หลังห้าโมงเย็นไม่กี่นาที รถสีขาวคันเล็กก็จอดนิ่งสนิทในลานจอดรถของสวนรถไฟ เจ้าของรถก้มมัดเชือกรองเท้าให้แน่นอีกครั้งก่อนล็อครถและเดินผ่านประตูเข้ามาในสวน มีคนไม่มากนักที่กำลังออกกำลังกาย นั่นอาจเป็นเพราะฝนที่เพิ่งหยุดตกก็เป็นได้ที่ทำให้สวนสาธารณะแห่งนี้ผู้คนบางตากว่าที่ควรจะเป็น หรือบางทีเวลานี้อาจจะไม่ค่อยมีคนออกกำลังกายอยู่แล้วก็เป็นได้ เธอเพียงแต่คาดเดา นั่นเพราะเธอเองก็ไม่เคยมาที่นี่ในเวลานี้เช่นกัน นับครั้งได้ที่เธอมาที่สวนแห่งนี้ ครั้งแรก เธอมากับคนรักและครั้งต่อมาคือมาเพื่อทดสอบร่างกายประจำปีของที่ทำงาน ด้วย การวิ่งสองกิโลเมตร ซิทอัพ ดันพื้น ซึ่งครั้งที่สองนี้ก็เป็นเวลาตีห้าครึ่ง เช้าและเหนื่อยเกินกว่าจะมานั่งนับจำนวนผู้คนว่ามากน้อยแค่ไหน
และถ้าไม่เป็นเพราะ “นิชคุณ” บางทีเธออาจจะไม่มีแรงบันดาลใจมากพอที่จะถ่อมาที่นี่ในเวลานี้ก็เป็นได้
ห้าร้อยเมตรแรกไม่ใช่ปัญหาในการวิ่ง เว้นแต่คอเริ่มแห้งและความแสบร้อนที่ลำคอเริ่มเพิ่มดีกรีขึ้นทำให้หายใจถี่ขึ้นและจังหวะการวิ่งช้าลง จนกลายเป็นเดินเร็ว เดินช้า และหยุดเดินที่ม้านั่งข้างทางในที่สุด...
“เฮ้... เป็นไงมั่ง น้ำมั้ย” ขวดน้ำดื่มถูกยื่นมาให้จากมือของชายหนุ่มที่วิ่งเหยาะๆ อยู่ตรงหน้า
“ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ”
“เรารู้จักกันนะ คุณจำผมไม่ได้เหรอ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ทักทายอีกครั้งหนึ่ง
“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจำคุณไม่ได้ล่ะ”
“ก็คุณทำหน้าเหมือนจำผมไม่ได้”
“ฉันก็แค่เหนื่อยน่ะ”
“คุณไม่เคยมาวิ่งที่นี่ใช่มั้ย ผมไม่เคยเห็นคุณที่นี่”
“ฉันไม่ชอบวิ่ง”
“แล้วทำไม วันนี้คุณถึงมาวิ่งล่ะ”
“ฉันมาวิ่งเพราะนิชคุณ”
“ใครคือนิชคุณ”
“นี่คุณ... ไปอยู่ดาวดวงไหนมาเนี่ย ไม่รู้จักนิชคุณ”
“แล้วทำไมผมต้องรู้จักนิชคุณด้วยล่ะ”
“ช่างเถอะ... ไม่รู้จักก็แล้วไป ฉันไปก่อนล่ะนะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมกับความสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่รู้จักนิชคุณ
เพราะโลกมันกลม ประเทศไทยมันแคบหรือว่าสวนรถไฟมันเล็กกันนะ เธอถึงได้มาเจอคนรู้จักในสถานที่แห่งนี้ได้ แต่จะว่าไป ถึงแม้จะรู้จักกันแต่ก็ไม่ได้สนิทกันสักหน่อยนี่นะแล้วจะ “วิ่งตามมาทำไมเนี่ย”
“ผมเปล่าวิ่งตามคุณ ผมก็วิ่งของผมอย่างนี้ทุกวัน”
“ทำไมคุณถึงชอบวิ่ง” ประโยคคำถามเดียวกับนางเอกในหนังเป๊ะ
“ผมไม่ได้ชอบวิ่ง ผมชอบออกกำลังกาย ผมเล่นกีฬาทุกประเภทที่เล่นได้ เพราะการเล่นกีฬามันทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงมาวิ่ง ขอเหตุผลที่ไม่ใช่เพราะนิชคุณน่ะ”
