ประเทศกำลังมีเรื่องสำคัญให้ “ผู้นำฝ่ายบริหาร” ตัดสินใจ แต่นางก็ “หายหัว” ไปในทุกๆ ครั้ง
พี่น้องคนไทยครับ ท่านเคยสงสัยไหม ว่าเราจ่ายเงินเดือน สวัสดิการ และให้อำนาจสารพัดแก่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ทำงานคืนกลับให้แก่แผ่นดินเสมือนแค่เป็น “พริตตี้” ไปทำไม
สองปีที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่เคยพัฒนาสามัญสำนึก ว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่รับผิดชอบ “การบริหารราชการแผ่นดิน” แผ่นดินที่ไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัว “ชินวัตร” ซึ่งแปลว่า อย่าหลับหูหลับตาหาประโยชน์ อย่าปล่อยให้ “ขี้ข้า” ทำงานไป ฉันจ่ายเงินเดือนแก แล้วนั่งเสนอหน้า “คาตำแหน่ง” ไว้อวดอ้างในงานสังคมเท่านั้น
ผมไม่เข้าใจ ทำไมพวกเราปล่อยปละละเลยให้นางสาวยิ่งลักษณ์ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หน้าที่ และไม่ทำอะไรก็ได้ ที่เป็นหน้าที่
เช่น เกิดเหตุระเบิดที่ปัตตานี ไฟดับทั้งเมือง ขวัญกำลังใจของคนเวลานั้น คือการควรได้เห็นหัวหน้ารัฐบาลปรากฏตัว บัญชาการ พูดปลุกปลอบขวัญกำลังใจ แต่ภาพที่เห็นได้เห็นในเวลาถัดจากนั้น คือทราบว่านักข่าวขอสัมภาษณ์นายกฯ แต่ทีมงานกีดกัน และในเวลานั้น นายกฯ กับพวกกำลังเพลิดเพลินกับการร้องคาราโอเกะ ในเพลง สุขกันเถอะเรา, จะขอก็รีบขอ
และ 30 ยังแจ๋ว
หรือ กรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ มีคำพูดติดปากว่า “มีปัญหาอะไร ให้แก้กันในสภา” แต่เธอมิใช่หรือที่ไม่มา ไม่เข้าร่วมการประชุม ไม่ตอบกระทู้ และเป็นตัวอย่างสารเลวที่ใช้วิธีเซ็นชื่อว่ามาเข้าร่วมประชุม แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เข้า แถมบางคราเลือกจะไปประชุมกับกลุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โรงแรมอย่างลับๆ ล่อๆ มากกว่าอยู่สภา พิจารณาเรื่องที่จะเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน
และในการประชุมสภา ก็พบว่า ประธานในที่ประชุม ไม่ว่าจะเป็นสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์, นิคม ไวยรัชพานิช หรือคนอื่นๆ ล้วนทำหน้าที่เอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล มากกว่ามุ่งบริหารการประชุมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยหลอมรวมสมาชิกทั้งหมดเข้าเป็นหนึ่ง เพื่อทุ่มเทในการแก้ปัญหาให้แก่บ้านเมืองและพี่น้องประชาชน
ยิ่งลักษณ์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่เกิดกับสภา ทำเหมือนว่าไม่เกี่ยวกับฉัน
อ่านโพย ให้สัมภาษณ์อย่างวกวน แล้วพูดจากะล่อน สับปลับไปวันๆ
เล่นบทสุภาพสตรีผู้ไร้เดียงสา การแก้ปัญหาประเทศชาติก็กระจายให้เจ้ากระทรวงทั้งหลายไปดูแลแล้ว ดิฉันไม่แทรกแซง
ถามคนไทยทั้งหลายว่า ถ้ายิ่งลักษณ์ถูกบริษัทเอกชนจ้างมา ทำหน้าที่ผู้บริหาร แล้วบริหารงานได้เท่านี้ แบบนี้ จะจ้างเธอต่อไปไหม จะประเมินผลงานว่าเป็นยังไง
สำหรับผม เธอเหมือนพริตตี้มากกว่านายกรัฐมนตรี และน่าเสียดาย ถ้าเราจะจ้างแค่พริตตี้ เรามีคนที่ “สมองมี” หรือ “สมองดี” กว่าเธอเยอะเลย แถมมีศีลมีสัตย์ พูดจาอย่างน่าเชื่อถือ และรับผิดชอบ เราจ้างพวกเธอมาทำงานแทนจะดีไหม
