ความนำ
จะด้วย "ความโง่เขลา" อันเป็น "สมบัติ" ประจำตัวของมัน หรือเป็น "สันดาน" การอ่านหนังสือแบบ "ลวกๆ" ก็ตามที
แต่การกล่าววาจาด้วยความ "โอหัง" โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ของ ล็อกอิน คันโตนาซี อาจเป็นปัญหาขึ้นมาก็ได้ เช่นที่มันกล่าวว่า ..........
"แม้แต่เจ้าคุณปยุต ที่พวกคุณชอบอ้างนักอ้างหนา แต่กระทู้นี้เงียบกริบ
(คงเพราะยกมาไม่ได้ เพราะขัดกับทิฐิ แบบแถไม่ออกกระมัง)
ท่านก็ยังบอกเลยว่า สอุปาทิเสสนิพพานน่ะ ดับกิเลสแล้ว แต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ"
ถ้าอย่างนั้น ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ขออนุญาตใช้สิทธิ ที่จะไม่ "เงียบกริบ" โดยการยกข้อความของท่านปยุตโตขึ้นแสดง
และแจกแจง "ข้อเท็จจริง" และ ความหมายที่ถูกต้อง ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่จริง ทั้งในชั้นพุทธพจน์ และ อรรถกถา นะครับ
จบความนำ
*********************************************************************************************
เริ่มต้นด้วยการที่ท่านปยุตโต กล่าวอธิบายว่า พุทธพจน์ จาก อิติวุตตกะ ปรากฏหลักฐาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานธาตุ มี อุปาทิเหลือ หรือ นิพพานที่ยังมีเชื้อเหลือ
ประเด็นที่สำคัญ ก็คือ ท่านปยุตโตกล่าวอย่างชัดเจนว่า เพราะอาศัยคำอธิบายของอรรถกถา จึงแปล "อุปาทิ" ว่าหมายถึง ขันธ์ ๕
สุดท้ายจึงเกิดความหมายของ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ขึ้นมาใหม่ว่า "นิพพานยังมีเบญจขันธ์เหลือ"
ขออนุญาต สรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ว่า
ที่เข้าใจกันว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง (๑) นิพพานมีขันธ์ ๕ เหลือ และ (๒) นิพพานที่ยังเกี่ยวข้องกับ ขันธ์ ๕
นี้เป็นคำอธิบายของ อรรถกถาจารย์ นะครับ
แต่กระนั้น ท่านทั้งหลายไม่สังเกตบ้างเลยหรือว่า การที่ ท่านปยุตโต อ้าง อรรถกถา ที่ให้ความหมายของคำว่า อุปาทิ ว่าหมายถึง
(๑) สภาพที่ถูกกรรมกิเลสถือครอง และ (๒) สภาพที่ถูก อุปาทาน ยึดไว้มั่น เป็นการให้ความหมาย ที่ไม่สอดคล้องกับ "พระอรหันต์"
ที่กำลังกล่าวถึง ในกรณี นิพพาน ๒ ประการ จาก ธาตุสูตร ซึ่งย่อมปราศจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทั้งปวง
แต่หากเลือกใช้ "อุปาทิ" เพียงความหมายว่า มีเชื้อแห่งชีวิตเหลืออยู่ โดยไม่เพ่งเล็งไปถึงคำว่า "ขันธ์"
ในความหมายว่า ยังต้องอาศัย หรือขึ้นอยู่กับ "ชีวิต" ยังไม่เป็น "อิสระ" จากความมีชีวิต
ก็น่าจะเป็นความหมายที่ ถูกต้องมากกว่าที่จะใช้คำว่า ขันธ์
เพราะการใช้คำว่า ขันธ์ มักนำไปสู่ "อุปาทานขันธ์" อยู่เสมอๆ สำหรับความรับรู้ของ ปุถุชนผู้บริโภคกาม !
และเท่าที่พบ ปรากฏหลักฐานว่า อุปาทิ ที่หมายถึง ความยึดถือ(อุปาทาน) คำนี้ มีใช้กับ พระอนาคามี เท่านั้น
ไม่พบว่าพระพุทธเจ้า เคยใช้ความหมายแบบนี้ กับพระอรหันต์ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว !)
*********************************************************************************************
ต่อมา ท่านปยุตโต ได้อธิบายคำศัพท์ "เวทยิต" ดังนี้ว่า
(๑) มาจากรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า "เวทนา"
(๒) ใช้แทนคำว่า เวทนา บ้างในบางคราว
(๓) แปลว่า การเสวยอารมณ์ หรือ อารมณ์ที่ได้เสวย
เรื่องนี้ สำคัญอย่างไร ?
ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า โดยเนื้อแท้แล้ว ข้อความจาก ธาตุสูตร พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสถึงคำว่า เวทนา(ขันธ์) เลย
การที่พระพุทธเจ้าตรัสคำว่า "เวทยิต" ย่อมทรงมีเจตนาจะสื่อความหมายถึง "กระบวนการ" เสียมากกว่า กล่าวคือ
คำว่า เวทยิต นี้ ท่านปยุตโต ก็ได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า หมายถึง การเสวยอารมณ์ ซึ่งอรรถกถาจรย์ ก็ได้อธิบายคำศัพท์นี้เอาไว้เช่นกันว่า
จริงๆ แล้ว "เวทนา" นั่นแหละที่เสวยอารมณ์ หาใช่ สัตว์ บุคคล ฯลฯ เป็น "ผู้เสวย" อารมณ์เหล่านั้น แต่อย่างใดไม่ !
ดังนั้น ข้อเท็จจริง (ตามความเป็นจริง)ในขณะนี้ ก็คือ
(๑) มิใช่ สัตว์ บุคคล เป็นผู้เสวยอารมณ์ แต่เป็น "เวทนา" นั้นเองที่เสวยอารมณ์
(๒) เราจะกล่าวว่า "เวทนา" นั้นเป็นของใคร ก็ไม่ได้ เพราะหากกล่าวอย่างนั้น ก็เป็นมิจฉาทิฐิ ไปอีก
ประการแรก เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า ..........
การตั้งคำถามว่า ใครเป็นผู้ ผัสสะ หรือ เป็นผู้เสวยอารมณ์ นั้นเป็นการตั้งคำถามไม่ถูกต้อง
ประการต่อมา พระพุทธเจ้ายังตรัสอีกว่า หากเข้าใจว่ามี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ในฐานะผู้กระทำ และ ผู้เสวย(เวทนา)
ย่อมไม่อาจพ้นไปจาก มิจฉาทิฐิสุดโต่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปได้เลย
ดังนั้น หากใครก็ตาม มีความเข้าใจ(ผิด)ว่า พระอรหันต์ เป็นผู้เสวยอารมณ์ หรือ เวทนา(ขันธ์) เป็นของพระอรหันต์
นั่นคือ ความเห็นผิด เป็น มิจฉาทิฐิ อย่างไม่ต้องสงสัย
*********************************************************************************************
ท่านปยุตโต ยังอธิบายเรื่อง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ต่อไปอีก ดังนี้ว่า
กล่าวโดยสรุป ได้ว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง ภาวะของนิพพาน
(๑) มีอุปาทิเหลืออยู่
(๒) ยังเกี่ยวข้องกับขันธ์ ๕ โดยฐานเป็น "อารมณ์" หรือสิ่งที่ถูกรับรู้
ท่านทั้งหลายพึงสังเกตด้วยว่า เมื่อพิจารณามาจนถึงบัดนี้แล้ว ยังไม่พบหลักฐานที่ระบุว่า
พระอรหันต์มี "ขันธ์ ๕" หรือ "ขันธ์ ๕" เป็นของพระอรหันต์ เลยแม้แต่คำเดียว นะครับ !
ดังนั้น แทนที่ คันโตนาซีจะกล่าวอย่างโง่ๆ ว่า "แล้วพระอรหันต์ จะไม่มี ขันธ์ ๕ ได้อย่างไร ?"
ก็สมควรกล่าวอย่างฉลาดๆ ว่า ""แล้วพระอรหันต์ จะมี ขันธ์ ๕ ได้อย่างไร ?" เสียมากกว่า นะครับ
*********************************************************************************************
เรามาฟังคำอธิบายของท่านปยุตโต กันต่อ นะครับ
ท่านปยุตโต ได้อธิบายความเอาไว้อย่าง "น่าสนใจ" ว่า โดยสรุปแล้ว นิพพานมีอย่างเดียว แต่สามารถมองได้ ๒ ด้าน คือ
(๑) นิพพานในแง่ของความสิ้นกิเลส ซึ่งมีผลต่อการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก หรือ ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
(๒) นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะจำเพาะล้วนๆ แท้ๆ
ดังนั้น ท่านปยุตโต จึงได้สรุปในท้ายที่สุดว่า .........
