่มมากขึ้น ตอนเช้าเธอจะไปทำงานพร้อมเขา ตกตอนเย็นเธอก็จะกลับมาที่บ้านพร้อมเขมินท์เป็นอย่างนี้ทุกวันจนเป็นเหมือนกิจวัตรประจำวัน วันนี้ก็เช่นกันกลับจากทำงานแล้ว มาทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนทุกวันเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็เดินย่อยเรื่อยๆออกมาโทรศัพท์หาบิดาที่สวนข้างๆบ้าน

    “คุณป๋าขา สบายดีมั้ย มุกคิดถึงคุณป๋าม้ากกกมากก”

    “เสียงใสเชียว เริ่มชอบที่นั่นแล้วละสิ”

    “อยู่ๆไปมันก็ชินนะคุณป๋า ที่หลับที่นอนสบาย อาหารก็อร่อย คุณลุงกับคุณป้าก็ใจดี”

    “แล้วคู่หมั้นหนูละ”

    “ก็... ไม่มีอะไรนี่คะ”

    “เห ตอนมาวันแรกเห็นโทรมาฟ้องคุณป๋าเหยงๆว่า เขาไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ไหงตอนนี้ไม่มีอะไรได้ละ”

    “ก็มุกว่าเขาให้คุณป๋าฟังจนไม่มีเรื่องให้พูดแล้วไงคะ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ก็.. พอจะเป็นมิตรกันได้” หญิงสาวว่าตรงๆ ก่อนจะดักคอ “แต่คำว่ามิตรกับคู่ชีวิตมันคนละเรื่องกันนะคุณป๋า”

    “ฮ่าๆ โอเค เขาดีกับลูกสาวคุณป๋า แค่นี้คุณป๋าก็สบายใจแล้ว”

    “ก็ไม่ได้เรียกว่าดีนะคุณป๋า นายนั่นก็ออกจะปากเสีย แล้วก็กวนประสาทไปหน่อย แต่มุกเองก็เป็น เพราะฉะนั้นก็ถือว่าหายกัน”

    “ดีแล้วละลูก จำไว้นะมุกคนปากเสียก็ยังดีกว่า คนปากหวานก้นเปรี้ยว ที่ต่อหน้าเราดีกับเราแต่พอลับหลังก็จ้องแต่จะทำร้ายกัน เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง”

    “คุณป๋าพูดถึงใครหรอคะ”

    “อ้อ ...เปล่าหรอกลูกคุณป๋าแค่เปรียบเทียบนะ” รู้สึกตัวว่าแสดงอารมณ์มากเกินไป คุณอรุณจึงพยายามปรับน้ำเสียงก่อนเอ่ย “คุณป๋าคิดถึงมุกนะ”

    “’งั้นก็ให้มุกกลับไปหาคุณป๋าสิ” หญิงสาวยิ้มฉอเลาะใส่โทรศัพท์

    “อย่ามาลูกเล่น ไม่เอาละ เดี๋ยวคุณป๋าใจอ่อน แค่นี้นะมุก คุณป๋ารักมุกนะ”

    “มุกก็รักคุณป๋า”

    วางสายแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคุณป๋ายังไม่ได้ส่งเบอร์ขวัญอุมา หรือคนอื่นๆมาให้เธอเลย คนที่เธอติดต่อได้ตอนนี้จึงมีแต่คุณป๋าคนเดียว แต่เธอก็ขี้เกียจที่จะโทรกลับไปทวงถาม เดินดูนู่นดูนี่ในสวนต่อไป เรื่อยเปื่อย จนได้เห็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ได้ต้นเสลา เพราะความมืดทำให้มองเห็นอีกฝ่ายไม่ชัดนัก มุกรวีจึงพยายามเพ่งมอง พอดีกับที่อีกฝ่ายหันมามอง แล้วเธอจึงผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อสบเข้ากับดวงตาประกายเศร้าที่คุ้นตา

    “โธ่ คุณน้ำหนึ่งนั่นเอง มุกเกือบจะวิ่งอยู่แล้วเชียว” มุกรวีวิ่งเหยาะๆเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยังยืนสงบอยู่ที่เดิม

    “คุณน้ำหนึ่งมาเดินเล่นหรอคะ”

    “ค่ะ พอดีคุณแม่ยังไม่กลับ...” น้ำหนึ่งเงียบไปพลางหลบตา ทำให้มุกรวีถึงเรื่องที่อองตองเคยเล่าให้ฟังได้ ...คุณเก็จไม่ชอบให้คุณน้ำหนึ่งออกไปไหน...