ล่าสุด ยิ่งลักษณ์รับหน้าเสื่อตั้งสภาปฏิรูป ที่รวมเอาคนแก่ปฏิกูลที่ส่วนมากสร้างความเสียหายต่อบ้านต่อเมืองมามากต่อมากมานั่งรวมหัวกัน โดยเฉพาะหัวโต๊ะนั้น คือ หัวหน้าพรรคการเมืองที่ถูกศาลสั่งยุบและตัดสิทธิทางการเมือง เนื่องเพราะกรรมการบริหารพรรคโกงการเลือกตั้ง แล้วยังมีข่าวเล่าข่าวลือถึงการไปเสนอหน้านั่งทำงานหรือสั่งการผ่านกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ชนิดไม่ได้เคารพกติกาหรือคำสั่งของศาลแต่อย่างใด นั่นไม่รวมไปถึงข่าวซุบซิบเรื่องความร้าวฉานของสถาบันครอบครัว กับเรื่องเชิงกามที่ไม่มีใครกล้ายืนยันให้แน่ชัด แต่ก็เคยหยุดส่งข่าวลือกันเป็นทอดๆ
คู่ขนานไปกับการเชิญนายโทนี่ แบลร์ อดีตผู้นำอังกฤษมาให้แนวทางการสร้างความปรองดอง แต่เวลาเดียวกัน กลับดันกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสู่สภาอย่างบ้าอำนาจ คือ ปิดกั้นการอภิปราย ทำลายความชอบธรรมในการคัดค้านของประชาชน ด้วยการประกาศกฎหมายความมั่นคง และสร้างภาพว่าประชาชนจะใช้ความรุนแรง
นายโทนี่ แบลร์ กล่าวอย่างน่าให้ยิ่งลักษณ์ใช้สมองเท่าที่มีอยู่อย่างจำกัดขบคิดว่า หลักการ 5 ประการ จากการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการปรองดอง
หลักการที่ 1 คือ การปรองดองเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสังคมมีความรู้สึกอยากแบ่งปัน มากกว่าแบ่งแยก—(ซึ่งสำหรับผม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ส่งเสริมความแตกแยกอย่างชัดเจน เช่น การจัดการทางกฎหมายกับคนอื่นๆ แต่ไม่ทำอะไรกับคนเสื้อแดง การแบ่งแยกการช่วยเหลือชาวนากับชาวสวนยางพารา)
ฑิฆัมพร ศรีจันทร์ เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า “รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้เงินไปกับโครงการจำนำข้าวไปแล้วไม่น้อยกว่า 6.7 แสนล้านบาท สำหรับการจำนำใน 4 รอบการผลิตที่ผ่านมา
เรียกว่าอุ้มกันสุดตัว แทรกแซงกันทุกเม็ด เป็นการเข้าไปรับซื้อโดยตรง ไม่อ้อมค้อมข้าวไหลเข้าสต็อกรัฐทั้งหมด
ขณะที่ใช้เงินไปกับการแทรกแซงยางพารา โดยวิธีการปล่อยเงินกู้ให้สถาบันเกษตรกร เอกชน ไปรวมประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขที่ทาบกันไม่ได้ ทั้งที่เกษตรกรที่ได้ประโยชน์จากข้าวแค่ 4-5 ล้านครัวเรือน ขณะที่เกษตรกรชาวสวนยางมีมากกว่า 10 ล้านครัวเรือน
การออกมาชี้แจงจากรัฐว่าไม่ได้ 2 มาตรฐานในการช่วยเหลือเกษตรกร แต่พืชต่างชนิดกัน การช่วยเหลือต้องแตกต่างกัน ดูเหมือนเป็นเหตุผลแบบเอาสีข้างเข้าถู เรียกว่าเถียงแบบข้างๆ คูๆ ก็มิเห็นจะไม่เหมาะสม
รัฐบาลแก้ปัญหาให้ชาวสวนยาง ด้วยการยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ จากการส่งออกหรือเงินเซส กก.ละ 3 บาท ทำให้ดันราคาไปเหนือ 80 บาทต่อกิโลกรัมได้ พร้อมกับเจียดเศษเงินมาให้เป็นค่าปุ๋ยไร่ละ 1,260 บาทให้แก่ชาวสวนยางที่มีไม่เกิน 10 ไร่ พร้อมกับยืนยันไม่แตะต้องกลไกตลาด เพราะเกรงว่าจะเสียอำนาจการต่อรอง