(๑) อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานตามความหมายของนิพพานแท้ๆ
(๒) สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานตามความหมายในทางปฏิบัติ
ถ้าเราฟังคำอธิบายของท่านปยุตโต ดังที่ปรากฏอยู่นี้ ย่อมจะเห็นได้ว่า
แท้ที่จริง อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ มิได้ "เพ่งเล็ง" ถึง พระอรหันต์ที่ตายแล้ว ดังที่เข้าใจกันสืบๆ มา
ส่วน สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็เพียงแต่อธิบายถึง ความสัมพันธ์กันระหว่าง นิพพาน กับ โยคาวจร เท่านั้นเอง
หรือในอีกปริยายหนึ่ง ท่านปยุตโต กล่าวว่า
(๑) อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานในความหมายที่พระอรหันต์มี "นิพพาน" เป็นอารมณ์
(๒) สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานในความหมายที่พระอรหันต์มี "ขันธ์ ๕" เป็นอารมณ์
ข้อสรุปสุดท้ายนี้ ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ว่า นิพพานทั้ง ๒ นี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ พระอรหันต์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ
ทั้งนี้ ขอให้สังเกตด้วยว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ในความหมายที่พระอรหันต์มี "ขันธ์ ๕" เป็นอารมณ์
นี้ย่อมต้องสอดคล้องกับคำของท่านพระสารีบุตร ที่กล่าวว่า แม้ภิกษุผู้เป็นอรหันต์
ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของ "ไม่ใช่ตัวตน" !
ยังมีใครเห็นว่า ขันธ์ ๕ หรือ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ อยู่หรือไม่ครับ ?
*********************************************************************************************
เรื่องเกี่ยวกับ การตายของพระอรหันต์(รึเปล่า?) ยังมีต่อ นะครับ
ท่านปยุตโต กล่าวว่า การให้ความหมายในทำนองว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ส่วน อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์ที่ดับขันธ์ ไม่มี ขันธ์ ๕ เหลืออยู่
เป็นวิวัฒนาการทางความหมายในสมัยอรรถกถา โดย "เน้น" ไปที่จุดแห่งเหตุการณ์ ในชีวิตของพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์
คือ เน้นที่การกระทำ อันได้แก่ การบรรลุภาวะ มากกว่า จะเน้น ตัวภาวะนั้นเอง
ด้วยเหตุดังนี้ ความหมายตายนัยอรรถกถาทั่วๆ ไป จึงมีลักษณะค่อนข้างจำกัด หรือ รัดตัวมาก !
ผมขออนุญาต สรุปให้ฟังแบบง่ายๆ ก็คือ การอธิบายความหมายโดยอรรถกถาจารย์นั้น เป็นการอธิบายโดยอาศัย "สมมุติ" เป็นหลัก
กล่าวคือ มุ่งเน้นไปที่ "ตัวบุคคล" ซึ่งเกี่ยวข้องกับ นิพพานในลักษณะต่างๆ มากไปกว่า จะอธิบายที่ตัวสภาวะ "นิพพาน" (ซึ่งทำได้ยาก หรือ ทำไม่ได้)
สุดท้ายจึงได้คำอธิบายในทำนองว่า
(๑) สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ดับกิเลส มี ขันธ์ ๕ เหลือ (แต่ก็มิได้ระบุว่าเป็นของใคร นะจ๊ะ)
(๒) อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ดับกิเลส ไม่มี ขันธ์ ๕ เหลือ คือ นิพพานของพระอรหันต์เมื่อดับขันธ์
แต่การอธิบายแบบนี้ ถ้ามองในแง่ดี มันก็ฟังง่ายดี แต่ข้อเสีย ก็คือ มันจะมี พระอรหันต์ ในฐานะ ผู้ตาย หรือ ผู้เป็นเจ้าของ(ขันธ์)
ซึ่งย่อมเป็น "อาหาร" ชั้นดี สำหรับ พวกมิจฉาทิฐิ ฝ่ายสัสสตทิฐิ อย่างมิต้องสงสัย เลยเช่นกัน
หรือมิใช่ ?
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ (คำอธิบายโดย ท่านปยุตโต)
จะด้วย "ความโง่เขลา" อันเป็น "สมบัติ" ประจำตัวของมัน หรือเป็น "สันดาน" การอ่านหนังสือแบบ "ลวกๆ" ก็ตามที
แต่การกล่าววาจาด้วยความ "โอหัง" โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ของ ล็อกอิน คันโตนาซี อาจเป็นปัญหาขึ้นมาก็ได้ เช่นที่มันกล่าวว่า ..........