“ไม่รู้ ฉันยังคิดไม่ออก”
“ถ้างั้น... พรุ่งนี้คุณบอกผมก็ได้นะ ผมมาวิ่งที่นี่เวลานี้ทุกวัน ส่วนวันนี้หมดเวลาแล้ว ผมจะกลับล่ะ”
“ตามสบาย”
เธอจบประโยคสนทนาเท่านั้น ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับบทสนทนาโดยบังเอิญของคนรู้จักกันสองคน
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเรื่องแรกในชีวิตที่เธอลงมือทำหลังจากที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้น ครั้งหนึ่งหลังจากที่เธออ่านหนังสือ “โตเกียวไม่มีขา” ของนักเขียนชื่อดัง “นิ้วกลม” จบเล่ม สองชั่วโมงหลังจากนั้นเธอก็พาตัวเองไปที่หัวลำโพง ซื้อตั๋วเดินทางไปหนองคาย ประทับตราหนังสือเดินทางประเทศลาว ข้ามไปเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง หลวงน้ำทา ฮานอย โฮจิมินท์ และบินกลับประเทศไทยในระหว่างนั้นเธอลางานยาวสิบวันเต็มเป็นการส่งท้ายงานบริษัทเอกชนก่อนจะผันตัวเองมารับราชการอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สิบวันนั้นเองที่ทำให้ชีวิตของเธอเซถลาเหมือนนกปีกหักอยู่พักใหญ่ เพราะหนุ่มที่เธอหลงผิดคิดว่าเขานั่นแหละ “ใช่” เขากลับมีใครซ่อนเอาไว้ไม่ให้เธอรู้จนอยู่ๆ ก็มีข่าวเข้าหูว่าเขาจะแต่งงาน เธอแทบลมจับ กว่าจะกลับมาตั้งหลักได้ ต้องอ่านหนังสือของ “นิ้วกลม” ปลอบใจอยู่หลายเล่ม
แต่การเดินทางครั้งนั้นเองที่ทำให้เธอหลงไหลในรสชาดการผจญภัย อกหักครั้งต่อมาเธอจึงเลือกหลับตาจิ้มแผนที่โลกแล้วเดินทางไปยังประเทศนั้นเพื่อรักษาแผลใจ – เยอรมนีคือประเทศที่นิ้วชี้จิ้มลงไป แต่คิวปิดใจร้ายก็ผลักใสให้เธอได้รู้จักกับนักเรียนทุนของกองทัพบกตกหลุมรักกันอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันได้หายดีจากที่ช้ำครั้งก่อน...
เหมือนจะป๊อบปูลาร์ แต่ที่จริงแล้วเธอเป็นเพียงแค่หญิงสาวหน้าตาธรรมดามาก และรู้ตัวว่าไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากเป็นคนดี แล้วไงล่ะ? ความรักไม่เคยเลือกยากดีมีจน หรือคนสวยคนขี้ริ้วอยู่แล้วนี่ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ความรู้สึกดีๆ ของสองคนต่างหาก แต่ก็อีกนั่นแหละ ทฤษฎีนี้บางทีแล้วอาจจะใช้กับความรักไม่ได้ เพราะสุดท้าย (จริงๆ) นักเรียนทุนของกองทัพบกก็ไปตกหลุมรัก (ใหม่) กับใครสักคนที่เธอก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเธอคนนั้น ผอม สูง ขาวและสวย เธอก็รู้ตัวเองเลยทันทีว่าแพ้ตั้งแต่ “ผอม” แล้ว...