ขณะที่รัฐบาลทุ่มจำนำข้าวให้ยืนเหนือราคาต้นทุนเกือบ 100% ด้วยการตั้งราคาให้ 1.5 หมื่นบาท จากต้นทุน 7-8 พันบาทและยังใจป้ำให้ครอบครัวละไม่เกิน 5 แสนบาทต่อรอบการผลิต นั่นหมายถึงใครทำสองรอบและใช้เต็มโควตา จะมีรายได้ถึง 1 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่รัฐบาลตั้งราคาให้ชาวสวนยางแค่ 80 บาทหรือ 90 บาทต่อกิโลกรัม จากต้นทุนไม่น้อยกว่า 70 บาทต่อกิโลกรัม ราคาที่ขยับให้จึงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เปรียบเทียบกันมิได้เลย และชาวสวนยางที่จะได้รายได้ต่อปีถึง 1 ล้านบาทได้ ต้องมีสวนยางไม่น้อยกว่า 50 ไร่ และต้องได้ผลผลิตมาตรฐานไม่น้อยกว่าไร่ละ 3 กิโลกรัม
ขณะที่สินค้าข้าว รัฐบาลมุ่งเข้าไปอย่างเต็มที่ แทรกแซงจนไม่มีเงินเหลือ ตั้งใจที่ยืนเหนืออำนาจตลาดให้ได้ ทั้งที่เราผลิตข้าวได้แค่ปีละ 30-40 ล้านตัน จากทั่วโลกผลิตกว่า 400 ล้านตัน
ขณะที่รัฐบาลเปิดทำเนียบต้อนรับชาวนาข้าว รัฐมนตรีขึ้นบนเวทีของผู้เรียกร้อง พร้อมพลิกมติชั่วข้ามคืนในคราวลดราคาจำนำลงมาเหลือ 12,000 บาท เพียงแค่ชาวนาขู่จะรวมตัวประท้วงเท่านั้น
ขณะที่รัฐบาลกลับส่งแค่รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงไปเจรจากับชาวสวนยาง พร้อมกับการให้ก้อนอิฐและมีท่าทีเตรียมพร้อมเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มชาวสวนยางผู้เดือดร้อนทันที ที่การเจรจายกแรกไม่สำเร็จ
ขณะที่รัฐบาลเปิดปาก เราจะมุ่งไปสู่การปรองดอง ลดละความขัดแย้ง “ปมประเด็นสำคัญหนึ่งที่เงื่อนไขการปรองดองเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะยังมีคนจำนวนมากรู้สึกว่ารัฐและเจ้าหน้าที่รัฐมีสองมาตรฐาน เลือกปฏิบัติ กระทำการโดยเอื้อเฉพาะพวกพ้องตัวเอง”
ฑิฆัมพรระบุในตอนท้ายของบทความว่า “อย่าได้ยัดเยียดความผิดให้แก่ชาวสวนยาง และลอยแพเขา อย่าได้คิดว่าพวกเขาจะอยู่ตรงข้าม นอกขั้ว เพียงเพราะเขาเลือกปลูกยางและมีถิ่นฐานอยู่ภาคใต้ อย่าได้แยกชาวสวนยางออกจากนาข้าว อย่ายัดเยียดให้เขาเป็นดั่งสำนวนที่ว่า “คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก”
โทนี่ แบลร์ ระบุหลักการประการที่สองว่า ความปรองดองจะไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความคิดในอดีต แต่เป็นความคิดที่จะนำไปสู่อนาคต หลักการที่ 3 คือ เราไม่สามารถลบล้างความอยุติธรรมได้ แต่สาระที่แท้จริงคือ สามารถตั้งกรอบการทำงานที่ทุกคนเห็นว่ายุติธรรมได้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ซึ่งประเทศไทยมีกรอบอยู่แล้ว คุณสามารถลงรายละเอียดเพิ่มเติมในผลลัพธ์ที่ถูกต้อง สำหรับประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือประเด็นว่าใครขึ้นมายึดอำนาจ ประเด็นเหล่านั้นเป็นประเด็นแค่พื้นผิว แต่ลึกลงไปคือความไม่เห็นชอบของแต่ละฝ่าย การปรองดองจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุยในประเด็นที่ลึกลงไป ในแง่ของความยุติธรรมและความสมดุล ไม่ว่าจะเห็นขัดแย้งอย่างไร ก็ต้องทำให้เห็นว่ามีทางเดินไปสู่อนาคต