"แม้แต่เจ้าคุณปยุต ที่พวกคุณชอบอ้างนักอ้างหนา แต่กระทู้นี้เงียบกริบ
(คงเพราะยกมาไม่ได้ เพราะขัดกับทิฐิ แบบแถไม่ออกกระมัง)
ท่านก็ยังบอกเลยว่า สอุปาทิเสสนิพพานน่ะ ดับกิเลสแล้ว แต่ยังมีเบญจขันธ์เหลือ"
ถ้าอย่างนั้น ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ขออนุญาตใช้สิทธิ ที่จะไม่ "เงียบกริบ" โดยการยกข้อความของท่านปยุตโตขึ้นแสดง
และแจกแจง "ข้อเท็จจริง" และ ความหมายที่ถูกต้อง ตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่จริง ทั้งในชั้นพุทธพจน์ และ อรรถกถา นะครับ
จบความนำ
*********************************************************************************************
เริ่มต้นด้วยการที่ท่านปยุตโต กล่าวอธิบายว่า พุทธพจน์ จาก อิติวุตตกะ ปรากฏหลักฐาน พระพุทธเจ้าตรัสว่า
สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานธาตุ มี อุปาทิเหลือ หรือ นิพพานที่ยังมีเชื้อเหลือ
ประเด็นที่สำคัญ ก็คือ ท่านปยุตโตกล่าวอย่างชัดเจนว่า เพราะอาศัยคำอธิบายของอรรถกถา จึงแปล "อุปาทิ" ว่าหมายถึง ขันธ์ ๕
สุดท้ายจึงเกิดความหมายของ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ขึ้นมาใหม่ว่า "นิพพานยังมีเบญจขันธ์เหลือ"
ขออนุญาต สรุปให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ว่า
ที่เข้าใจกันว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง (๑) นิพพานมีขันธ์ ๕ เหลือ และ (๒) นิพพานที่ยังเกี่ยวข้องกับ ขันธ์ ๕
นี้เป็นคำอธิบายของ อรรถกถาจารย์ นะครับ
แต่กระนั้น ท่านทั้งหลายไม่สังเกตบ้างเลยหรือว่า การที่ ท่านปยุตโต อ้าง อรรถกถา ที่ให้ความหมายของคำว่า อุปาทิ ว่าหมายถึง
(๑) สภาพที่ถูกกรรมกิเลสถือครอง และ (๒) สภาพที่ถูก อุปาทาน ยึดไว้มั่น เป็นการให้ความหมาย ที่ไม่สอดคล้องกับ "พระอรหันต์"
ที่กำลังกล่าวถึง ในกรณี นิพพาน ๒ ประการ จาก ธาตุสูตร ซึ่งย่อมปราศจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน ทั้งปวง
แต่หากเลือกใช้ "อุปาทิ" เพียงความหมายว่า มีเชื้อแห่งชีวิตเหลืออยู่ โดยไม่เพ่งเล็งไปถึงคำว่า "ขันธ์"
ในความหมายว่า ยังต้องอาศัย หรือขึ้นอยู่กับ "ชีวิต" ยังไม่เป็น "อิสระ" จากความมีชีวิต
ก็น่าจะเป็นความหมายที่ ถูกต้องมากกว่าที่จะใช้คำว่า ขันธ์
เพราะการใช้คำว่า ขันธ์ มักนำไปสู่ "อุปาทานขันธ์" อยู่เสมอๆ สำหรับความรับรู้ของ ปุถุชนผู้บริโภคกาม !
และเท่าที่พบ ปรากฏหลักฐานว่า อุปาทิ ที่หมายถึง ความยึดถือ(อุปาทาน) คำนี้ มีใช้กับ พระอนาคามี เท่านั้น
ไม่พบว่าพระพุทธเจ้า เคยใช้ความหมายแบบนี้ กับพระอรหันต์ (ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว !)
*********************************************************************************************
ต่อมา ท่านปยุตโต ได้อธิบายคำศัพท์ "เวทยิต" ดังนี้ว่า
(๑) มาจากรากศัพท์เดียวกันกับคำว่า "เวทนา"
(๒) ใช้แทนคำว่า เวทนา บ้างในบางคราว
(๓) แปลว่า การเสวยอารมณ์ หรือ อารมณ์ที่ได้เสวย
เรื่องนี้ สำคัญอย่างไร ?
ความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า โดยเนื้อแท้แล้ว ข้อความจาก ธาตุสูตร พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสถึงคำว่า เวทนา(ขันธ์) เลย
การที่พระพุทธเจ้าตรัสคำว่า "เวทยิต" ย่อมทรงมีเจตนาจะสื่อความหมายถึง "กระบวนการ" เสียมากกว่า กล่าวคือ
คำว่า เวทยิต นี้ ท่านปยุตโต ก็ได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า หมายถึง การเสวยอารมณ์ ซึ่งอรรถกถาจรย์ ก็ได้อธิบายคำศัพท์นี้เอาไว้เช่นกันว่า
จริงๆ แล้ว "เวทนา" นั่นแหละที่เสวยอารมณ์ หาใช่ สัตว์ บุคคล ฯลฯ เป็น "ผู้เสวย" อารมณ์เหล่านั้น แต่อย่างใดไม่ !
ดังนั้น ข้อเท็จจริง (ตามความเป็นจริง)ในขณะนี้ ก็คือ
(๑) มิใช่ สัตว์ บุคคล เป็นผู้เสวยอารมณ์ แต่เป็น "เวทนา" นั้นเองที่เสวยอารมณ์
(๒) เราจะกล่าวว่า "เวทนา" นั้นเป็นของใคร ก็ไม่ได้ เพราะหากกล่าวอย่างนั้น ก็เป็นมิจฉาทิฐิ ไปอีก
ประการแรก เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า ..........
การตั้งคำถามว่า ใครเป็นผู้ ผัสสะ หรือ เป็นผู้เสวยอารมณ์ นั้นเป็นการตั้งคำถามไม่ถูกต้อง
ประการต่อมา พระพุทธเจ้ายังตรัสอีกว่า หากเข้าใจว่ามี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ในฐานะผู้กระทำ และ ผู้เสวย(เวทนา)
ย่อมไม่อาจพ้นไปจาก มิจฉาทิฐิสุดโต่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปได้เลย
ดังนั้น หากใครก็ตาม มีความเข้าใจ(ผิด)ว่า พระอรหันต์ เป็นผู้เสวยอารมณ์ หรือ เวทนา(ขันธ์) เป็นของพระอรหันต์
นั่นคือ ความเห็นผิด เป็น มิจฉาทิฐิ อย่างไม่ต้องสงสัย
*********************************************************************************************
ท่านปยุตโต ยังอธิบายเรื่อง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ต่อไปอีก ดังนี้ว่า
กล่าวโดยสรุป ได้ว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง ภาวะของนิพพาน
(๑) มีอุปาทิเหลืออยู่
(๒) ยังเกี่ยวข้องกับขันธ์ ๕ โดยฐานเป็น "อารมณ์" หรือสิ่งที่ถูกรับรู้
ท่านทั้งหลายพึงสังเกตด้วยว่า เมื่อพิจารณามาจนถึงบัดนี้แล้ว ยังไม่พบหลักฐานที่ระบุว่า
พระอรหันต์มี "ขันธ์ ๕" หรือ "ขันธ์ ๕" เป็นของพระอรหันต์ เลยแม้แต่คำเดียว นะครับ !
ดังนั้น แทนที่ คันโตนาซีจะกล่าวอย่างโง่ๆ ว่า "แล้วพระอรหันต์ จะไม่มี ขันธ์ ๕ ได้อย่างไร ?"
ก็สมควรกล่าวอย่างฉลาดๆ ว่า ""แล้วพระอรหันต์ จะมี ขันธ์ ๕ ได้อย่างไร ?" เสียมากกว่า นะครับ
*********************************************************************************************
เรามาฟังคำอธิบายของท่านปยุตโต กันต่อ นะครับ
ท่านปยุตโต ได้อธิบายความเอาไว้อย่าง "น่าสนใจ" ว่า โดยสรุปแล้ว นิพพานมีอย่างเดียว แต่สามารถมองได้ ๒ ด้าน คือ
(๑) นิพพานในแง่ของความสิ้นกิเลส ซึ่งมีผลต่อการติดต่อเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก หรือ ต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน
(๒) นิพพานในแง่ที่เป็นภาวะจำเพาะล้วนๆ แท้ๆ
ดังนั้น ท่านปยุตโต จึงได้สรุปในท้ายที่สุดว่า .........