    “เหมือนกันเลยค่ะ มุกออกมาคุยโทรศัพท์กับคุณป๋า ...เอ่อ คุณพ่อนะคะ แล้วก็เดินโต๋เต๋เพลินมาถึงแถวนี้ แฮ่ๆ”

    “...” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร เพียงแค่ยิ้มแล้วมองมาด้วยดวงตาแสนเศร้าคู่นั้น

    “ที่นี่บรรยากาศดีมากเลยนะคะ ตอนกลางคืนก็มองเห็นดาวระยิบระยับเต็มไปหมด นี่ถ้าเป็นที่บ้านมุก ดึกๆแบบนี้ก็มีแต่แสงจากหลอดไฟเต็มไปหมด มองไม่เห็นดาวสวยๆแบบนี้หรอก” มุกรวีพยายามชวนคุยอย่างเป็นกันเอง

    “ถ้าคุณมุกชอบธรรมชาติ คุณก็คงชอบที่นี่” อีกฝ่ายยิ้มละไม

    “ค่ะ ที่นี่เป็นแรงบันดาลใจได้ดีมากเลย”

    “สำหรับการทำงานใช่มั้ยคะ จำได้ว่า บนโต๊ะอาหารคุณบอกว่าคุณเป็นจิวเวอรี่ดีไซน์” นานๆทีอีกฝ่ายผู้สงบปากสงบคำจะเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ทำให้หญิงสาวร้องดีใจอยู่ในใจ ...อย่างน้อยการพยายามผูกมิตรของเธอก็ไม่สูญเปล่าละนะ!

    “ใช่คะ แล้วคุณน้ำหนึ่งละ”

    “หนึ่งช่วยงานพี่เขมนะคะ เป็นงานเกี่ยวกับบัญชีเล็กๆน้อยๆ หนึ่งว่างานของคุณมุกดูน่าสนุกดีนะคะ” เธอเอ่ยอย่างรู้สึกสนิทใจกับหญิงสาวตรงหน้า

    “ค่ะ” หญิงสาวยิ้มแล้วชวนคุยต่อ “ปกติเวลาทำงาน มุกมักจะออกมาหาแรงบันดาลใจสวยๆแบบนี้นะคะ มันทำให้หัวแล่นดี แล้วก็แอบวาดภาพเก็บเอาไว้ มุกชอบวาดรูป  ที่บ้านมุก มีรูปที่มุกวาดไว้เต็มไปหมด คุณพ่อก็บอกว่ารกจะให้มุกเอาไปขาย แต่ฝีมือจิตรโนเนมอย่างมุกใครจะไปซื้อ ขนาดพวกจิตกรเอกยังไส้แห้งกันเป็นแถว” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงรูปวาดจำนวนมากถึงขนาดที่บิดาต้องสร้างห้องอีกห้องหนึ่งไว้สำหรับเก็บมันโดยเฉพาะ

    “หนึ่งก็ชอบวาดรูปค่ะ เวลาวาดมันทำให้หนึ่งสบายใจ”

    “คุณหนึ่งวาดภาพแบบไหนหรือคะ”

    “แค่ภาพวาดดินสอนะคะ ที่จริงหนึ่งสนใจภาพสีน้ำ แต่มันยาก ไม่รู้จะไปหาครูจากไหนดี ออกไปเรียนข้างนอกก็ไม่ค่อยสะดวก...” ดวงตาหญิงสาวฉายแววหม่นขึ้นมาอีก จนมุกรวีใจหาย

