โทมนัสอาศัยเนกขัมมะ เป็นเพียงอาหาร(เวทนา เพื่อเลี้ยง ชีวิต)
และเป็นมรรค(เนกขัมมะ)
...............
พระอรหันต์ไม่มีทุกข์
แต่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต ต้องเสวยอาหารคือเวทนา
เพียงเพื่อดำรงขันธ์และเป็นมรรค(เนกขัมมะ)
ท่านคิดว่าถูกไหมครับ?
ช่วงหลัง ๆ เริ่มสนใจเรื่อง “เวทนา–ขันธ์–ความดับทุกข์” จริงจังขึ้น
เลยมีคำถามอยากชวนคุยกับเพื่อน ๆ ชาวพันทิป
จากที่ผมเข้าใจ พระอรหันต์ “ไม่มีทุกข์” เพราะสิ้นอาสวะแล้ว
เหมือนกับการแยก ออกกันอย่างสมบรูณ์ ระหว่างทุกข์ กับ ผู้ไม่มีทุกข์
เหมือน คน กับ อาหาร
จะใช้คำว่า คนมีอาหาร กับคนกินอาหาร ดี
แต่พระพุทธเจ้าตรัสเสมอว่า แสดงธรรมโดยทางสายกลาง
จึงเลือก ใช้คำว่า เสวยเวทนา (เหมือนเป็นอาหาร)
เพียงแต่ “จิตของท่านไม่เข้าไปแบก ไม่เข้าไปยึด” เท่านั้น
ดังนั้น เวลาท่านฉันอาหาร
มันคือ “การเสวยเวทนาเพื่อดำรงขันธ์”
ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับ?
ใครมีมุมมอง มีคำอธิบายจากพระไตรปิฎก
หรือจากครูบาอาจารย์ที่ฟังแล้วกระจ่าง
รบกวนแชร์ให้ผมเรียนรู้ด้วยครับ 😊
คุณอาจตกใจ..พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ แต่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต เสวยอาหารคือเวทนา เพียงเพื่อดำรงขันธิ์ ท่านคิดว่าถูกไหม
และเป็นมรรค(เนกขัมมะ)
...............
พระอรหันต์ไม่มีทุกข์
แต่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิต ต้องเสวยอาหารคือเวทนา
เพียงเพื่อดำรงขันธ์และเป็นมรรค(เนกขัมมะ)
ท่านคิดว่าถูกไหมครับ?
ช่วงหลัง ๆ เริ่มสนใจเรื่อง “เวทนา–ขันธ์–ความดับทุกข์” จริงจังขึ้น
เลยมีคำถามอยากชวนคุยกับเพื่อน ๆ ชาวพันทิป
จากที่ผมเข้าใจ พระอรหันต์ “ไม่มีทุกข์” เพราะสิ้นอาสวะแล้ว
เหมือนกับการแยก ออกกันอย่างสมบรูณ์ ระหว่างทุกข์ กับ ผู้ไม่มีทุกข์
เหมือน คน กับ อาหาร
จะใช้คำว่า คนมีอาหาร กับคนกินอาหาร ดี
แต่พระพุทธเจ้าตรัสเสมอว่า แสดงธรรมโดยทางสายกลาง
จึงเลือก ใช้คำว่า เสวยเวทนา (เหมือนเป็นอาหาร)
เพียงแต่ “จิตของท่านไม่เข้าไปแบก ไม่เข้าไปยึด” เท่านั้น
ดังนั้น เวลาท่านฉันอาหาร
มันคือ “การเสวยเวทนาเพื่อดำรงขันธ์”
ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับ?
ใครมีมุมมอง มีคำอธิบายจากพระไตรปิฎก
หรือจากครูบาอาจารย์ที่ฟังแล้วกระจ่าง
รบกวนแชร์ให้ผมเรียนรู้ด้วยครับ 😊