(๑) อนุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานตามความหมายของนิพพานแท้ๆ
(๒) สอุปาทิเสสนิพพาน คือ นิพพานตามความหมายในทางปฏิบัติ
ถ้าเราฟังคำอธิบายของท่านปยุตโต ดังที่ปรากฏอยู่นี้ ย่อมจะเห็นได้ว่า
แท้ที่จริง อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ มิได้ "เพ่งเล็ง" ถึง พระอรหันต์ที่ตายแล้ว ดังที่เข้าใจกันสืบๆ มา
ส่วน สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ก็เพียงแต่อธิบายถึง ความสัมพันธ์กันระหว่าง นิพพาน กับ โยคาวจร เท่านั้นเอง
หรือในอีกปริยายหนึ่ง ท่านปยุตโต กล่าวว่า
(๑) อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานในความหมายที่พระอรหันต์มี "นิพพาน" เป็นอารมณ์
(๒) สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง นิพพานในความหมายที่พระอรหันต์มี "ขันธ์ ๕" เป็นอารมณ์
ข้อสรุปสุดท้ายนี้ ยิ่งชัดเจนเข้าไปใหญ่ว่า นิพพานทั้ง ๒ นี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ พระอรหันต์ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แหละ
ทั้งนี้ ขอให้สังเกตด้วยว่า สอุปาทิเสสนิพพาน ในความหมายที่พระอรหันต์มี "ขันธ์ ๕" เป็นอารมณ์
นี้ย่อมต้องสอดคล้องกับคำของท่านพระสารีบุตร ที่กล่าวว่า แม้ภิกษุผู้เป็นอรหันต์
ก็ควรกระทำอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ไว้ในใจโดยแยบคาย โดยความเป็นของ "ไม่ใช่ตัวตน" !
ยังมีใครเห็นว่า ขันธ์ ๕ หรือ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นของพระอรหันต์ อยู่หรือไม่ครับ ?
*********************************************************************************************
เรื่องเกี่ยวกับ การตายของพระอรหันต์(รึเปล่า?) ยังมีต่อ นะครับ
ท่านปยุตโต กล่าวว่า การให้ความหมายในทำนองว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่
ส่วน อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หมายถึง นิพพานของพระอรหันต์ที่ดับขันธ์ ไม่มี ขันธ์ ๕ เหลืออยู่
เป็นวิวัฒนาการทางความหมายในสมัยอรรถกถา โดย "เน้น" ไปที่จุดแห่งเหตุการณ์ ในชีวิตของพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์
คือ เน้นที่การกระทำ อันได้แก่ การบรรลุภาวะ มากกว่า จะเน้น ตัวภาวะนั้นเอง
ด้วยเหตุดังนี้ ความหมายตายนัยอรรถกถาทั่วๆ ไป จึงมีลักษณะค่อนข้างจำกัด หรือ รัดตัวมาก !
ผมขออนุญาต สรุปให้ฟังแบบง่ายๆ ก็คือ การอธิบายความหมายโดยอรรถกถาจารย์นั้น เป็นการอธิบายโดยอาศัย "สมมุติ" เป็นหลัก
กล่าวคือ มุ่งเน้นไปที่ "ตัวบุคคล" ซึ่งเกี่ยวข้องกับ นิพพานในลักษณะต่างๆ มากไปกว่า จะอธิบายที่ตัวสภาวะ "นิพพาน" (ซึ่งทำได้ยาก หรือ ทำไม่ได้)
สุดท้ายจึงได้คำอธิบายในทำนองว่า
(๑) สอุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ดับกิเลส มี ขันธ์ ๕ เหลือ (แต่ก็มิได้ระบุว่าเป็นของใคร นะจ๊ะ)
(๒) อนุปาทิเสสนิพพาน หมายถึง ดับกิเลส ไม่มี ขันธ์ ๕ เหลือ คือ นิพพานของพระอรหันต์เมื่อดับขันธ์
แต่การอธิบายแบบนี้ ถ้ามองในแง่ดี มันก็ฟังง่ายดี แต่ข้อเสีย ก็คือ มันจะมี พระอรหันต์ ในฐานะ ผู้ตาย หรือ ผู้เป็นเจ้าของ(ขันธ์)
ซึ่งย่อมเป็น "อาหาร" ชั้นดี สำหรับ พวกมิจฉาทิฐิ ฝ่ายสัสสตทิฐิ อย่างมิต้องสงสัย เลยเช่นกัน
หรือมิใช่ ?