หลักการที่ 4 คือ ประชาธิปไตยที่แท้จริงและใช้งานได้หมายความว่า ในแต่ละประเทศมีการแบ่งแยกกัน มีพรรค ชนชั้น ศาสนา เชื้อชาติ และสีผิว ในประเทศไทยมีการแบ่งแยกมากมาย แต่เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม มีสองสามอย่างที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“คือ 4.1. ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องลงคะแนนเสียงเฉยๆ ไม่ใช่เรื่องว่าคนส่วนใหญ่เข้าไปมีอำนาจ แต่ประชาธิปไตยเป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวคิด ที่ว่าคนส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์กับคนกลุ่มน้อยอย่างไร หากคิดว่าประชาธิปไตยคือการชนะทุกอย่าง จะทำให้คนกลุ่มน้อยรู้สึกว่าถูกกีดกันในทุกเรื่อง ผมเห็นว่าประชาธิปไตยคือพหุภาคี ไม่ใช่อำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นเรื่องการมีพื้นที่แบ่งปันทำงานกันได้ แบ่งปันค่านิยมบางอย่างร่วมกัน ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของความคิด นี่คือแกนของประชาธิปไตย และ 4.2. เรื่องหลักนิติธรรม ต้องดำเนินไปโดยไม่เอนเอียง ไม่ว่าจะเป็นตุลาการหรือรัฐบาล ต้องตรวจสอบได้ ความยุติธรรมต้องมีความอิสระ ปราศจากการแทรกแซงและอคติ นี่คือกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง”
ส่วนหลักการที่ 5 คือ หลักการที่นำไปปฏิบัติได้จริงแต่ปัจจุบันหลงลืมไป การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ง่าย ถ้ารัฐบาลมีประสิทธิภาพในการดูแลประชาชน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ การปรองดองจะง่ายขึ้นถ้ารัฐบาลกำลังทำงานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ให้ประชาชนรู้สึกดีขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ให้ประชาชนรู้สึกว่ากระบวนการสันติภาพทำความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ดังนั้น ประเด็นที่รัฐบาลจะเดินเข้าหาประชาชน ทำให้เขาเป็นอยู่ดีขึ้น คือประเด็นที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่ท้าทายของรัฐบาล
ถามว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งมาจากการชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ได้วางตนให้เป็นกลาง อย่างสง่างาม ใส่ใจเสียงเล็กเสียงน้อยที่คัดค้าน ทัดทานอย่างมีเหตุผล มุ่ง “แก้ไข ไม่แก้แค้น” บ้างหรือไม่
บริหารประเทศอย่างเปิดเผยโปร่งใส ปล่อยให้การค้นหาความจริงและกระบวนการยุติธรรมทำงาน เพื่อชำระล้างความขุ่นข้องหมองใจของคนในสังคมไหม
ผมเห็นแต่การซ้ำเติมและยั่วยุ เกิดการแตกแยก และปิดกั้นการตรวจสอบ แม้กระทั่งการใช้งบประมาณแผ่นดิน
ในขณะที่บ้านเมืองมีปัญหามากมาย รอให้ “ผู้นำ” ตัดสินใจ เธอเลือกจะ “ตะแล้ด แต๊ดแต๋” ไปต่างประเทศ ในงานที่ไม่ได้จำเป็นหรือส่งเสริมการแก้ปัญหาใดๆ ในชาติ
เงินเป็นร้อยๆ ล้าน ที่เธอเดินทางเกือบจะรอบโลก ช่วยให้ประเทศไทยขายข้าวได้ดีขึ้นไหม ขายยางพาราได้หรือเปล่า มีเงินลงทุนไหลเข้า และการส่งออกโลดลิ่วกระนั้นหรือ
ถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยทุกภาคส่วน ต้องลุกขึ้นมาประเมินการทำหน้าที่ “นายกรัฐมนตรี” ของยิ่งลักษณ์อย่างพร้อมเพรียงกัน!!
http://www.naewna.com/politic/columnist/8453
พริตตี้สมองกลวง ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ไม่โง่จริงไม่มีทางได้...
เราต้องการนายกรัฐมนตรี มิต้องการพริตตี้สมองกลวง!