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่สองนอกจากนิชคุณก็เป็นได้ ที่ทำให้เธอเลือกไปวิ่งที่สวนรถไฟหลังฝนตกในวันนี้
หญิงสาวมองดูนาฬิกาข้อมือ และขณะเดียวกันนั้นเพลงชาติไทยก็ดังขึ้นบอกว่าเป็นเวลาสิบแปดนาฬิกา ทุกชีวิต ณ เวลานั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่เพื่อยืนเคารพธงชาติที่เป็นสัญลักษณ์แทน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และบรรพบุรุษที่ได้สละชีพเพื่อให้ชาติได้ดำรงคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ หลังเพลงชาติจบ เธอเดินตัดสนามหญ้าข้ามมาที่ลานจอดรถ มีร้านขายอาหารมากมายที่ยังเปิดบริการอยู่ เธอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เดิน “ปรี่” เข้าไปหาของกินอย่างที่เคยเป็นเมื่อเห็นร้านอาหารหรือร้านขนม... แรงฮึดนี้ ไม่ใช่เพราะนิชคุณ แต่เป็นเพราะ “น้องคนนั้น” ที่ผอม สูง ขาว สวย นั่นต่างหาก
ภาพยนตร์ รักเจ็ดปีดีเจ็ดหนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปดู แต่เมื่อได้ดูแล้วก็ไม่รู้สึกเสียดายค่าตั๋วเลยแม้แต่สักน้อย ทั้งรอยยิ้ม เสียหัวเราะ และแม้กระทั่งน้ำตา หนังเรื่องนี้ก็มีให้ครบรส ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่เหตุผลที่ทำให้คนเราวิ่งมาราธอน แต่คงมีไม่กี่เหตุผลที่ทำให้คนเราวิ่งตอนห้าโมงเย็น
วันต่อมา หลังเลิกงาน โดยปกติแล้วเธอมักจะตรงดิ่งกลับบ้าน ทำงานบ้าน ดูหนัง อ่านหนังสือ เล่นเน็ต จบอยู่แค่นั้น ไม่มีคำว่า “ออกกำลังกาย” เข้ามาป้วนเปี้ยนในวิถีชีวิตเลยแม้สักน้อย แต่หลังจากเมื่อวาน เสื้อกีฬา รองเท้าวิ่ง และกางเกงสำหรับเล่นกีฬาถูกนำออกมาใช้งานอย่างจริงจังหลังจากที่เคยใช้เพียงปีละสองหนสำหรับทดสอบร่างกายตามระเบียบของที่ทำงาน
“ไง... วันนี้คุณมาเร็วกว่าเมื่อวานนะ”
ดูเหมือนเขาจะรอเธออยู่ เพราะทันทีที่เธอผ่านประตูรั้วของสวนรถไฟเข้ามา ก็เจอเขากำลังวอร์มอัพ อยู่ก่อนแล้ว
“ก็วันนี้ฝนไม่ตกนี่คะ”
“ถ้าฝนตกคุณก็คงไม่มาแล้วใช่มั้ย”
“ก็แหงสิคะ ใครจะบ้ามาออกกำลังกายตอนฝนตก”
“มีโรงยิมสำหรับกีฬาในร่ม ฝนตกก็ไม่ใช่ปัญหาของผม ว่าแต่ คุณตอบผมได้หรือยังว่าทำไมคุณถึงมาวิ่ง”
“ทำไมคุณถึงอยากรู้ล่ะคะ”
“คนเรามักต้องมีแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรสักอย่างเสมอ”
“ฉันก็แค่อยากผอม”
“อะไรนะครับ”
“ใช่... ฉันก็แค่อยากผอม เพราะฉันรู้สึกว่าฉันอ้วนเกินไป”
“ถ้าคุณอยากผอม ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าคุณอยากแข็งแรง ผมช่วยคุณได้”
“ฉันแข็งแรงดีแล้ว”
“คุณวิ่งมาแค่แปดร้อยเมตรแต่คุณก็หอบแฮ่กเป็นหมาหอบแดดแล้ว ถ้าคุณต้องวิ่งมาราธอน เหมือนในหนัง คุณจะทำได้เหรอ”
“คุณไปดูหนังมาเหรอคะ”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันนี่ ว่าใครคือนิชคุณ”
“แล้วเหตุผลที่คุณวิ่งล่ะคะ”
“ผมก็แค่ชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายมันทำให้สมองปลอดโปร่ง และร่างกายแข็งแรง”
“ฉันเชื่อว่าคุณแข็งแรงจริง”
รูปร่างสูงและกล้ามเนื้อที่แน่นตึงตามแบบของคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำทำให้ไม่มีข้อกังขาเลยแม้แต่น้อยว่าเขาต้องเป็นคนเล่นกีฬาเป็นกิจวัตร
“คุณอยากวิ่งมาราธอนเหมือนในหนังเหรอครับ”
“ก็บอกแล้วไง ฉันแค่อยากผอม”
“มีใครบอกว่าคุณอ้วนงั้นเหรอ”
“ไม่มีหรอกค่ะ”
“งั้นคุณต้องอกหักมาแหงๆ ในหนังน่ะ สามีของนางเอกตายนี่ แล้วคุณล่ะ แฟนคุณตายเหรอ”
“บ้า...”
