ถามท่านที่เชื่อสัจธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านเริ่มเชื่อแบบจริงๆจังๆตอนใหน เพราะอะไรครับ

กระทู้นี้ขอถามท่านที่เชื่อว่าพระธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นแค่ ปรัชญา แนวทางการดำเนินชิวิต หรือเพียงหลักการใช้ชีวิตแบบนึง

แต่ท่านเริ่มเชื่อว่าพระธรรม ของพระพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมหรือความจริงของธรรมชาติ  ท่านเริ่มเชื่อแบบจริงๆจังๆตอนใหน เพราะอะไรครับ


อมยิ้ม01ส่วนตัวเจ้าของกระทู้ เริ่มเชื่ออย่างจริงๆจังๆ ครั้งแรกสมัยวัยรุ่น ตอนนั่งสมาธิเป็นประจำช่วงแรกๆ(อีกแล้ว)
ตอนนั้นเริ่มสนุกกับสมถะมาก(ติด)ว่างเมื่อใหร่หลับตาทันที ทุกที่ทุกเวลาถ้ามีโอกาส เปลี่ยนคาบเรียน พักเที่ยง นั่งรถเมล์
      อยู่มาวันนึง ฟันผุ ไม่กล้าไปถอน เพราะกลัวหมอฟันอมยิ้ม07 เลยทำให้ปวดฟันมาก  สมาธิปกติก็ช่วยบรรเทาได้แต่ตอนทำสมาธิเท่านั้น พอไม่ได้ทำสมาธิก็ปวดกลับมาอีก ฟันผุไม่ไปถอน มันก็ปวดอยู่เรื่อยๆ
     คืนนึงสะดุ้งตื่นเพราะปวดฟันจี๊ดขึ้นมา จากที่ปกติบริกรรมเพื่อความสงบ เลยฮึดขึ้นมา นั่งดูอาการปวดฟันมันซะเลย ดูซิมันจะทรมานจะเป็นจะตายใหม พอนั่งพิจารณาอาการปวดฟันไปเรื่อย ๆ ทุก ๆ แง่ อยู่ดี ดี ใจมันก็เข้าใจขึ้นมา เห็นรูปกับนามแยกเป็นคนละตัวกัน พอเห็นเป็นคนละตัว ใจมันก็ไม่เกี่ยวกับรูปคือฟัน หรือนามคืออาการปวดฟัน พอใจไม่เกี่ยวกับสองตัวนี้อาการปวดฟันที่เกิดอยู่ก็ไม่ทำให้เกิดเจ็บปวดหรือทรมานอีก กลายเป็นอยู่สบายเลยแม้มีอาการปวดฟัน ไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับมัน
    หลังจากนั้นก็กลายเป็นเด็กมาโซคิสต์ พอมีเวทนาทางกายต่าง ๆ ร้อนหนาวเหนื่อยหิว ที่มากระทบกายก็จับมาพิจารณาหมด จากเห็นแค่รูป-นาม ก็เห็นในนาม ยังแยกย่อยได้อีก เห็นขันธ์ 5 เป็นกอง ๆ เป็นส่วน ๆ พอมีผัสสะกระทบทีก็เห็นมันกระเพื่อมต่อกันเป็นสายไป (ตอนนั้นรู้สึกยังกับเป็นยอดมนุษย์เลย คอนโทลอาการปวดได้ อมยิ้ม07   )

เฮ้ย!!! ที่พระพุทธเจ้ากล่าวเรื่อง รูป-นาม หรือเรื่องขันธ์ 5 มันไม่ใช่แค่การแจกแจง แยกรายละเอียดเพื่อสั่งสอนคนเท่านั้นนี่นา แต่ความจริงธรรมชาติของขันธ์ 5 ก็เป็นคนละกองกันอยู่แล้ว แต่เราอุปทานเอามันมาประกอบกันเองและคิดว่าเป็นเรา  
     เลยทำให้มุมมองผมเกี่ยวกับศาสนาพุทธเปลี่ยนไปเลย จากเพียงแค่อุบายในการใช้ชีวิต และปรัชญา กลายเป็น ความจริง และ สัจธรรม ..
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ตอนแรกเลยพ่อสอนเรื่องอริยสัจ 4 ฟังแล้วชอบเลย ศรัทธาเลย
แต่พอมาอ่านพระไตรปิฎก ก็เข้าใจอริยสัจ 4 มากขึ้น ยิ่งศรัทธามากขึ้น
พอตอนหลังมาศึกษาขันธ์ 5, ไตรลักษณ์,สติปัฏฐาน 4 ยิ่งศรัทธามากเข้าไปใหญ่
แล้วตอนสุดท้ายมาศึกษาปฏิจจสมุปบาท ยิ่ง........โอ้มายก้อด ไม่ใช่คนธรรมดาหรอกที่จะคิดเรื่องนี้เองได้ ต้องเป็นปราชญ์เหนือปราชญ์ และต้องเป็นคนเหนือคนเท่านั้น
ความคิดเห็นที่ 11
เมื่อตอนหนุ่มๆได้เคยไปเข้าคอร์สทางด้าน Hardware computer มาในระยะหลังเริ่มสนใจธรรมะ ซื้อหนังสือมาอ่าน เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง โดยเฉพาะเรื่องขันธ์5 และปฏิจจสมุปบาท ..คิดไปคิดมาเลยนำไปเปรียบเทียบเข้ากับการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์เข้าโดยบังเอิญ ก็บอกได้ว่า ใช่เลย..