พี่น้องคนไทยครับ ท่านเคยสงสัยไหม ว่าเราจ่ายเงินเดือน สวัสดิการ และให้อำนาจสารพัดแก่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ทำงานคืนกลับให้แก่แผ่นดินเสมือนแค่เป็น “พริตตี้” ไปทำไม
สองปีที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ไม่เคยพัฒนาสามัญสำนึก ว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีหน้าที่รับผิดชอบ “การบริหารราชการแผ่นดิน” แผ่นดินที่ไม่ใช่ธุรกิจของครอบครัว “ชินวัตร” ซึ่งแปลว่า อย่าหลับหูหลับตาหาประโยชน์ อย่าปล่อยให้ “ขี้ข้า” ทำงานไป ฉันจ่ายเงินเดือนแก แล้วนั่งเสนอหน้า “คาตำแหน่ง” ไว้อวดอ้างในงานสังคมเท่านั้น
ผมไม่เข้าใจ ทำไมพวกเราปล่อยปละละเลยให้นางสาวยิ่งลักษณ์ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่หน้าที่ และไม่ทำอะไรก็ได้ ที่เป็นหน้าที่
เช่น เกิดเหตุระเบิดที่ปัตตานี ไฟดับทั้งเมือง ขวัญกำลังใจของคนเวลานั้น คือการควรได้เห็นหัวหน้ารัฐบาลปรากฏตัว บัญชาการ พูดปลุกปลอบขวัญกำลังใจ แต่ภาพที่เห็นได้เห็นในเวลาถัดจากนั้น คือทราบว่านักข่าวขอสัมภาษณ์นายกฯ แต่ทีมงานกีดกัน และในเวลานั้น นายกฯ กับพวกกำลังเพลิดเพลินกับการร้องคาราโอเกะ ในเพลง สุขกันเถอะเรา, จะขอก็รีบขอ
และ 30 ยังแจ๋ว
หรือ กรณีนางสาวยิ่งลักษณ์ มีคำพูดติดปากว่า “มีปัญหาอะไร ให้แก้กันในสภา” แต่เธอมิใช่หรือที่ไม่มา ไม่เข้าร่วมการประชุม ไม่ตอบกระทู้ และเป็นตัวอย่างสารเลวที่ใช้วิธีเซ็นชื่อว่ามาเข้าร่วมประชุม แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เข้า แถมบางคราเลือกจะไปประชุมกับกลุ่มนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่โรงแรมอย่างลับๆ ล่อๆ มากกว่าอยู่สภา พิจารณาเรื่องที่จะเกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน
และในการประชุมสภา ก็พบว่า ประธานในที่ประชุม ไม่ว่าจะเป็นสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์, นิคม ไวยรัชพานิช หรือคนอื่นๆ ล้วนทำหน้าที่เอนเอียงเข้าข้างพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล มากกว่ามุ่งบริหารการประชุมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ โดยหลอมรวมสมาชิกทั้งหมดเข้าเป็นหนึ่ง เพื่อทุ่มเทในการแก้ปัญหาให้แก่บ้านเมืองและพี่น้องประชาชน
ยิ่งลักษณ์ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่เกิดกับสภา ทำเหมือนว่าไม่เกี่ยวกับฉัน
อ่านโพย ให้สัมภาษณ์อย่างวกวน แล้วพูดจากะล่อน สับปลับไปวันๆ
เล่นบทสุภาพสตรีผู้ไร้เดียงสา การแก้ปัญหาประเทศชาติก็กระจายให้เจ้ากระทรวงทั้งหลายไปดูแลแล้ว ดิฉันไม่แทรกแซง
ถามคนไทยทั้งหลายว่า ถ้ายิ่งลักษณ์ถูกบริษัทเอกชนจ้างมา ทำหน้าที่ผู้บริหาร แล้วบริหารงานได้เท่านี้ แบบนี้ จะจ้างเธอต่อไปไหม จะประเมินผลงานว่าเป็นยังไง
สำหรับผม เธอเหมือนพริตตี้มากกว่านายกรัฐมนตรี และน่าเสียดาย ถ้าเราจะจ้างแค่พริตตี้ เรามีคนที่ “สมองมี” หรือ “สมองดี” กว่าเธอเยอะเลย แถมมีศีลมีสัตย์ พูดจาอย่างน่าเชื่อถือ และรับผิดชอบ เราจ้างพวกเธอมาทำงานแทนจะดีไหม