เธอหยุดทุกประโยคไว้เท่านั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป จังหวะฝีเท้าคงที่ การหายใจเริ่มนิ่ง ไม่หอบ และไม่แสบคออีกแล้ว เธอเริ่มวิ่งได้ไกลขึ้น และเมื่อเริ่มเหนื่อย ก็จะเปลี่ยนจากการวิ่งมาเป็นการเดินเร็ว และค่อยๆ เดินช้าลง เธอบอกตัวเองว่า เธอไม่ได้วิ่งเพื่อที่จะไปแข่งกับใคร เธอไม่จำเป็นต้องวิ่งเอาเป็นเอาตาย เธอไม่ได้วิ่งจับเวลาเพื่อให้ได้คะแนนแปดสิบเปอร์เซ็นตามกติกาการทดสอบร่างกายของที่ทำงาน แต่เธอก็หาเหตุผลดีๆ มาอ้างไม่ได้ว่าทำไมจึงต้องวิ่ง... เพราะนิชคุณหรือเพราะอยากผอม? ที่จริงแล้วก็ไม่น่าจะใช่ทั้งสองอย่าง
เมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เธอก็หยุดวิ่งเสียดื้อๆ
“อ้าว หยุดทำไม เหนื่อยแล้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่กำลังถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วฉันมาวิ่งทำไม”
“ก็คุณบอกว่าคุณอยากผอม แล้วก็เป็นเพราะนิชคุณไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่... แต่มันยังไม่ทั้งหมด ฉันก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าเพราะอะไร”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้คุณค่อยมาบอกผม คืนนี้คุณกลับไปคิดก่อนก็แล้วกัน... ผมกลับก่อนล่ะนะ บาย เจอกันพรุ่งนี้” แล้วเขาก็ทิ้งไว้แต่แผ่นหลังกว้างๆ ให้เธอมองตาม...
เรื่องสั้น : พรุ่งนี้มาวิ่งด้วยกันอีกนะ
และถ้าไม่เป็นเพราะ “นิชคุณ” บางทีเธออาจจะไม่มีแรงบันดาลใจมากพอที่จะถ่อมาที่นี่ในเวลานี้ก็เป็นได้
ห้าร้อยเมตรแรกไม่ใช่ปัญหาในการวิ่ง เว้นแต่คอเริ่มแห้งและความแสบร้อนที่ลำคอเริ่มเพิ่มดีกรีขึ้นทำให้หายใจถี่ขึ้นและจังหวะการวิ่งช้าลง จนกลายเป็นเดินเร็ว เดินช้า และหยุดเดินที่ม้านั่งข้างทางในที่สุด...