พระพุทธเจ้าท่านค้นพบวิธีการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์เมื่อกว่า2500 ปีท่ีแล้ว แต่มนุษย์เพิ่งจะได้นำเอาหลักการทำงานของคอมพิวเตอร์มาใช้้มื่อ ศตวรรษท่ี20 นี่เอง ถ้าหากไม่เข้าใจเรื่องขันธ์5ว่าทำงานยังไง ก็ให้ลองนำมาเปรียบเทียบกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ก็จะทำให้เข้าใจได้ทุกทีไป..

รูป..เปรียบได้กับ Hardware

นาม..เปรียบได้กับ Software คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

เวทนา.. เปรียบได้กับ ตัวแสดงผล (จอคอมพิวเตอร์)
สัญญา ..เปรียบได้กับ หน่วยความจำ (Memory)
สังขาร..เปรียบได้กับ การปรุงแต่งข้อมูล (Processor)
มโนวิญญาน..เปรียบได้กับ คำตอบท่ีได้รับ (คือ "ตัวรู้")

Software ทำงานเป็น Loop ของวงกลมไม่รู้จบ โดยมีสัญญาณานฬิกา เปรียบได้กับ จิต ท่ีทำงานด้วยความเร็ว (Clock speed) สูงมาก จนเหมือนกับว่าขันธ์ทุกขันธ์เกิดขึ้นพร้อมๆกัน (แต่ความจริงเกิดขณะจิตละครั้ง) โดยมีสัญญาขันธ์เป็นตัวเก็บและส่งต่อข้อมูลไปยังสังขารขันธ์ และสังขารขันธ์ก็เป็นตัวปรุงแต่งข้อมูล (Processor) และส่งผลลัพท์ท่ีได้ (Output)ไปยังมโนวิญญาณทำให้มีคำตอบที่เรียกว่า "รู้" ต่อไป

อายตนะ5 ภายนอก เปรียบเหมือนเซ็นเซอร์ท่ีรับสัญญานในระบบ Multiplex  เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น และกาย (คือเข้ามาจากต้นทางพร้อมๆกันแต่สามารถรับท่ีปลายทางได้เพียงครั้งละ1สัญญานเท่านั้น เนื่องจากจิตเกิดดับเพียงครั้งละ1ขณะ) ขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้น จิตเกิดผัสสะแล้วกลายเป็นวิญญาณชนิดใด (เช่น จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯลฯ) แต่ถ้ามาเกิดผัสสะกับอายตนะภายในท่ี "ใจ" ก็จะกลายมาเป็น มโนวิญญาน คือ "รู้" และกลายมาเป็นคำตอบในคอมพิวเตอร์

หลังจากนั้น เวทนา ก็จะรับสิ่งท่ี"รู้" จากมโนวิญญาณมาแสดงผล (บนจอ monitor) เกิดเป็น อารมภ์และความรู้สึกท่ีมีการแสดงออกทาง กาย วาจา ใจ ตามมา

-----------------------------

สำหรับการทำสมาธิภาวนาก็เช่นกัน.. หากนำตัวเราไปเปรียบเทียบกับ "หุ่นยนต์" ก็จะสามารถทำความเข้าใจได่ง่ายขึ้นคือ..

หุ่นยนต์ประกอบด้วยส่วนท่ีเคลื่อนไหว (อริยาบท4) ท่ีเป็นกลไกทาง Mechanic เปรียบได้กับ ..รูป

รูป ถูกควบคุมด้วยสมองกล (คือส่วนของนาม) ท่ีทำงานคล้ายระบบคอมพิวเตอร์ดังได้กล่าวมาแล้ว

เมื่อเราเจริญสติปัฏฐาน4ถึงระดับหนึ่ง เราจะรู้สึกเสมือนว่า กาย และใจ แยกออกเป็นอิสระจากกัน โดยท่ีแต่ส่วนก็ทำหน้าท่ีของตนไปตามเหตุและปัจจัย คือหุ่นยนต์รับข้อมูลผ่านเซ็นเซอร์ (อายตนะภายนอก) และส่งต่อไปยังส่วนควบคุม ผลลัพท์ท่ีได้นำมาใช้ควบคุมตัวหุ่นยนต์ให้เดิน เลี้ยวซ้าย ขวา หรือมีปฏิกริยาตอบสนองต่อสภาวะแวดล้อมภายนอก

หากเราเข้าใจการทำงานของขันธ์5มาถึงระดับหนึ่ง เมื่อนั้นเราก็จะเริ่มรู้สึกว่า ชีวิตนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประกอบกันเข้าเป็นรูปกาย และมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาประกอบกันเข้าเป็นนาม ทั้งหมดนี้ทำงานร่วมกันและสามารถเกิดขึ้นได้ก็เพราะจาก "เหตุและปัจจัย" เท่านั้น

และหลังจากนั้นผมก็เชื่อในสัจจธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นต้นมาครับ

ปล. เขียนยาวไปหน่อย..ก็ถือว่าเป็นการร่วมเสวนาธรรมนะครับ (ไม่เน้นถูกผิด)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่