ล่าสุด ยิ่งลักษณ์รับหน้าเสื่อตั้งสภาปฏิรูป ที่รวมเอาคนแก่ปฏิกูลที่ส่วนมากสร้างความเสียหายต่อบ้านต่อเมืองมามากต่อมากมานั่งรวมหัวกัน โดยเฉพาะหัวโต๊ะนั้น คือ หัวหน้าพรรคการเมืองที่ถูกศาลสั่งยุบและตัดสิทธิทางการเมือง เนื่องเพราะกรรมการบริหารพรรคโกงการเลือกตั้ง แล้วยังมีข่าวเล่าข่าวลือถึงการไปเสนอหน้านั่งทำงานหรือสั่งการผ่านกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ชนิดไม่ได้เคารพกติกาหรือคำสั่งของศาลแต่อย่างใด นั่นไม่รวมไปถึงข่าวซุบซิบเรื่องความร้าวฉานของสถาบันครอบครัว กับเรื่องเชิงกามที่ไม่มีใครกล้ายืนยันให้แน่ชัด แต่ก็เคยหยุดส่งข่าวลือกันเป็นทอดๆ
คู่ขนานไปกับการเชิญนายโทนี่ แบลร์ อดีตผู้นำอังกฤษมาให้แนวทางการสร้างความปรองดอง แต่เวลาเดียวกัน กลับดันกฎหมายนิรโทษกรรมเข้าสู่สภาอย่างบ้าอำนาจ คือ ปิดกั้นการอภิปราย ทำลายความชอบธรรมในการคัดค้านของประชาชน ด้วยการประกาศกฎหมายความมั่นคง และสร้างภาพว่าประชาชนจะใช้ความรุนแรง
นายโทนี่ แบลร์ กล่าวอย่างน่าให้ยิ่งลักษณ์ใช้สมองเท่าที่มีอยู่อย่างจำกัดขบคิดว่า หลักการ 5 ประการ จากการเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการปรองดอง
หลักการที่ 1 คือ การปรองดองเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสังคมมีความรู้สึกอยากแบ่งปัน มากกว่าแบ่งแยก—(ซึ่งสำหรับผม รัฐบาลยิ่งลักษณ์ส่งเสริมความแตกแยกอย่างชัดเจน เช่น การจัดการทางกฎหมายกับคนอื่นๆ แต่ไม่ทำอะไรกับคนเสื้อแดง การแบ่งแยกการช่วยเหลือชาวนากับชาวสวนยางพารา)
ฑิฆัมพร ศรีจันทร์ เขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า “รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้เงินไปกับโครงการจำนำข้าวไปแล้วไม่น้อยกว่า 6.7 แสนล้านบาท สำหรับการจำนำใน 4 รอบการผลิตที่ผ่านมา
เรียกว่าอุ้มกันสุดตัว แทรกแซงกันทุกเม็ด เป็นการเข้าไปรับซื้อโดยตรง ไม่อ้อมค้อมข้าวไหลเข้าสต็อกรัฐทั้งหมด
ขณะที่ใช้เงินไปกับการแทรกแซงยางพารา โดยวิธีการปล่อยเงินกู้ให้สถาบันเกษตรกร เอกชน ไปรวมประมาณ 3-4 หมื่นล้านบาท เป็นตัวเลขที่ทาบกันไม่ได้ ทั้งที่เกษตรกรที่ได้ประโยชน์จากข้าวแค่ 4-5 ล้านครัวเรือน ขณะที่เกษตรกรชาวสวนยางมีมากกว่า 10 ล้านครัวเรือน
การออกมาชี้แจงจากรัฐว่าไม่ได้ 2 มาตรฐานในการช่วยเหลือเกษตรกร แต่พืชต่างชนิดกัน การช่วยเหลือต้องแตกต่างกัน ดูเหมือนเป็นเหตุผลแบบเอาสีข้างเข้าถู เรียกว่าเถียงแบบข้างๆ คูๆ ก็มิเห็นจะไม่เหมาะสม
รัฐบาลแก้ปัญหาให้ชาวสวนยาง ด้วยการยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษ จากการส่งออกหรือเงินเซส กก.ละ 3 บาท ทำให้ดันราคาไปเหนือ 80 บาทต่อกิโลกรัมได้ พร้อมกับเจียดเศษเงินมาให้เป็นค่าปุ๋ยไร่ละ 1,260 บาทให้แก่ชาวสวนยางที่มีไม่เกิน 10 ไร่ พร้อมกับยืนยันไม่แตะต้องกลไกตลาด เพราะเกรงว่าจะเสียอำนาจการต่อรอง
