บทเรียน เขมรแดง บทเรียน "ประชาธิปัตย์" บอยคอต การเมือง วิเคราะห์การเมือง มติชนออนไลน์

กระทู้สนทนา
ยิ่งเห็นท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ ยิ่งเห็นท่าทียืนกระต่ายขาเดียวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ต่ออุบัติแห่ง "สภาปฏิรูปการเมือง"

ยิ่งทำให้เกิดนัยประหวัดถึง "เขมรแดง"

เป็นเขมรแดงอันมี นายพอล พต หรือสลอต ซาร์ เป็นผู้นำ เป็นเขมรแดงอันมี นายเขียว สมพร
นายเอียง สารี เป็นตัวละครโดดเด่น

อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ

เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างแน่นอนหากนำเอาภาพของ "พรรคประชาธิปัตย์" มาวางเรียงเคียงกับ
"เขมรแดง"

เอา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตีคู่กับ นายพอล พต

แต่คงจำกันได้ว่าขบวนการเขมรแดงเคยปฏิเสธการเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชาในปี 2537
แม้ว่าสหประชาชาติจะเข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ปฏิเสธ "สภาปฏิรูปการเมือง"

การตัดสินใจปฏิเสธการเลือกตั้งเมื่อปี 2537 ทำให้บทบาทของขบวนการเขมรแดงค่อยๆ
หมดสิ้นลงไปเป็นลำดับ การปฏิเสธ "สภาปฏิรูปการเมือง" ของพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นเช่นใด

ยังไม่มี "คำตอบ" แน่ชัด



ถามว่าเหตุปัจจัยอันใดทำให้พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชามีมติปฏิเสธการเลือกตั้งอันสหประชาชาติ
เข้ามามีบทบาทเป็นกรรมการเมื่อปี 2537

คำตอบ 1 เพราะประเมินว่าการเลือกตั้งจะไปไม่รอด

คำตอบ 1 เพราะประเมินว่าหากขบวนการเขมรแดงเข้าไปมีส่วนร่วมเท่ากับเป็นการค้ำประกัน
ความชอบธรรมของสหประชาชาติ

แน่นอน มตินี้ย่อมมาจากการ "วิเคราะห์" สถานการณ์ภายในพรรค

เป็นธรรมดาของพรรคคอมมิวนิสต์ที่อ้างว่ายึดกุมหลักลัทธิมาร์กซิสม์-เลนิน ก่อนมีมติ
อย่างใดอย่างหนึ่งจำเป็นต้องผ่านการถกแถลงภายในคณะกรรมการบริหารกลางก่อน

เป็นการถกแถลงถึงสภาพ "สังคม" กัมพูชาระยะนั้น

กัมพูชาประกอบด้วยพลัง 3 ฝ่าย ฝ่าย 1 คือเขมรแดง ฝ่าย 1 คือเขมรเฮง สัมริน และฮุน เซน
ฝ่าย 1 คือฝ่ายที่ไม่อยู่ใน 2 ส่วนแรก

ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ อิทธิพลเวียดนามยังครอบงำอยู่หนาแน่น

เขมรแดงวิเคราะห์ว่า ไม่ว่าอิทธิพลของตน ไม่ว่าอิทธิพลของฝ่ายเป็นกลางอันแนบชิดอยู่กับ
สมเด็จนโรดม สีหนุ มิอาจกำชัยเหนือกว่าเขมร เฮง สัมริน และ ฮุน เซน อันแนบแน่นอยู่กับ
เวียดนาม จึงได้ปฏิเสธและคิดว่ากระบวนการเลือกตั้งจะล้มเหลว

แต่ผลไม่เป็นไปตามความคาดหมาย



กล่าวสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ประเมินและวิเคราะห์ว่า รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
เป็นหุ่นเชิดของสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ"

ทุกจังหวะก้าวล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ "ทักษิณ"

การขับเคลื่อนในเรื่อง "สภาปฏิรูปการเมือง" ล้วนประสานกับการเสนอร่างรัฐธรรมนูญ
แก้ไขเพิ่มเติม ล้วนประสานกับการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

สถานีสุดท้ายล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ "ทักษิณ"

พรรคประชาธิปัตย์ประเมินว่าสังคมไทยยังคัดค้านและต่อต้านการดำรงอยู่ของสิ่งที่เรียกว่า
"ระบอบทักษิณ" และรัฐบาลหุ่นเชิด

ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์คัดค้านจะยิ่งได้รับคะแนนนิยม

แนวทางนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการสกัดขัดขวางและบ่อนทำลาย "ระบอบทักษิณ"
หากแต่ยังทำให้คะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ดีวันดีคืน และจะส่งผลให้การ
ดำเนินไปของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หดสั้นและอาจต้องพังพินาศ

อย่างช้าก็ไม่น่าจะเกินวันที่ 8 ตุลาคม

พรรคประชาธิปัตย์และแนวร่วม 12 กลุ่มจึงเร่งการเคลื่อนไหวต่อต้าน บอยคอต
ทั้งในรัฐสภาและนอกรัฐสภาอย่างแข็งขัน

เพื่อ "โค่น" รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์

ชินวัตร



ระยะนับแต่เดือนกันยายนจนสิ้นเดือนตุลาคม จึงเป็นระยะแห่งการสัประยุทธ์อันแหลมคม

"สภาปฏิรูปการเมือง" จึงเป็นกลไกหนึ่งเหมือนร่างกฎหมายที่คาอยู่ในรัฐสภาจำนวนมาก
ที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเดินหน้าชน

กระทั่งผลปรากฏออกมาตามความเชื่อ

เชื่อใน "ดวงดาว" เชื่อใน" พลานุภาพ" ตน

(ที่มา:มติชนรายวัน 31 ส.ค.2556)

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊คกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1377996651&grpid=&catid=12&subcatid=1200

เพื่อความสมบูรณ์  ก็ชวนให้ไปอ่าน  กระทู้เมื่อเช้า   ตาม link  ข้างล่างนี้ด้วยค่ะ ...
ดูเหมือน  ไม่ค่อยจะมีใครสนใจ  เอามาตื๊อ  ให้เข้าไปอ่านกัน หน่อยเถอะค่ะ
นี่คือ เรื่องดีๆ ไม่ได้ด่าทอ  หยาบคายเล๊ย ....หัวเราะ

เวทีปฏิรูปการเมือง โดย วีรพงษ์ รามางกูร ....... มติชนออนไลน์ ..... อ่านแล้วจะเข้าใจทุกฝ่ายมากขึ้น
http://pantip.com/topic/30919209

Mr.H คิดว่าเยี่ยม

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่