    “มุกก็ชอบภาพสีน้ำค่ะ มีความรู้อยู่บ้างนิดหน่อย อาจจะพอแนะนำคุณหนึ่งได้ เอาไว้เรามาวาดด้วยกันที่นี่มั้ยคะ” หญิงสาวเสนอตัวอย่างเต็มใจ

    “จริงหรอคะ เอ่อ ไม่รบกวนคุณมุกใช่มั้ยคะ” หญิงสาวว่าสีหน้าชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อันที่จริงการวาดรูปก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่การที่ได้คุยกับเพื่อนที่ดูน่าจะถูกคอนั่นทำให้หล่อนดีใจยิ่งกว่า

    “ไม่หรอกค่ะ ช่วงเย็นๆมุกกลับจากช่วยงานคุณเขมแล้ว มุกจะมาหาคุณหนึ่งที่นี่ เดี๋ยวจะหาอุปกรณ์มาให้ด้วย”

    “ขอบคุณนะคะ ” น้ำหนึ่งยิ้มสดใส เป็นยิ้มที่มุกรวีพึ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจากหญิงสาวตรงหน้า  มีเสียงรถคันหนึ่งแล่นเข้ามาน้ำหนึ่งหันไปมองตามเสียง แล้วหันมาพูดกับมุกรวีเร็วๆ “คุณแม่มาแล้ว หนึ่งต้องไปแล้ว แล้วหนึ่งจะรอนะคะ” พูดเสร็จหญิงสาวก็วิ่งออกไป มุกรวีมองตามด้วยความสบายใจที่ทำให้หญิงสาวยิ้มได้ ...เอาละ! ก่อนอื่นก็ต้องหาอุปกรณ์ คงต้องเข้าเมือง อืม.. ลองไปขอนายเขมดูก่อนละกัน


    ช่วงสายๆวันต่อมา มุกรวีก็ออกไปไร่จันทร์ฉายพร้อมเขมินท์เหมือนทุกวัน ร่วมประชุมกับผู้จัดการฝ่ายต่างๆ จนถึงเที่ยง เขมินท์พาหล่อนไปเดินดูแปลงองุ่นเพื่อเรียนรู้ลักษณะดิน การปลูก การดูแล รดน้ำตามช่วงเวลา มุกรวีเห็นเด็กตัวเล็กๆที่น่าจะเป็นลูกของคนงาน 2 – 3 คนวิ่งเล่น หนึ่งในนั้นพอเห็นเขมินท์ก็วิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ พลอยให้เด็กคนอื่นๆวิ่งตามมาด้วย

    “พี่เขม” เด็กชายตัวเล็กที่ดูเหมือนจะเป็นพี่ใหญ่สุดตรงเข้าเกาะหลังชายหนุ่มที่ย่อตัวลงมารับอย่างคุ้นเคย

    “โห เปี๊ยกไม่เจอกันแปบเดียว หนักขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย”

    “นายเขมหายไปไหนมา” เด็กชายตัวเล็กหันมายิ้มตาหยี

    “ไม่ได้ไปไหน แต่ช่วงนี้พี่งานเยอะ แล้วเราไม่ไปโรงเรียนหรอวันนี้”

    “ไปไม่ได้ แม่ไม่มีตังจ่ายค่าเทอม เขาเลยไม่ให้เปี๊ยกเรียนแล้ว” เด็กชายพูดซื่อๆ

    “อ้าว ทำไมแม่เปี๊ยกไม่มาบอกพี่” ชายหนุ่มถาม เด็กชายตัวน้อยสั่นศีรษะไปมา เขมินท์จึงถอนหายใจ ก่อนเอ่ยสั่ง “วันนี้พรุ่งนี้สายๆ บอกแม่ให้มาหาพี่ด้วย” เด็กชายพยักหน้ารับอย่างงๆ ก่อนหันมามองหน้าหญิงสาวผู้มาใหม่