ขณะที่รัฐบาลทุ่มจำนำข้าวให้ยืนเหนือราคาต้นทุนเกือบ 100% ด้วยการตั้งราคาให้ 1.5 หมื่นบาท จากต้นทุน 7-8 พันบาทและยังใจป้ำให้ครอบครัวละไม่เกิน 5 แสนบาทต่อรอบการผลิต นั่นหมายถึงใครทำสองรอบและใช้เต็มโควตา จะมีรายได้ถึง 1 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่รัฐบาลตั้งราคาให้ชาวสวนยางแค่ 80 บาทหรือ 90 บาทต่อกิโลกรัม จากต้นทุนไม่น้อยกว่า 70 บาทต่อกิโลกรัม ราคาที่ขยับให้จึงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่เปรียบเทียบกันมิได้เลย และชาวสวนยางที่จะได้รายได้ต่อปีถึง 1 ล้านบาทได้ ต้องมีสวนยางไม่น้อยกว่า 50 ไร่ และต้องได้ผลผลิตมาตรฐานไม่น้อยกว่าไร่ละ 3 กิโลกรัม
ขณะที่สินค้าข้าว รัฐบาลมุ่งเข้าไปอย่างเต็มที่ แทรกแซงจนไม่มีเงินเหลือ ตั้งใจที่ยืนเหนืออำนาจตลาดให้ได้ ทั้งที่เราผลิตข้าวได้แค่ปีละ 30-40 ล้านตัน จากทั่วโลกผลิตกว่า 400 ล้านตัน
ขณะที่รัฐบาลเปิดทำเนียบต้อนรับชาวนาข้าว รัฐมนตรีขึ้นบนเวทีของผู้เรียกร้อง พร้อมพลิกมติชั่วข้ามคืนในคราวลดราคาจำนำลงมาเหลือ 12,000 บาท เพียงแค่ชาวนาขู่จะรวมตัวประท้วงเท่านั้น
ขณะที่รัฐบาลกลับส่งแค่รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงไปเจรจากับชาวสวนยาง พร้อมกับการให้ก้อนอิฐและมีท่าทีเตรียมพร้อมเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มชาวสวนยางผู้เดือดร้อนทันที ที่การเจรจายกแรกไม่สำเร็จ
ขณะที่รัฐบาลเปิดปาก เราจะมุ่งไปสู่การปรองดอง ลดละความขัดแย้ง “ปมประเด็นสำคัญหนึ่งที่เงื่อนไขการปรองดองเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะยังมีคนจำนวนมากรู้สึกว่ารัฐและเจ้าหน้าที่รัฐมีสองมาตรฐาน เลือกปฏิบัติ กระทำการโดยเอื้อเฉพาะพวกพ้องตัวเอง”
ฑิฆัมพรระบุในตอนท้ายของบทความว่า “อย่าได้ยัดเยียดความผิดให้แก่ชาวสวนยาง และลอยแพเขา อย่าได้คิดว่าพวกเขาจะอยู่ตรงข้าม นอกขั้ว เพียงเพราะเขาเลือกปลูกยางและมีถิ่นฐานอยู่ภาคใต้ อย่าได้แยกชาวสวนยางออกจากนาข้าว อย่ายัดเยียดให้เขาเป็นดั่งสำนวนที่ว่า “คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก”
โทนี่ แบลร์ ระบุหลักการประการที่สองว่า ความปรองดองจะไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับความคิดในอดีต แต่เป็นความคิดที่จะนำไปสู่อนาคต หลักการที่ 3 คือ เราไม่สามารถลบล้างความอยุติธรรมได้ แต่สาระที่แท้จริงคือ สามารถตั้งกรอบการทำงานที่ทุกคนเห็นว่ายุติธรรมได้ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ซึ่งประเทศไทยมีกรอบอยู่แล้ว คุณสามารถลงรายละเอียดเพิ่มเติมในผลลัพธ์ที่ถูกต้อง สำหรับประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือประเด็นว่าใครขึ้นมายึดอำนาจ ประเด็นเหล่านั้นเป็นประเด็นแค่พื้นผิว แต่ลึกลงไปคือความไม่เห็นชอบของแต่ละฝ่าย การปรองดองจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุยในประเด็นที่ลึกลงไป ในแง่ของความยุติธรรมและความสมดุล ไม่ว่าจะเห็นขัดแย้งอย่างไร ก็ต้องทำให้เห็นว่ามีทางเดินไปสู่อนาคต
หลักการที่ 4 คือ ประชาธิปไตยที่แท้จริงและใช้งานได้หมายความว่า ในแต่ละประเทศมีการแบ่งแยกกัน มีพรรค ชนชั้น ศาสนา เชื้อชาติ และสีผิว ในประเทศไทยมีการแบ่งแยกมากมาย แต่เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม มีสองสามอย่างที่เกี่ยวกับประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
