เรื่องของญาณกับฌานในพุทธศาสนา

กระทู้สนทนา
เนื้อหาในกระทู้นี้ประกอบด้วย
-วิธีนอนเจริญฌาน โดย พระอริยคุณาธาร
-ประสบการณ์การเข้าฌาณ โดยคุณ solardust
-ว่าด้วยญาณเนื่องด้วยอานาปานสติ //mes
-ประสบการณ์การเข้าฌาณ โดยคุณ โขตาน

วิธีนอนเจริญฌาน
โดย : พระอริยคุณาธาร
สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนกวาง




วิธีนอนเจริญฌานมี ๒ อย่าง คือนอนพักผ่อนร่างกาย กับนอนเพื่อหลับ ซึ่งมีวิธีปฏิบัติต่าง
กันดังนี้

๑. นอนพักผ่อนร่างกาย คือ เมื่อเจริญฌานในอิริยาบถทั้ง ๓ มาแล้ว เกิดความมึนเมื่อยหรือ
     อ่อนเพลียร่างกาย ก็พึงนอนเอนกายเสียบ้าง นอนในท่าที่สบายๆ ตามถนัดจะหลับตาหรือ
     ลืมตาก็ได้กำหนดใจอยู่ในกรรมฐานข้อใดข้อหนึ่ง หรือเอาสติควบคุมใจให้สงบนิ่งอยู่เฉยๆ
     ก็ได้

๒. นอนเพื่อหลับ การนอนหลับเป็นการพักผ่อนที่จำเป็นของร่างกาย ใครๆก็เว้นไม่ได้ แม้แต่
     พระอรหันต์ก็ต้องพักผ่อนหลับนอนเช่นเดียวกันกับปุถุชน ที่ท่านว่าพระอรหันต์ไม่หลับเลย
     นั้น ท่านหมายทางจิตใจต่างหาก มิได้หมายทางกาย การหลับนอนแต่พอดี ย่อมทำให้
     ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ถ้ามากเกินไป ก็ทำให้อ้วนเทอะทะ ไม่แข็งแรง ถ้าน้อยเกินไปก็ทำให้
     อิดโรย อ่อนเพลีย ความจำเสื่อมทรามและง่วงซึมประมาณที่พอดีนั้น สำหรับผู้ที่ทำงานเบา
     เพียง ๔ - ๖ ชั่วโมง เป็นประมาณพอดี แต่สำหรับผู้ที่ทำงานหนัก ต้องถึง ๘ ชั่วโมงจึงจะ
     พอดี ในเวลาประกอบความเป็นผู้ตื่น ( ชาคริยานุโยค ) นั้น ทรงแนะให้พักผ่อนหลับนอน
     เพียง ๔ ชั่วโมง เฉพาะยามท่ามกลางของราตรีเพียงยามเดียว

    เวลานอกนั้นเป็นเวลา ประกอบความเพียรทั้งสิ้น และทรงวางแบบการนอนไว้เรียกว่า
  "สีหไสยา" คือนอนอย่างราชสีห์ การนอนแบบราชสีห์นั้นคือนอนตะแคงข้างขวา เอนไป
ทางหลัง ให้หน้าหงายนิดหน่อย มือข้างขวาหนุนศีรษะ แขนซ้ายแนบไปตามตัว วางเท้าทับ
เหลื่อมกันนิดหน่อย พอสบาย แล้วตั้งสติ อธิษฐานจิตให้แข็งแรงว่า ถึงเวลานั้นต้องตื่นขึ้น
ทำความเพียรต่อไปก่อนหลับ พึงทำสติอย่าให้ไปอยู่กับอารมณ์ภายนอก ให้อยู่ที่จิต ปล่อยวาง
อารมณ์เรื่อยไป จนกว่าจะหลับ ถ้าให้สติอยู่กับอารมณ์ภายนอกแล้ว จะไม่หลับสนิทลงได้