“เฮ้... เป็นไงมั่ง น้ำมั้ย” ขวดน้ำดื่มถูกยื่นมาให้จากมือของชายหนุ่มที่วิ่งเหยาะๆ อยู่ตรงหน้า
“ไม่เป็นไร ขอบคุณค่ะ”
“เรารู้จักกันนะ คุณจำผมไม่ได้เหรอ” ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาใกล้ๆ ทักทายอีกครั้งหนึ่ง
“ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจำคุณไม่ได้ล่ะ”
“ก็คุณทำหน้าเหมือนจำผมไม่ได้”
“ฉันก็แค่เหนื่อยน่ะ”
“คุณไม่เคยมาวิ่งที่นี่ใช่มั้ย ผมไม่เคยเห็นคุณที่นี่”
“ฉันไม่ชอบวิ่ง”
“แล้วทำไม วันนี้คุณถึงมาวิ่งล่ะ”
“ฉันมาวิ่งเพราะนิชคุณ”
“ใครคือนิชคุณ”
“นี่คุณ... ไปอยู่ดาวดวงไหนมาเนี่ย ไม่รู้จักนิชคุณ”
“แล้วทำไมผมต้องรู้จักนิชคุณด้วยล่ะ”
“ช่างเถอะ... ไม่รู้จักก็แล้วไป ฉันไปก่อนล่ะนะ”
ว่าแล้วหญิงสาวก็ออกวิ่งอีกครั้ง พร้อมกับความสงสัยว่าทำไมเขาถึงไม่รู้จักนิชคุณ
เพราะโลกมันกลม ประเทศไทยมันแคบหรือว่าสวนรถไฟมันเล็กกันนะ เธอถึงได้มาเจอคนรู้จักในสถานที่แห่งนี้ได้ แต่จะว่าไป ถึงแม้จะรู้จักกันแต่ก็ไม่ได้สนิทกันสักหน่อยนี่นะแล้วจะ “วิ่งตามมาทำไมเนี่ย”
“ผมเปล่าวิ่งตามคุณ ผมก็วิ่งของผมอย่างนี้ทุกวัน”
“ทำไมคุณถึงชอบวิ่ง” ประโยคคำถามเดียวกับนางเอกในหนังเป๊ะ
“ผมไม่ได้ชอบวิ่ง ผมชอบออกกำลังกาย ผมเล่นกีฬาทุกประเภทที่เล่นได้ เพราะการเล่นกีฬามันทำให้ร่างกายแข็งแรง แล้วคุณล่ะ ทำไมถึงมาวิ่ง ขอเหตุผลที่ไม่ใช่เพราะนิชคุณน่ะ”
“ไม่รู้ ฉันยังคิดไม่ออก”
“ถ้างั้น... พรุ่งนี้คุณบอกผมก็ได้นะ ผมมาวิ่งที่นี่เวลานี้ทุกวัน ส่วนวันนี้หมดเวลาแล้ว ผมจะกลับล่ะ”
“ตามสบาย”
เธอจบประโยคสนทนาเท่านั้น ไม่มีอะไรสำคัญสำหรับบทสนทนาโดยบังเอิญของคนรู้จักกันสองคน
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกเรื่องแรกในชีวิตที่เธอลงมือทำหลังจากที่เกิดแรงบันดาลใจขึ้น ครั้งหนึ่งหลังจากที่เธออ่านหนังสือ “โตเกียวไม่มีขา” ของนักเขียนชื่อดัง “นิ้วกลม” จบเล่ม สองชั่วโมงหลังจากนั้นเธอก็พาตัวเองไปที่หัวลำโพง ซื้อตั๋วเดินทางไปหนองคาย ประทับตราหนังสือเดินทางประเทศลาว ข้ามไปเวียงจันทน์ วังเวียง หลวงพระบาง หลวงน้ำทา ฮานอย โฮจิมินท์ และบินกลับประเทศไทยในระหว่างนั้นเธอลางานยาวสิบวันเต็มเป็นการส่งท้ายงานบริษัทเอกชนก่อนจะผันตัวเองมารับราชการอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ สิบวันนั้นเองที่ทำให้ชีวิตของเธอเซถลาเหมือนนกปีกหักอยู่พักใหญ่ เพราะหนุ่มที่เธอหลงผิดคิดว่าเขานั่นแหละ “ใช่” เขากลับมีใครซ่อนเอาไว้ไม่ให้เธอรู้จนอยู่ๆ ก็มีข่าวเข้าหูว่าเขาจะแต่งงาน เธอแทบลมจับ กว่าจะกลับมาตั้งหลักได้ ต้องอ่านหนังสือของ “นิ้วกลม” ปลอบใจอยู่หลายเล่ม
แต่การเดินทางครั้งนั้นเองที่ทำให้เธอหลงไหลในรสชาดการผจญภัย อกหักครั้งต่อมาเธอจึงเลือกหลับตาจิ้มแผนที่โลกแล้วเดินทางไปยังประเทศนั้นเพื่อรักษาแผลใจ – เยอรมนีคือประเทศที่นิ้วชี้จิ้มลงไป แต่คิวปิดใจร้ายก็ผลักใสให้เธอได้รู้จักกับนักเรียนทุนของกองทัพบกตกหลุมรักกันอีกครั้งทั้งที่ยังไม่ทันได้หายดีจากที่ช้ำครั้งก่อน...