“คือ 4.1. ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องลงคะแนนเสียงเฉยๆ ไม่ใช่เรื่องว่าคนส่วนใหญ่เข้าไปมีอำนาจ แต่ประชาธิปไตยเป็นเรื่องเกี่ยวกับแนวคิด ที่ว่าคนส่วนใหญ่จะมีความสัมพันธ์กับคนกลุ่มน้อยอย่างไร หากคิดว่าประชาธิปไตยคือการชนะทุกอย่าง จะทำให้คนกลุ่มน้อยรู้สึกว่าถูกกีดกันในทุกเรื่อง ผมเห็นว่าประชาธิปไตยคือพหุภาคี ไม่ใช่อำนาจกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็นเรื่องการมีพื้นที่แบ่งปันทำงานกันได้ แบ่งปันค่านิยมบางอย่างร่วมกัน ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของความคิด นี่คือแกนของประชาธิปไตย และ 4.2. เรื่องหลักนิติธรรม ต้องดำเนินไปโดยไม่เอนเอียง ไม่ว่าจะเป็นตุลาการหรือรัฐบาล ต้องตรวจสอบได้ ความยุติธรรมต้องมีความอิสระ ปราศจากการแทรกแซงและอคติ นี่คือกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้อง”
ส่วนหลักการที่ 5 คือ หลักการที่นำไปปฏิบัติได้จริงแต่ปัจจุบันหลงลืมไป การปรองดองจะเกิดขึ้นได้ง่าย ถ้ารัฐบาลมีประสิทธิภาพในการดูแลประชาชน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ทั้งนี้ การปรองดองจะง่ายขึ้นถ้ารัฐบาลกำลังทำงานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ให้ประชาชนรู้สึกดีขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งคือ ให้ประชาชนรู้สึกว่ากระบวนการสันติภาพทำความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น ดังนั้น ประเด็นที่รัฐบาลจะเดินเข้าหาประชาชน ทำให้เขาเป็นอยู่ดีขึ้น คือประเด็นที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่ท้าทายของรัฐบาล
ถามว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งมาจากการชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ได้วางตนให้เป็นกลาง อย่างสง่างาม ใส่ใจเสียงเล็กเสียงน้อยที่คัดค้าน ทัดทานอย่างมีเหตุผล มุ่ง “แก้ไข ไม่แก้แค้น” บ้างหรือไม่
บริหารประเทศอย่างเปิดเผยโปร่งใส ปล่อยให้การค้นหาความจริงและกระบวนการยุติธรรมทำงาน เพื่อชำระล้างความขุ่นข้องหมองใจของคนในสังคมไหม
ผมเห็นแต่การซ้ำเติมและยั่วยุ เกิดการแตกแยก และปิดกั้นการตรวจสอบ แม้กระทั่งการใช้งบประมาณแผ่นดิน
ในขณะที่บ้านเมืองมีปัญหามากมาย รอให้ “ผู้นำ” ตัดสินใจ เธอเลือกจะ “ตะแล้ด แต๊ดแต๋” ไปต่างประเทศ ในงานที่ไม่ได้จำเป็นหรือส่งเสริมการแก้ปัญหาใดๆ ในชาติ
เงินเป็นร้อยๆ ล้าน ที่เธอเดินทางเกือบจะรอบโลก ช่วยให้ประเทศไทยขายข้าวได้ดีขึ้นไหม ขายยางพาราได้หรือเปล่า มีเงินลงทุนไหลเข้า และการส่งออกโลดลิ่วกระนั้นหรือ
ถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยทุกภาคส่วน ต้องลุกขึ้นมาประเมินการทำหน้าที่ “นายกรัฐมนตรี” ของยิ่งลักษณ์อย่างพร้อมเพรียงกัน!!
http://www.naewna.com/politic/columnist/8453
พริตตี้สมองกลวง ชื่อนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย ไม่โง่จริงไม่มีทางได้...