    “คนนี้ใคร” เด็กชายตัวน้อยเอ่ยถาม เขมินท์นึกสนุกจึงแกล้งบอก

    “แม่มด” มุกรวีแยกเขี้ยวแทบจะทันทีที่ชายหนุ่มแนะนำตัวหล่อนแบบนั้น เขมินท์เห็นแบบนั้นก็แกล้งทำท่ากลัว แล้วตั้งตัวเป็นแกนนำพาเด็กๆวิ่งหนีหล่อน “ดูๆ แม่มดใจร้ายแยกเขี้ยวแล้ว หนีเร็ๆ”  

    เด็กคนอื่นเห็นพี่ชายตัวโตวิ่ง ก็พากันวิ่งตามกันไป ยิ่งเด็กชายตัวเล็กที่อยู่บนหลังของเขมินท์นั่นยิ่งหัวเราะจนเห็นฟันหน้าที่หลอไปสองซี่ มุกรวีนึกสนุก เลยสวมบทแม่มดใจร้ายวิ่งตามทั้งเด็กเล็กเด็กโข่งไปเป็นพรวน คนงานในไร่แถวนั้นหันมามองนายตัวเองที่วิ่งเล่นเหมือนเด็กๆ ก็อมยิ้มด้วยความเอ็นดู

    วิ่งเล่นกันมาไกลพอสมควร ดูเหมือนเด็กโข่งที่มีเด็กน้อยอยู่บนหลังจะหมดแรงจึงยกมือเป็นสัญญาณขอยอมแพ้แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดสภาพ ไม่ต่างกับหญิงสาวที่นานทีปีหนจะได้ออกวิ่งแบบนี้สักทีทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกัน ปล่อยให้เด็กๆหัวเราะคิกคักสนุกสนาน สลายโต๋กันไปเรียบร้อย

    “คุณนี่ ท่าทางจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายละสิ วิ่งแค่นี้หน้าแดงเชียว”

    “คุณเองก็หอบเป็น... หอบแดดเหมือนกัน” หญิงสาวว่าจงใจเว้นช่องเอาไว้

    “อะไร... หอบแดด”

    “จงเติมคำลงในช่องว่าง” หญิงสาวว่า

    “คุณมีคำนั้นในใจอยู่แล้ว ผมรู้หรอกนะ” พูดจบชายหนุ่มก็ทิ้งตัวแผ่หลาไปบนพื้นหญ้า ปล่อยให้หญิงสาวนั่งขำคิกคักอยู่คนเดียว

    เขมินท์แหงนหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายที่กำลังหัวเราะ ผมยาวสลวยถูกมัดไว้หลวมๆ ลูกผมบางส่วนที่หลุดลงมาถูกลมพัดเคลียข้างแก้มใส ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติที่ไร้การแต่งแต้ม เป็นภาพที่มองแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจอย่างประหลาด

    “เด็กคนเมื่อกี๊เป็นลูกคนงานในไร่หรอคะ” มุกรวีหันกลับมาถามคนที่กำลังนอนอยู่ กะทันหัน ทำเอาอีกฝ่ายชะงัก คล้ายถูกกระชากออกจากภวังค์ เสมองรอบๆแก้เก้อ ก่อนค่อยๆดันตัวขึ้นลุกนั่งตั้งหลักอีกครั้ง

    “เด็ก... เอ่อ คนไหน”

    “คนที่ชื่อ เปี๊ยก” มุกรวีทวนความซ้ำอีกรอบ มองท่าทางอีกฝ่ายอย่างงงๆ

    “อ้อ ใช่ ความจริงเด็กทุกคนนั่นก็เป็นลูกหลานคนงานทั้งนั้น”

    “เด็กที่นี่ส่วนใหญ่ได้เรียนมั้ย”

    “เป็นบางคน บางคนพ่อแม่ก็เอาเงินไปใช้จ่ายไร้สาระกันหมดคิดว่าการศึกษาไม่สำคัญ คิดว่าพอโตขึ้นก็ให้ลูกทำงานที่นี่อยู่ดี แต่บางคนก็ไม่มีเงินจริงๆ”