    ครั้นหลับแล้ว ตื่นขึ้น พึงกำหนดดูเวลา ว่าตรงกับอธิษฐานหรือไม่ ? แล้วพึงลุกออกจาก
ออกจากที่นอน ล้างหน้า บ้วนปาก ทำความพากเพียร ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากนิวรณ์สืบไป
ถ้าสามารถบังคับให้ตื่นได้ตามเวลาที่กำหนดไว้ไม่เคลื่อนคลาด เชื่อว่าสำเร็จอำนาจบังคับ
ตัวเอง ขั้นหนึ่งแล้ว พึงฝึกหัดให้ชำนาญต่อไป ทั้งในการบังคับให้หลับ และบังคับให้ตื่นได้
ตามความต้องการ จึงจะชื่อว่า มีอำนาจเหนือกายซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปฏิบัติอบรม
จิตใจขั้นต่อๆไป


ประสบการณ์การเข้าฌาณ โดยคุณ solardust
(โพสต์ 2 ก.ค. 56 20:22:05)

ประสบการณ์ครั้งแรกนะครับ เผื่อมีประโยชน์บ้าง

ตอนนั้น (สมัยยังวัยรุ่นอยู่) เข้าสมาธิทำใจให้เบาๆ เข้าฌาน 3 ไปนิ่งซักพัก
(เข้าฌาน 3 ไปเลยนะครับ เนื่องจากสมัยนั้นจำอารมณ์กับสภาพของฌาน 3 ได้ค่อนข้างแม่นแล้ว)

อยู่ๆก็ไม่รู้สึกว่ามีร่างกาย เหมือนความรู้สึกทั้งหมดมันวิ่งรวมเข้าไปในศูนย์กลางของอะไรซักอย่างภายในตัว
สติทั้งหมด ความรู้สึกทั้งหมด เหมือนโดนอัดรวมเป็นก้อน หรือเป็นจุดเล็กๆ
ไม่รับรู้อะไรอีกนอกจากสภาพความรู้สึกแค่ว่า นี่เรา
นิ่งอยู่แค่นั้นพักนึง นิ่งอยู่อย่างนั้น จนจิตถอนออกมาเอง

พอจิตถอนออกมาปุ๊บ....
3 วันนะครับ
3 วันเต็มๆ นั่งมองฟ้าอย่างเดียว ในหัวว่างเปล่า ไม่หือไม่อืออะไร
ไม่อยากทำอะไร มีความรู้สึกอย่างเดียว คือ นิ่ง สงบ
อารมณ์ ความคิด ความรู้สึก ไม่มีอะไรไหวติงแม้แต่น้อย
กิน นั่ง นอน ยืน เดิน อาบน้ำ ก็ทำไปงั้นๆ เพราะรู้สึกว่าต้องทำ แค่นั้น
ถ้าขี้เกียจขวนขวายเรื่องการกิน ก็แค่ระลึกถึงปิติแล้ว กำหนดใจเลื่อนอาการฟูของปิติเข้าไปในช่องท้อง เพื่อดับความหิว
แล้วก็นั่งนิ่งๆไปเรื่อยๆ

ถึงวันที่ 4 ก็มานั่งรำพึงกับตัวเอง
4 วันนะครับ กว่าจะเริ่มรำพึงได้ว่า
เออ...ความเป็นพระอรหันต์ทั้งๆที่อยู่ในเพศฆราวาสนี่ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...
กิจในโลกไม่มีอะไรให้ห่วงอีกแล้ว...อีกไม่กี่วันเราก็คงตาย แต่ทุกอย่างจบสมบูรณ์แล้ว...
โลกนี้ โลกไหน ก็ไม่ต้องดิ้นรนขนขวายไปทำอะไรอีกแล้ว ความสงบของพระนิพพานเป็นอย่างนี้นี่เอง...
ตอนนั้น...คิดไปได้ขนาดนั้นนะครับ

ประมาณซัก 15 นาทีให้หลัง ก็นึกขึ้นมาได้ว่า
เอ๊...จริงๆแล้วเราเข้านิพพานไม่ได้นี่หว่า...!!!...แล้วจะมาบรรลุอรหันต์แถวนี้ได้ไงวะ