เหมือนจะป๊อบปูลาร์ แต่ที่จริงแล้วเธอเป็นเพียงแค่หญิงสาวหน้าตาธรรมดามาก และรู้ตัวว่าไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากเป็นคนดี แล้วไงล่ะ? ความรักไม่เคยเลือกยากดีมีจน หรือคนสวยคนขี้ริ้วอยู่แล้วนี่ ของอย่างนี้มันอยู่ที่ความรู้สึกดีๆ ของสองคนต่างหาก แต่ก็อีกนั่นแหละ ทฤษฎีนี้บางทีแล้วอาจจะใช้กับความรักไม่ได้ เพราะสุดท้าย (จริงๆ) นักเรียนทุนของกองทัพบกก็ไปตกหลุมรัก (ใหม่) กับใครสักคนที่เธอก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่าเธอคนนั้น ผอม สูง ขาวและสวย เธอก็รู้ตัวเองเลยทันทีว่าแพ้ตั้งแต่ “ผอม” แล้ว...
นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่สองนอกจากนิชคุณก็เป็นได้ ที่ทำให้เธอเลือกไปวิ่งที่สวนรถไฟหลังฝนตกในวันนี้
หญิงสาวมองดูนาฬิกาข้อมือ และขณะเดียวกันนั้นเพลงชาติไทยก็ดังขึ้นบอกว่าเป็นเวลาสิบแปดนาฬิกา ทุกชีวิต ณ เวลานั้นหยุดนิ่งอยู่กับที่เพื่อยืนเคารพธงชาติที่เป็นสัญลักษณ์แทน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และบรรพบุรุษที่ได้สละชีพเพื่อให้ชาติได้ดำรงคงอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้ หลังเพลงชาติจบ เธอเดินตัดสนามหญ้าข้ามมาที่ลานจอดรถ มีร้านขายอาหารมากมายที่ยังเปิดบริการอยู่ เธอพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เดิน “ปรี่” เข้าไปหาของกินอย่างที่เคยเป็นเมื่อเห็นร้านอาหารหรือร้านขนม... แรงฮึดนี้ ไม่ใช่เพราะนิชคุณ แต่เป็นเพราะ “น้องคนนั้น” ที่ผอม สูง ขาว สวย นั่นต่างหาก
ภาพยนตร์ รักเจ็ดปีดีเจ็ดหนที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปดู แต่เมื่อได้ดูแล้วก็ไม่รู้สึกเสียดายค่าตั๋วเลยแม้แต่สักน้อย ทั้งรอยยิ้ม เสียหัวเราะ และแม้กระทั่งน้ำตา หนังเรื่องนี้ก็มีให้ครบรส ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่เหตุผลที่ทำให้คนเราวิ่งมาราธอน แต่คงมีไม่กี่เหตุผลที่ทำให้คนเราวิ่งตอนห้าโมงเย็น
วันต่อมา หลังเลิกงาน โดยปกติแล้วเธอมักจะตรงดิ่งกลับบ้าน ทำงานบ้าน ดูหนัง อ่านหนังสือ เล่นเน็ต จบอยู่แค่นั้น ไม่มีคำว่า “ออกกำลังกาย” เข้ามาป้วนเปี้ยนในวิถีชีวิตเลยแม้สักน้อย แต่หลังจากเมื่อวาน เสื้อกีฬา รองเท้าวิ่ง และกางเกงสำหรับเล่นกีฬาถูกนำออกมาใช้งานอย่างจริงจังหลังจากที่เคยใช้เพียงปีละสองหนสำหรับทดสอบร่างกายตามระเบียบของที่ทำงาน
“ไง... วันนี้คุณมาเร็วกว่าเมื่อวานนะ”
ดูเหมือนเขาจะรอเธออยู่ เพราะทันทีที่เธอผ่านประตูรั้วของสวนรถไฟเข้ามา ก็เจอเขากำลังวอร์มอัพ อยู่ก่อนแล้ว
“ก็วันนี้ฝนไม่ตกนี่คะ”
“ถ้าฝนตกคุณก็คงไม่มาแล้วใช่มั้ย”
“ก็แหงสิคะ ใครจะบ้ามาออกกำลังกายตอนฝนตก”