    “เอ๋ ถ้าพ่อแม่คิดแบบนี้ลูกก็แย่สิ”

    “ใช่ เพราะบางครอบครัวก็อยู่กับเรามาตั้งแต่รุ่นปู่ย่า เรียกไร่นี้เป็นบ้านของเขาเลยก็ว่าได้ หลายคนเกิดที่นี่โตที่นี่ และตายที่นี่ เลยไม่แปลกที่หลายๆคนจะคิดว่าลูกหลานตัวเองก็จะเป็นแบบนั้น” ชายหนุ่มว่าก่อนจะลุกขึ้นเดินนำหญิงสาวไป ก่อนจะชี้ไปที่ริมน้ำ ซึ่งมีบ้านหลายหลังตั้งกระจัดกระจายอยู่ มีเด็กสองสามคนกำลังเตะบอลเล่นกันสนุกสนาน

    “มีบ้านคนงานอยู่ตรงนี้หรอ ฉันนึกว่ามีอยู่หลังไร่อย่างเดียวซะอีก” มุกรวีว่าพลางเดินลัดเลาะไปตามแนวหิน เก็บลูกบอลที่ลอยหลุดมา แล้วโยนกลับไปคืนไปให้

    “ความจริงตรงนี้ไม่ใช่บ้านพักคนงานหรอก ชาวบ้านพวกนี้เขาอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่ก่อนที่เราจะได้ที่ตรงนี้มา ก็ตั้งแต่สมัยคุณปู่ของผม ตอนนั้นที่ตรงนี้เป็นที่เปล่าไม่ได้มีประโยชน์อะไร ก็เลยให้อาศัยกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงตอนนี้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี้ก็กลายมาเป็นคนงานในไร่ของเรา”

    “ที่คุณบอกว่าตอนนั้นที่ตรงนี้ไม่มีประโยชน์ แสดงว่าตอนนี้มีงั้นสิ” มุกรวีตั้งข้อสังเกต เขมินท์มองหน้าคนรู้ทันนิดหนึ่งก่อนตอบ

    “จะว่างั้นก็ได้ ที่ตรงนี้ติดริมน้ำ ถือว่าเป็นที่ที่สวยมาก ผมก็เลยมีแผนที่จะปรับพื้นที่ตรงนี้ไว้รับนักท่องเที่ยว”

    “แล้วคนพวกนี้ละ”

    “ผมจะให้เขาย้ายออกไปคิดว่าคงไม่ยาก เพราะที่ตรงนี้ก็เป็นที่ของเราอยู่แล้ว เรามีสิทธิตามกฏหมาย”

    “แล้วคุณจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน” มุกรวีถามอย่างอดไม่อยู่

    “เดี๋ยวๆ คุณอย่าพึ่งทำหน้าหาเรื่องแบบนั้นสิ” ชายหนุ่มว่าพลางหัวเราะ “เราพร้อมที่จะสร้างขยายบ้านพักคนงานสำหรับพวกเขา เพราะถึงยังไงทุกครอบครัวที่นี่ก็มีคนงานของเราอยู่อย่างน้อยหนึ่งคน”

    “แล้วคนที่นี่เขารู้หรือยัง”

    “ยัง แต่ผมเรียกตัวแทนของคนที่นี่ มาคุยแล้ว เขาไม่มีปัญหาอะไรแล้วก็รับปากว่าจะไปบอกคนอื่นๆต่อให้”

    มุกรวีพยักหน้ารับรู้ เหลือบไปมองทางคนงานผู้ชายสองสามคนที่แอบมองมาท่าทางไม่น่าไว้วางใจ ตั้งแต่ที่ทั้งคู่เดินเหยียบย่างเข้ามา เขมินท์เองก็คงรู้สึกได้จึงมองตอบกลับไปตรงๆ คนเหล่านั้นจึงค่อยๆแยกย้ายกันไป มุกรวีหันมองชายหนุ่มแล้วยักไหล่ให้ก่อนเดินตามชายหนุ่มกลับไปทางเดิม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่