ตอนนั้น...หลังจากฉุกคิดได้ ก็ไปหาหนังสือโป๊มาดูตั้งใหญ่ เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

ถ้าเป็นพระอรหันต์ไปแล้วจริงๆ กามราคะต้องไม่กำเริบ...
หลังจากค่อยๆละเลียดดูไปทีละหน้า จนหมดไปหลายเล่ม
ความที่เจริญสติปัฏฐาน 4 ควบกับฝึกกรรมฐานไปด้วย
ก็มองเห็นไอสีแดงๆ คล้ายควันจางๆไหวไปมาที่ท้องน้อย เหนือบริเวณหัวหน่าวขึ้นมาหน่อย
ความรู้สึกในตอนนั้น บอกว่าที่มองเห็นคือไอราคะ
แปลว่า กามราคะกำเริบขึ้นมาแล้ว
ที่นิ่งไป 3 วัน ไม่ใช่อาการที่เนื่องจากการบรรลุธรรมใดๆ แค่กำลังฌานมันกดอารมณ์ต่างๆเอาไว้เฉยๆ

--------------------------------------------------------------------------

พอรู้ว่ายังต้องอยู่อีกนาน...ก็เลยออกไปเดินเล่น
ความสงบยังกดอยู่นะครับ ไอราคะก็ดับเงียบไปแล้ว

เรื่องที่น่าสนใจในขณะนั้นก็คือ
อยู่กลางแดดไม่ร้อน ตอนเที่ยงนะครับ รู้สึกเหมือนทุกอย่างที่มองเห็นถูกเคลือบด้วยแสงเหลืองๆ
มองไปทางไหนก็เย็นตา สบายตาไปหมด ทั้งที่ยืนอยู่กลางแดดตอนเที่ยง

อีกเรื่องก็คือ เวลาเดินผ่านคน จะมีอาการสองอย่าง
อย่างแรกกลิ่น...
ทุกคนจะมีกลิ่นลอยออกมาจากตัว เวลาเดินสวนกัน พอได้กลิ่น จะรู้สึกเหมือนนึกรู้
(มีอาการเหมือนอยู่ดีๆก็มีข้อมูลที่ไม่ได้คิดอยากจะรู้โผล่ขึ้นมาเองลอยๆในหัว) ว่า คนๆนี้มีนิสัยอย่างไร ชอบอะไร

อย่างที่สอง
ทุกคนจะมีภาพซ้อนเป็นภาพกึ่งขาวดำ เป็นคนอีกคนซ้อนกันอยู่
ทีแรกจะงงมาก คนทั้งซอย มีภาพซ้อนเป็นคนก็ไม่ใช่ สัตว์ก็ไม่เชิง มองดูทรุดโทรมซอมซ่อ
ระหว่างที่กำลังมองอยู่ ก็มีคนสองคนเดินสวนมา มีภาพซ้อนเป็นคนแต่งตัวดี แต่รูปร่างหน้าตา ไม่เหมือนตัวจริง
อยู่ๆก็มีอาการเหมือนนึกรู้ขึ้นมาในหัวว่า ถ้าระเบิดลงตอนนี้ คนตายกันทั้งซอย
มีแค่สองคนจะได้ไปเกิดเป็นคน
ที่เหลือทั้งหมด แม้แต่สัตว์เดรฉานก็ไม่มีโอกาสได้เป็น ต้องลงต่ำกว่านั้นทั้งหมด

มีเรื่องอื่นๆอีกนะครับ แต่ขอตัดบทลงที่ ประมาณ 7 วันก็เหมือนเดิม
เนื่องจากตอนนั้น มันไม่เอาอะไรเลยแม้แต่นั่งสมาธิต่อ มันก็ไม่เอา
ก็เลยรู้ว่าครั้งแรกของเรา โดนกำลังฌานกดไปซะ 7 วัน

-------------------------------------------------------------------------------------

ตอนหลังๆนี่ เฉยๆครับ สงสัยจะชิน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่