“มีโรงยิมสำหรับกีฬาในร่ม ฝนตกก็ไม่ใช่ปัญหาของผม ว่าแต่ คุณตอบผมได้หรือยังว่าทำไมคุณถึงมาวิ่ง”
“ทำไมคุณถึงอยากรู้ล่ะคะ”
“คนเรามักต้องมีแรงบันดาลใจที่จะทำอะไรสักอย่างเสมอ”
“ฉันก็แค่อยากผอม”
“อะไรนะครับ”
“ใช่... ฉันก็แค่อยากผอม เพราะฉันรู้สึกว่าฉันอ้วนเกินไป”
“ถ้าคุณอยากผอม ผมคงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าคุณอยากแข็งแรง ผมช่วยคุณได้”
“ฉันแข็งแรงดีแล้ว”
“คุณวิ่งมาแค่แปดร้อยเมตรแต่คุณก็หอบแฮ่กเป็นหมาหอบแดดแล้ว ถ้าคุณต้องวิ่งมาราธอน เหมือนในหนัง คุณจะทำได้เหรอ”
“คุณไปดูหนังมาเหรอคะ”
“ผมก็อยากรู้เหมือนกันนี่ ว่าใครคือนิชคุณ”
“แล้วเหตุผลที่คุณวิ่งล่ะคะ”
“ผมก็แค่ชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายมันทำให้สมองปลอดโปร่ง และร่างกายแข็งแรง”
“ฉันเชื่อว่าคุณแข็งแรงจริง”
รูปร่างสูงและกล้ามเนื้อที่แน่นตึงตามแบบของคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำทำให้ไม่มีข้อกังขาเลยแม้แต่น้อยว่าเขาต้องเป็นคนเล่นกีฬาเป็นกิจวัตร
“คุณอยากวิ่งมาราธอนเหมือนในหนังเหรอครับ”
“ก็บอกแล้วไง ฉันแค่อยากผอม”
“มีใครบอกว่าคุณอ้วนงั้นเหรอ”
“ไม่มีหรอกค่ะ”
“งั้นคุณต้องอกหักมาแหงๆ ในหนังน่ะ สามีของนางเอกตายนี่ แล้วคุณล่ะ แฟนคุณตายเหรอ”
“บ้า...”
เธอหยุดทุกประโยคไว้เท่านั้น แล้วตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป จังหวะฝีเท้าคงที่ การหายใจเริ่มนิ่ง ไม่หอบ และไม่แสบคออีกแล้ว เธอเริ่มวิ่งได้ไกลขึ้น และเมื่อเริ่มเหนื่อย ก็จะเปลี่ยนจากการวิ่งมาเป็นการเดินเร็ว และค่อยๆ เดินช้าลง เธอบอกตัวเองว่า เธอไม่ได้วิ่งเพื่อที่จะไปแข่งกับใคร เธอไม่จำเป็นต้องวิ่งเอาเป็นเอาตาย เธอไม่ได้วิ่งจับเวลาเพื่อให้ได้คะแนนแปดสิบเปอร์เซ็นตามกติกาการทดสอบร่างกายของที่ทำงาน แต่เธอก็หาเหตุผลดีๆ มาอ้างไม่ได้ว่าทำไมจึงต้องวิ่ง... เพราะนิชคุณหรือเพราะอยากผอม? ที่จริงแล้วก็ไม่น่าจะใช่ทั้งสองอย่าง
เมื่อหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เธอก็หยุดวิ่งเสียดื้อๆ
“อ้าว หยุดทำไม เหนื่อยแล้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่กำลังถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วฉันมาวิ่งทำไม”
“ก็คุณบอกว่าคุณอยากผอม แล้วก็เป็นเพราะนิชคุณไม่ใช่เหรอ”
“ก็ใช่... แต่มันยังไม่ทั้งหมด ฉันก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าเพราะอะไร”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้คุณค่อยมาบอกผม คืนนี้คุณกลับไปคิดก่อนก็แล้วกัน... ผมกลับก่อนล่ะนะ บาย เจอกันพรุ่งนี้” แล้วเขาก็ทิ้งไว้แต่แผ่นหลังกว้างๆ ให้เธอมองตาม...